[ชนจิตฺโต] ตอนที่ 5: ไม่สวดมนต์ โดนสวดแทน


ตอนที่ 5: ไม่สวดมนต์ โดนสวดแทน

แป๊บๆ เวลาผ่านไปเกือบเดือน ผมใส่จีวรได้คล่องแล้ว บิณฑบาตบางครั้งก็ไปคนเดียวได้อย่างไม่เก้อเขิน นั่งสมาธิก็นั่งได้นานเป็นชั่วโมง แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังสวดมนต์ได้ไม่มากพอ

ผมไม่รู้เป็นไงยิ่งโตมายิ่งพูดน้อย พอบวชก็ไม่ชอบสวดมนต์ ยิ่งสวดนานๆ นี่ขี้เกียจมากกก บทที่สวดได้คล่องปากมากที่สุดก็คงก็คงเป็นให้พร กับทำวัตรเช้าเย็น ส่วนบทที่จะต้องสวดไปออกรับกิจนิมนต์นี่ผมแทบจะไม่เอาเลย เพราะมันยากและมันเยอะ

แต่เนื่องจากหลวงพ่อเจ้าอาวาส ท่านเป็นพระที่น่าเคารพเลื่อมใส ในหมู่พุทธบริษัทจังหวัดนครศรีธรรมราช ส่งผลให้วัดเรามีกิจนิมนต์ค่อนข้างชุกชุม แม้ว่าทางวัดจะมีพระไม่น้อย แต่หลายๆ ครั้งก็ไม่พอต่อศรัทธาที่ญาติโยมมี ดังนั้นพระหนุ่มเณรน้อยก็ต้องออกไปช่วยกัน

กิจนิมนต์ที่พระต้องออกไปทำ ส่วนใหญ่ญาติโยมก็จะนิมนต์เราไปฉันอาหารที่บ้าน เนื่องในวาระโอกาสต่างๆ ที่เป็นสิริมงคลเช่น ทำบุญวันเกิด ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ เปิดห้างร้านบริษัท หรือเอาฤกษ์เอาชัยให้กับตัวเอง

สิ่งที่ต้องทำก็มีให้สมาทานศีล สวดบทอวยพรต่างๆ เช่น มงคลสูตรเพื่อความสิริมงคล สวดพาหุงเพื่อขจัดพยันตรายต่างๆ พอถึงบทชยันโตพระผู้เป็นประธานในพิธี ก็จะคอยประพรมน้ำมนต์ให้กับญาติโยมในงาน จากนั้นเจ้าภาพก็จะนำอาหารมาถวาย พอพระฉันเสร็จก็ให้พรอีกครั้ง โยมก็กรวดน้ำ ก็เป็นอันเสร็จพิธี โยมก็พากลับวัด

เนื่องจากผมสวดไม่ค่อยได้ เพราะขี้เกียจและไม่ชอบเลย ไปแต่ละทีก็ได้แต่ทำงุบงิบอยู่ริมปาก กลับมาวัดหลวงพี่ก็บ่นว่าบวชเป็นเดือนแล้วทำไมยังสวดไม่ได้ ผมก็น้อยใจพอกลับไปก็ไปหัดท่อง แต่ก็ยังไม่ได้อยู่ดี วันหลังๆ ผมเลยออกจะบ่ายเบี่ยงไม่อยากออกไป จนกระทั่งวันนึง

โยมก็นิมนต์ไปฉันอาหารเป็นปกติ แต่วันนั้นแทบไม่เหลือพระที่ไหนว่างเลย ต่างออกไปกิจนิมนต์กันเกือบหมด หลวงพี่ก็เลยมาเคาะที่ประตูกุฏิบอกว่าช่วยออกไปกิจนิมนต์ด้วยกันหน่อย ตอนนี้มีพระไม่พอ ผมไม่สามารถปฏิเสธได้แล้ว เลยต้องออกไปช่วยอย่างจำยอม

พอไปถึงเราก็สวดไม่ค่อยได้เหมือนเดิมอ่ะสิ พอใจไม่ชอบบวกกับขีเกียจสวดมนต์ อยู่บ้านโยมไม่ยอมสวด พอกลับมาถึงวัดเลยโดนสวดแทน หลวงพี่ดุต่างๆ นานา ว่าทำไมยังสวดไม่ได้ ทำไมถึงขี้เกียจ จนจบที่ทำไมถึงเอาเปรียบและกินแรงคนอื่น!

ต่อให้ชุดที่ใส่จะเป็นพระ แต่ข้างในนั้นน่ะก็เป็นคนนะโว้ยยย (ผมพูดในใจ  ) ของมันก็ขึ้นน่ะสิ กลับมาที่ห้องนี่โคตรโกรธบอกเลย อะไรวะ มาด่าทำไม ถ้าอยากได้เงินก็ไม่มาบวชหร่อก นี่ขอมาบวชได้แค่ 3 เดือนเท่านั้น แต่วันๆ ต้องมานั่งสวดก็ไม่ใช่ป่ะวะ ได้บวชทั้งทีก็อยากจะปฏิบัติให้เต็มที่ เท่าที่เราจะทำได้ ...นั่น ใจมันคิดไปนั่น นรกกินปากไม่พอนรกยังกินใจอีก

ช่างเด็กน้อยเสียเหลือเกินพระบักนัทนี่

วันต่อมาเลยเข้าไปบอกกับหลวงพี่เลขาท่านเจ้าอาวาส ว่าแถวนี้มีที่ไหนที่เขาเปิดคอร์สสอนปฏิบัติธรรมบ้าง ผมมีเวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว หากเป็นไปได้ก็อยากจะปฏิบัติให้เต็มที่ไปเลย หากสึกออกไปแล้ว ก็ไม่รู้จะมีโอกาสได้กลับมาบวชอีกรึเปล่า

หลวงพี่ท่านก็เข้าใจ แต่ท่านก็บอกว่าแถวนี้ก็พอจะมีอยู่ แต่ที่หลวงพี่รู้และเคยไปก็อยู่สวนโมกข์นู้น จะไปป่ะละ จะได้ขอให้หลวงพ่อท่านทำหนังสือส่งตัวไปให้ พอผมได้ยินชื่อสวนโมกข์ก็ดีใจ ก็เลยตอบตกลงไปในทันที

วันรุ่งขึ้นท่านเจ้าอาวาสก็เรียกให้ไปหา ถามว่าทำไมถึงอยากไปอยู่ที่นั่น ผมก็ตอบท่านไปอย่างตามตรงไม่ปกปิดอะไร ท่านก็เมตตาและเข้าใจ วันรุ่งขึ้นท่านก็ทำหนังสือส่งตัวไปให้ทันที เพราะในพระวินัย พระที่บวชใหม่จะต้องอยู่ในโอวาสของพระอุปัชฌาย์อาจารย์ก่อน สักระยะนึงก่อน ถ้าจะไปอยู่ที่อื่นจะต้องมีการทำหนังสือไปฝากฝัง ไม่งั้นจะถือว่าอาบัติ

ผมโทรไปถามที่สวนโมกข์ ว่าคอร์สปฏิบัติธรรมจะมีเมื่อไหร่ พอรู้กำหนดวันแล้ว ก็โทรไปบอกเล่าให้อาฟัง อาก็อาสาจะพาไปส่งถึงสวนโมกข์ไชยา นัดแนะกันเสร็จสรรพ ผมก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก

และนั่นเองที่จะเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้ไปสวนโมกข์ไชยา บ้านของอาจารย์พุทธทาส เคยได้ยินมานมนานแต่ไม่เคยมีโอกาสได้ไปเสียที ผมคิดจะไปปฏิบัติธรรมสัก 15 วัน แต่ใครจะไปรู้เล่าว่าผมจะต้องใช้ชีวิตที่นั่นเกือบ 1 ปีเต็ม!

ก็จบกันไปแล้วนะครับสำหรับตอนที่ 5 วันนึออกมาช้าสักนิดเพราะวันนี้ติดเรียนที่ กทม ตอนนี้อาจจะไม่ค่อยหวือหวาสักหน่อย เป็นการปูพื้นถึงสาเหตุการไปอยู่สวนโมกข์ อ่านแล้วเจอข้อบกพร่องตรงไหน หรือรู้สึกยังไง แชร์เข้ามาในคอมเม้นท์หน่อยนะครับ ผมจะนำไปปรับปรุงให้ดียิ่งๆ ขึ้นครับ

ขอบคุณมากครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่