คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
ในสมัยโบราณ ผู้ปกครองไม่ว่าจะเป็นชนชาติไหน เวลาจะอ้างตัวเป็นผู้ปกครองเพื่อเป็นการสยบให้ผู้อยู่ตกภายใต้การปกครองยอมศิโรราบไม่ขัดขืน ก็มักจะเอาตัวเองเกี่ยวข้องกับบรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
เป็นแบบนี้ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นอารยะธรรมที่ไหน เช่น ลุ่มแม่น้ำไนล์ ลุ่มแม่น้ำไทกริส-ยูเฟรติส ลุ่มแม่น้ำสินธุ ลุ่มแม่น้ำฮวงโห-แยงซี เป็นต้น
ศาสนาอับราฮัม ไม่ว่าจะเป็น ยิว คริสต์ อิสลาม ก็เป็นศาสนาที่เกี่ยวข้องกับ การเมือง การปกครอง มาตั้งแต่การเกิดศาสนาแล้ว
พระเจ้ามานิมิต ยกดินแดนตามพันธะสัญญาให้กับอับราฮัม ทำให้อับราฮัมต้องดั้นด้นเดินทางไปถึงดินแดนตามพันธะสัญญาซึ่งก็มีชนเผ่าอื่นอาศัยอยู่ก่อนแล้ว และพวกนั้นก็ไม่ได้นับถือพระเจ้าองค์เดียวกับอับราฮัมด้วย
ดังนั้นอับราฮัมและลุกหลานต้องทำยังไงถึงจะช่วงชิงดินแดนเหล่านั้นมาให้เป็นของเผ่าพันธุ์ตนเองได้ ... มันก็ต้องทำสงคราม เหมือน ๆ กับที่อื่น ๆ ในโลกที่ใครจะมาช่วงชิงดินแดนก็ต้องทำสงคราม ใครแข็งแกร่งกว่า ก็ชนะ ก็ได้ดินแดนนั้นไป ผู้พ่ายแพ้ก็ตายไป หรือต้องยอมหลบหนีไปที่อื่น ถ้าไม่หนีก็ต้องยอมตกเป็นทาสของชนเผ่าที่ชนะ
ดังนั้น ศาสนายิว คริสต์ อิสลาม นั้น เป็นศาสนาที่เกี่ยวข้องกับ การเมือง การปกครอง การทหาร การดำรงชีวิต และอื่น ๆ ในชีวิตคนแทบจะทุกอย่างอยู่แล้ว
แม้ว่า กรีกโบราณ จะเป็นต้นกำเนิดของระบอบประชาธิปไตย แต่ยุโรป เองก็เคยเป็นรัฐศาสนาคริสต์ มานานนับพันปี ที่รวม ๆ ที่ว่าเป็นยุคมืดนั่นแหละ จนกระทั่งมาถึงยุคฟื้นฟูศิลปะและวิทยาการ ที่ฟื้นฟูเอาอารยะธรรมกรีกโบราณขึ้นมาใหม่ จนนำไปสู่วิทยาการด้านวิทยาศาสตร์ ทำให้คนคิดเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น ไม่ได้เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้กำหนดทุกอย่างดังความเชื่อทางศาสนาเหมือนในอดีต
วิทยาศาสตร์สอนความเป็นเหตุเป็นผล ทำให้ความเชื่อในเรื่องพระเจ้า เรื่องศาสนา ก็ค่อย ๆ เสื่อมถอย ลดความสำคัญน้อยลงไปเรื่อย ๆ คนเห็นความสำคัญของตนเองมากขึ้น คนเป็นอิสระจากพระเจ้า
ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย จึงแพร่หลายมาในยุคนี้ ที่มองเห็นคนเท่าเทียมกัน ไม่เลือกปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ศาสนา
แนวคิดเหล่านี้ ทำให้ยุโรป แยกการเมืองออกจากศาสนา เมื่อการเมืองเป็นประชาธิปไตย อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ประชาชนสามารถร่างกฎหมายปกครองตนเองได้ พระเจ้าและศาสนาก็มีความสำคัญน้อยลงไปเรื่อย ๆ
ถึงแม้ว่ากฎหมายในยุคแรก ๆ นั้น ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ หรือ ภาคพื้นยุโรปนั้น ระบบกฎหมายจะมีพื้นฐานมาจากศาสนาคริสต์ตั้งแต่สมัยโรมันก็ตาม แต่กฎหมายเหล่านี้ก็สามารถศึกษา ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ให้เหมาะสมเข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปได้
..
..
..
ต่างกับ ประเทศอิสลาม ที่เขาเคยมียุคทองที่ยิ่งใหญ่ของเขา ที่นับตั้งแต่ นบีมูฮัมหมัด ประกาศศาสนาอิสลาม จนกระทั่งทายาทของนบีมูฮัมหมัดสร้าง รัฐอิสลาม หรือ คอลิฟะห์ ที่มีเมืองอยู่ที่เมืองแบกแดดขึ้นมา สามารถรบขยายดินแดนกว้างขวางใหญ่โตควบคุมดินแดนตะวันออกกลางทั้งหมด ด้านตะวันตกก็ครอบครองดินแดนอัฟริกาตอนเหนือทั้งหมด ไปถึงยุโรปใต้บางส่วนแถบสเปน ฝรั่งเศส ในด้านตะวันออกก็ไปจรดจีนที่เขาเทียนชาน ส่วนเอเชียใต้ ก็เป็นอิสลามทั้งหมด
คือยุคนั้น เป็นยุคที่อิสลามยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก จนกระทั่งยุโรป ออกจากยุคมืด มีการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการขึ้นมาใหม่ แล้ววิทยาศาสตร์ทำให้ยุโรปยิ่งใหญ่ขึ้นมา ยุโรป มีการปฏิวัติอุตสาหกรรม ยุโรปมีกองกำลังทหารที่ทันสมัย ใช้เรือเดินทางไปค้าขายได้ไกล ไม่ต้องผ่านตะวันออกกลางที่มุสลิมควบคุมอยู่ เดินทางค้นพบทวีปใหม่ มีอาวุธใหม่ ๆ ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไปรบที่ไหน ๆ ก็ชนะ
สามารถยึดครองดินแดนที่แต่สมัยก่อนเป็นของอิสลามมาเป็นของตนเองได้แทบทั้งหมด มีดินแดนที่นับถืออิสลามน้อยมากที่ไม่กลายเป็นอาณานิคมของยุโรป อำนาจอิทธิพลของอิสลาม ภายใต้จักรวรรดิออตโตมันก็น้อยลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เหลือเพียงประเทศตุรกีในปัจจุบัน ส่วนอิหร่านในสมัยที่ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์นั้นก็ยอมศิโรราบต่อสหรัฐอเมริกา เปลี่ยนประเทศให้เหมือนสหรัฐอเมริกาและยุโรปตะวันตกซึ่งยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนั้น
อย่างที่กล่าวข้างต้นว่า อิสลามนั้น เขามียุคทองของเขาคือเป็นยุคที่ปกครองด้วยกฎหมายอิสลาม แต่ยุคหลัง ๆ กลับอ่อนด้อยลง กลายเป็นเบี้ยล่างของชาวยุโรปตะวันตก ประเทศอิสลามต้องเปลี่ยนประเทศให้เหมือนชาติตะวันตก
ทำให้มีมุสลิมจำนวนหนึ่งต่อต้านเรื่องแบบนี้ที่ตัวเองทำไมต้องทำตามอย่างตะวันตก ในเมื่อตนเองก็เคยยิ่งใหญ่มาก่อนในยุค คอลิฟะห์ ที่ปกครองด้วยกฎหมายอิสลาม
คนกลุ่มนี้จึงพยายามเปลี่ยนแปลงประเทศที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของชาติตะวันตก แล้วกลับไปปกครองด้วยกฎหมายอิสลามเหมือนสมัยยุคทองของตน
อิหร่านนำโดย โคไมนี จึงมีการปฏิวัติอิสลาม ล้มล้างระบอบกษัตริย์ของพระเจ้าชาห์ ที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสหรัฐอเมริกา แล้วอิหร่านก็นำกฎหมายอิสลามมาบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ
ส่วนซาอุดิอาระเบียนั้น สถาปนาประเทศเป็นอิสระจากออตโตมันด้วยฝีมือของพวก วาฮะบีย์ กับ ตระกูลซาอุด บวกับความช่วยเหลือจากอังกฤษ ซึ่งพวกวาฮะบีย์นั้นโดยเนื้อแท้แล้วก็ไม่ได้แตกต่างไปจากอิสลามในยุคสมัยคอลิฟะห์ แต่อย่างใด เหมือนพวก วาฮะบีย์ และตระกูลซาอุด นำแนวคิดของอิสลามสมัยคอลิฟะห์ เพื่อมาทำให้ประเทศเป็นเอกราช
ด้วยอิทธิพลของประเทศอิสลามใหญ่คือทั้งสองประเทศคือ อิหร่าน และ ซาอุดิอาระเบีย ที่ปกครองแบบรัฐอิสลาม เป็นต้นกำเนิดศาสนาอิสลาม บวกกับทรัพยากรน้ำมันที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลก จึงทำให้แนวความคิดการปกครองด้วยกฎหมายอิสลามแพร่กระจายไปทั่วโลก พวกไอเอสที่เคยโด่งดังเมื่อไม่กี่ปีก่อนก็มีอุดมการณ์แบบนี้คือ ต้องการนำทั้งโลกกลับไปสู่ยุคคอลิฟะห์ โดยเริ่มที่ตะวันออกกลางก่อน
การปกครองด้วยกฎหมายอิสลามนั้น ไม่เพียงจะถูกผลักดันในประเทศอิสลาม แต่ในประเทศ กาเฟรก็ถูกมุสลิมผลักดันเช่นกัน คือ มันมาในรูปแบบที่ว่า "ฮาลาล" ต่าง ๆ นั่นเอง เช่น สินค้าต้องมีตราฮาลาล สถาบันการเงินต้องมีธนาคารอิสลาม ซึ่งก็คือ ธนาคารฮาลาล มีพันธบัตรอิสลาม แฟชั่นแบบฮาลาล ท่องเที่ยวแบบฮาลาล เป็นต้น
อะไรที่สารพัด "ฮาลาล" ทั้งหลาย นี่คืออิทธิพลที่พยายามนำกฎหมายอิสลามเข้าไปปกครองในประเทศนั้น ๆ โดยข้ออ้างที่ใช้ประจำคือ ทำเพื่อส่งออกไปยังประเทศอิสลาม หรือ บริการลูกค้าจากประเทศอิสลามที่มีประชากร 1,600 ล้านคน
ในประเทศไทยนั้นก็มีกฎหมายอิสลามที่เป็น องคาพยพ ของรัฐอิสลาม ซึ่งกฎหมายเหล่านี้มีต้นตอมาจากประเทศมาเลเซียที่มีการใช้กฎหมายอิสลามปกครองมุสลิมอยู่แล้ว เช่น
-พรบ.ส่งเสริมกิจการฮัจย์ พ.ศ.2524
-พรบ. การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540
-พรบ. ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2545
กฎหมายทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับ "ฮาลาล" เหล่านี้ ที่ออกมาแล้ว และที่พยามยามผลักดันให้ผ่านสภาในอนาคต ล้วนเป็นกฎหมายที่พยายามนำกฎหมายอิสลามเข้าปกครองในประเทศไทยทั้งสิ้น มันเป็นกฎหมายที่เป็น องคาพยพ ของรัฐอิสลาม
ยังไม่ต้องกล่าวถึง กฎหมายอิสลาม ว่าด้วยครอบครัวและมรดก ที่ขณะนี้ใช้ใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ซึงมุสลิมก็พยายามผลักดันให้สามารถใช้ได้ทั่วประเทศไทย
สุดท้าย ในประเด็นกระทู้ที่เจ้าของกระทู้ เอ่ยถึงกลุ่มองค์กรก่อการร้าย ที่อิหร่านสนับสนุนนั้น
ในมุมของอิสลามแล้ว เขามองว่า กลุ่มคนเหล่านั้นคือนักรบญิฮาด เป็นนักรบที่ทำสงครามกับคนต่างศาสนา เป็นสิ่งทีดีและประเสริฐอย่างยิ่งในอิสลาม นบีมูฮัมหมัด ใช้กลุ่มนักรบญิฮาด เหล่านี้แหละ สร้างศาสนาอิสลามขึ้นมา และใช้ในการแพร่ขยายอิทธิพลของศาสนาอิสลาม ถ้าไม่มีนักรบเหล่านี้ ศาสนาอิสลามก็ไม่ได้เกิดหรอก และไม่ได้แผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วโลกแบบปัจจุบันบนนี้หรอก
มันเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการแพร่ขยายศาสนาอิสลามเลย เวลาอิสลามจะบุกรุกดินแดนใหม่ ๆ ที่เป็นคนนอกศาสนาก็มักจะใช้กองกำลังลักษณะอย่างนี้ มันเป็นสิ่งที่ทำได้ และ ส่งเสริมให้ทำด้วยตั้งแต่สมัยก่อตั้งศาสนา มันมีแนวคิดมาจาก การปล้นกองคาราวานสินค้าของชนเผ่า เบดูดิน ที่เป็นชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทราย ซึ่งพวกนี้รับทั้งเป็นผู้คุ้มกันกองคาราวานสินค้า หรือถ้าไม่ถูกจ้างก็เป็นโจรปล้นสินค้าเสียเองเลย
สงครามศาสนา หรือ ญิฮาด ครั้งแรกของอิสลามนั้น ก็เป็นการที่นบีมูฮัมหมัด นำทัพมุสลิม ไปดักโจมตีและปล้นกองคาราวานสินค้าของพวกมุชริกเมืองเมกกะ ที่กำลังนำกองคาราวานสินค้าเดินทางกลับจากซีเรีย เรียกสงครามครั้งนี้ว่า สงครามบดัร เป็นสงครามศาสนา หรือ ญิฮาด ครั้งแรก
ในช่วงที่มุสลิมยึดอัฟกานิสถานได้แล้ว พวกรัฐสุลต่านเล็กๆ ที่อยู่แถวเมือง คาบูล หรือ กัซนี ก็ใช้กองกำลังลักษณะอย่างนี้ โดยไม่จำเป็นต้องมีกองทัพที่ใหญ่ ๆ ไปโจมตีอาณาจักรของพวกฮินดูในฮินเดีย โจมตีปล้มชิงทรัพยากรไปเรื่อย ๆ จนอาณาจักรของพวกฮินดูที่มีอาณาเขตติดกับอิสลามต้องล่มสลายในที่สุด แล้วอิสลามก็รุกคืบกลืนไปเรื่อย ๆ ด้วยการทำลักษณะอย่างนี้ จากรุ่นสู่รุ่น
เป็นแบบนี้ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นอารยะธรรมที่ไหน เช่น ลุ่มแม่น้ำไนล์ ลุ่มแม่น้ำไทกริส-ยูเฟรติส ลุ่มแม่น้ำสินธุ ลุ่มแม่น้ำฮวงโห-แยงซี เป็นต้น
ศาสนาอับราฮัม ไม่ว่าจะเป็น ยิว คริสต์ อิสลาม ก็เป็นศาสนาที่เกี่ยวข้องกับ การเมือง การปกครอง มาตั้งแต่การเกิดศาสนาแล้ว
พระเจ้ามานิมิต ยกดินแดนตามพันธะสัญญาให้กับอับราฮัม ทำให้อับราฮัมต้องดั้นด้นเดินทางไปถึงดินแดนตามพันธะสัญญาซึ่งก็มีชนเผ่าอื่นอาศัยอยู่ก่อนแล้ว และพวกนั้นก็ไม่ได้นับถือพระเจ้าองค์เดียวกับอับราฮัมด้วย
ดังนั้นอับราฮัมและลุกหลานต้องทำยังไงถึงจะช่วงชิงดินแดนเหล่านั้นมาให้เป็นของเผ่าพันธุ์ตนเองได้ ... มันก็ต้องทำสงคราม เหมือน ๆ กับที่อื่น ๆ ในโลกที่ใครจะมาช่วงชิงดินแดนก็ต้องทำสงคราม ใครแข็งแกร่งกว่า ก็ชนะ ก็ได้ดินแดนนั้นไป ผู้พ่ายแพ้ก็ตายไป หรือต้องยอมหลบหนีไปที่อื่น ถ้าไม่หนีก็ต้องยอมตกเป็นทาสของชนเผ่าที่ชนะ
ดังนั้น ศาสนายิว คริสต์ อิสลาม นั้น เป็นศาสนาที่เกี่ยวข้องกับ การเมือง การปกครอง การทหาร การดำรงชีวิต และอื่น ๆ ในชีวิตคนแทบจะทุกอย่างอยู่แล้ว
แม้ว่า กรีกโบราณ จะเป็นต้นกำเนิดของระบอบประชาธิปไตย แต่ยุโรป เองก็เคยเป็นรัฐศาสนาคริสต์ มานานนับพันปี ที่รวม ๆ ที่ว่าเป็นยุคมืดนั่นแหละ จนกระทั่งมาถึงยุคฟื้นฟูศิลปะและวิทยาการ ที่ฟื้นฟูเอาอารยะธรรมกรีกโบราณขึ้นมาใหม่ จนนำไปสู่วิทยาการด้านวิทยาศาสตร์ ทำให้คนคิดเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น ไม่ได้เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้กำหนดทุกอย่างดังความเชื่อทางศาสนาเหมือนในอดีต
วิทยาศาสตร์สอนความเป็นเหตุเป็นผล ทำให้ความเชื่อในเรื่องพระเจ้า เรื่องศาสนา ก็ค่อย ๆ เสื่อมถอย ลดความสำคัญน้อยลงไปเรื่อย ๆ คนเห็นความสำคัญของตนเองมากขึ้น คนเป็นอิสระจากพระเจ้า
ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย จึงแพร่หลายมาในยุคนี้ ที่มองเห็นคนเท่าเทียมกัน ไม่เลือกปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ศาสนา
แนวคิดเหล่านี้ ทำให้ยุโรป แยกการเมืองออกจากศาสนา เมื่อการเมืองเป็นประชาธิปไตย อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ประชาชนสามารถร่างกฎหมายปกครองตนเองได้ พระเจ้าและศาสนาก็มีความสำคัญน้อยลงไปเรื่อย ๆ
ถึงแม้ว่ากฎหมายในยุคแรก ๆ นั้น ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ หรือ ภาคพื้นยุโรปนั้น ระบบกฎหมายจะมีพื้นฐานมาจากศาสนาคริสต์ตั้งแต่สมัยโรมันก็ตาม แต่กฎหมายเหล่านี้ก็สามารถศึกษา ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ให้เหมาะสมเข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปได้
..
..
..
ต่างกับ ประเทศอิสลาม ที่เขาเคยมียุคทองที่ยิ่งใหญ่ของเขา ที่นับตั้งแต่ นบีมูฮัมหมัด ประกาศศาสนาอิสลาม จนกระทั่งทายาทของนบีมูฮัมหมัดสร้าง รัฐอิสลาม หรือ คอลิฟะห์ ที่มีเมืองอยู่ที่เมืองแบกแดดขึ้นมา สามารถรบขยายดินแดนกว้างขวางใหญ่โตควบคุมดินแดนตะวันออกกลางทั้งหมด ด้านตะวันตกก็ครอบครองดินแดนอัฟริกาตอนเหนือทั้งหมด ไปถึงยุโรปใต้บางส่วนแถบสเปน ฝรั่งเศส ในด้านตะวันออกก็ไปจรดจีนที่เขาเทียนชาน ส่วนเอเชียใต้ ก็เป็นอิสลามทั้งหมด
คือยุคนั้น เป็นยุคที่อิสลามยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก จนกระทั่งยุโรป ออกจากยุคมืด มีการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการขึ้นมาใหม่ แล้ววิทยาศาสตร์ทำให้ยุโรปยิ่งใหญ่ขึ้นมา ยุโรป มีการปฏิวัติอุตสาหกรรม ยุโรปมีกองกำลังทหารที่ทันสมัย ใช้เรือเดินทางไปค้าขายได้ไกล ไม่ต้องผ่านตะวันออกกลางที่มุสลิมควบคุมอยู่ เดินทางค้นพบทวีปใหม่ มีอาวุธใหม่ ๆ ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไปรบที่ไหน ๆ ก็ชนะ
สามารถยึดครองดินแดนที่แต่สมัยก่อนเป็นของอิสลามมาเป็นของตนเองได้แทบทั้งหมด มีดินแดนที่นับถืออิสลามน้อยมากที่ไม่กลายเป็นอาณานิคมของยุโรป อำนาจอิทธิพลของอิสลาม ภายใต้จักรวรรดิออตโตมันก็น้อยลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เหลือเพียงประเทศตุรกีในปัจจุบัน ส่วนอิหร่านในสมัยที่ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์นั้นก็ยอมศิโรราบต่อสหรัฐอเมริกา เปลี่ยนประเทศให้เหมือนสหรัฐอเมริกาและยุโรปตะวันตกซึ่งยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนั้น
อย่างที่กล่าวข้างต้นว่า อิสลามนั้น เขามียุคทองของเขาคือเป็นยุคที่ปกครองด้วยกฎหมายอิสลาม แต่ยุคหลัง ๆ กลับอ่อนด้อยลง กลายเป็นเบี้ยล่างของชาวยุโรปตะวันตก ประเทศอิสลามต้องเปลี่ยนประเทศให้เหมือนชาติตะวันตก
ทำให้มีมุสลิมจำนวนหนึ่งต่อต้านเรื่องแบบนี้ที่ตัวเองทำไมต้องทำตามอย่างตะวันตก ในเมื่อตนเองก็เคยยิ่งใหญ่มาก่อนในยุค คอลิฟะห์ ที่ปกครองด้วยกฎหมายอิสลาม
คนกลุ่มนี้จึงพยายามเปลี่ยนแปลงประเทศที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของชาติตะวันตก แล้วกลับไปปกครองด้วยกฎหมายอิสลามเหมือนสมัยยุคทองของตน
อิหร่านนำโดย โคไมนี จึงมีการปฏิวัติอิสลาม ล้มล้างระบอบกษัตริย์ของพระเจ้าชาห์ ที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสหรัฐอเมริกา แล้วอิหร่านก็นำกฎหมายอิสลามมาบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ
ส่วนซาอุดิอาระเบียนั้น สถาปนาประเทศเป็นอิสระจากออตโตมันด้วยฝีมือของพวก วาฮะบีย์ กับ ตระกูลซาอุด บวกับความช่วยเหลือจากอังกฤษ ซึ่งพวกวาฮะบีย์นั้นโดยเนื้อแท้แล้วก็ไม่ได้แตกต่างไปจากอิสลามในยุคสมัยคอลิฟะห์ แต่อย่างใด เหมือนพวก วาฮะบีย์ และตระกูลซาอุด นำแนวคิดของอิสลามสมัยคอลิฟะห์ เพื่อมาทำให้ประเทศเป็นเอกราช
ด้วยอิทธิพลของประเทศอิสลามใหญ่คือทั้งสองประเทศคือ อิหร่าน และ ซาอุดิอาระเบีย ที่ปกครองแบบรัฐอิสลาม เป็นต้นกำเนิดศาสนาอิสลาม บวกกับทรัพยากรน้ำมันที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลก จึงทำให้แนวความคิดการปกครองด้วยกฎหมายอิสลามแพร่กระจายไปทั่วโลก พวกไอเอสที่เคยโด่งดังเมื่อไม่กี่ปีก่อนก็มีอุดมการณ์แบบนี้คือ ต้องการนำทั้งโลกกลับไปสู่ยุคคอลิฟะห์ โดยเริ่มที่ตะวันออกกลางก่อน
การปกครองด้วยกฎหมายอิสลามนั้น ไม่เพียงจะถูกผลักดันในประเทศอิสลาม แต่ในประเทศ กาเฟรก็ถูกมุสลิมผลักดันเช่นกัน คือ มันมาในรูปแบบที่ว่า "ฮาลาล" ต่าง ๆ นั่นเอง เช่น สินค้าต้องมีตราฮาลาล สถาบันการเงินต้องมีธนาคารอิสลาม ซึ่งก็คือ ธนาคารฮาลาล มีพันธบัตรอิสลาม แฟชั่นแบบฮาลาล ท่องเที่ยวแบบฮาลาล เป็นต้น
อะไรที่สารพัด "ฮาลาล" ทั้งหลาย นี่คืออิทธิพลที่พยายามนำกฎหมายอิสลามเข้าไปปกครองในประเทศนั้น ๆ โดยข้ออ้างที่ใช้ประจำคือ ทำเพื่อส่งออกไปยังประเทศอิสลาม หรือ บริการลูกค้าจากประเทศอิสลามที่มีประชากร 1,600 ล้านคน
ในประเทศไทยนั้นก็มีกฎหมายอิสลามที่เป็น องคาพยพ ของรัฐอิสลาม ซึ่งกฎหมายเหล่านี้มีต้นตอมาจากประเทศมาเลเซียที่มีการใช้กฎหมายอิสลามปกครองมุสลิมอยู่แล้ว เช่น
-พรบ.ส่งเสริมกิจการฮัจย์ พ.ศ.2524
-พรบ. การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540
-พรบ. ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2545
กฎหมายทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับ "ฮาลาล" เหล่านี้ ที่ออกมาแล้ว และที่พยามยามผลักดันให้ผ่านสภาในอนาคต ล้วนเป็นกฎหมายที่พยายามนำกฎหมายอิสลามเข้าปกครองในประเทศไทยทั้งสิ้น มันเป็นกฎหมายที่เป็น องคาพยพ ของรัฐอิสลาม
ยังไม่ต้องกล่าวถึง กฎหมายอิสลาม ว่าด้วยครอบครัวและมรดก ที่ขณะนี้ใช้ใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ซึงมุสลิมก็พยายามผลักดันให้สามารถใช้ได้ทั่วประเทศไทย
สุดท้าย ในประเด็นกระทู้ที่เจ้าของกระทู้ เอ่ยถึงกลุ่มองค์กรก่อการร้าย ที่อิหร่านสนับสนุนนั้น
ในมุมของอิสลามแล้ว เขามองว่า กลุ่มคนเหล่านั้นคือนักรบญิฮาด เป็นนักรบที่ทำสงครามกับคนต่างศาสนา เป็นสิ่งทีดีและประเสริฐอย่างยิ่งในอิสลาม นบีมูฮัมหมัด ใช้กลุ่มนักรบญิฮาด เหล่านี้แหละ สร้างศาสนาอิสลามขึ้นมา และใช้ในการแพร่ขยายอิทธิพลของศาสนาอิสลาม ถ้าไม่มีนักรบเหล่านี้ ศาสนาอิสลามก็ไม่ได้เกิดหรอก และไม่ได้แผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วโลกแบบปัจจุบันบนนี้หรอก
มันเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการแพร่ขยายศาสนาอิสลามเลย เวลาอิสลามจะบุกรุกดินแดนใหม่ ๆ ที่เป็นคนนอกศาสนาก็มักจะใช้กองกำลังลักษณะอย่างนี้ มันเป็นสิ่งที่ทำได้ และ ส่งเสริมให้ทำด้วยตั้งแต่สมัยก่อตั้งศาสนา มันมีแนวคิดมาจาก การปล้นกองคาราวานสินค้าของชนเผ่า เบดูดิน ที่เป็นชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทราย ซึ่งพวกนี้รับทั้งเป็นผู้คุ้มกันกองคาราวานสินค้า หรือถ้าไม่ถูกจ้างก็เป็นโจรปล้นสินค้าเสียเองเลย
สงครามศาสนา หรือ ญิฮาด ครั้งแรกของอิสลามนั้น ก็เป็นการที่นบีมูฮัมหมัด นำทัพมุสลิม ไปดักโจมตีและปล้นกองคาราวานสินค้าของพวกมุชริกเมืองเมกกะ ที่กำลังนำกองคาราวานสินค้าเดินทางกลับจากซีเรีย เรียกสงครามครั้งนี้ว่า สงครามบดัร เป็นสงครามศาสนา หรือ ญิฮาด ครั้งแรก
ในช่วงที่มุสลิมยึดอัฟกานิสถานได้แล้ว พวกรัฐสุลต่านเล็กๆ ที่อยู่แถวเมือง คาบูล หรือ กัซนี ก็ใช้กองกำลังลักษณะอย่างนี้ โดยไม่จำเป็นต้องมีกองทัพที่ใหญ่ ๆ ไปโจมตีอาณาจักรของพวกฮินดูในฮินเดีย โจมตีปล้มชิงทรัพยากรไปเรื่อย ๆ จนอาณาจักรของพวกฮินดูที่มีอาณาเขตติดกับอิสลามต้องล่มสลายในที่สุด แล้วอิสลามก็รุกคืบกลืนไปเรื่อย ๆ ด้วยการทำลักษณะอย่างนี้ จากรุ่นสู่รุ่น
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
เคยมีคนตั้งข้อสังเกต เมื่อใดที่จำนวนมุสลิมเริ่มอยู่กันอย่างหนาแน่นจนถึงจุดหนึ่งจะเริ่มมีปัญหากับคนศาสนาอื่น อย่างประเทศไทยในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนใต้มีจำนวนมุสลิมหนาแน่นกว่าในจังหวัดอื่นๆก็เริ่มมีปัญหาแบบที่ความเห็น 5 บอกไว้ ที่มุสลิมในจังหวัดอื่นๆยังไม่เป็นปัญหาเนื่องมาจากจำนวนมุสลิมยังไม่หนาแน่นเท่าไร และถ้าเป็นไปตามความเห็น 5 แสดงไว้ในย่อหน้าแรก นั่นเท่ากับรากเหง้าของปัญหามุสลิมจะมาจากคำสอนของศาสนาอิสลามเป็นสำคัญ
แสดงความคิดเห็น
ทำไมประเทศที่นับถือศาสนาอื่น จึง'ไม่มี' การบังคับใช้กฎหมายตามหลักศาสนา แบบประเทศมุสลิม
.............................................
ถ้าใช้แล้วดีจริง ทำไมอิหร่านไปสนับสนุนผู้ก่อการร้ายอยู่นะ ทั้งฮามาส ทั้งฮูตี ทั้งฮิตบัลเลาะห์
ถ้ายำเกรงพระเจ้า ทำไมทำแบบนี้?????????
ขณะที่ประเทศที่นับถือศาสนาอื่น เขาต่างไม่เอาศาสนามาเกี่ยวข้องกับการเมือง การปกครอง เพราะอะไร?
และให้อิสระเสรีประชาชนนับถือศาสนาตามใจชอบ