ในกระทู้ของสมาชิกท่านอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ สงสารผู้กำกับเหมือนกันนะคะที่ต้องตกเป็นจำเลยอันดับหนึ่งเมื่อละครออกมาเป็นแบบนี้ จริง ๆ ถามว่าพรหมลิขิตพี่นายกำกับโอเคมั้ย เต็ม 10 คงให้ประมาณ 7 มันไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่มันก็ไม่ได้แย่ถึงขั้นยอมรับไม่ได้ แต่พรหมลิขิต มันเป็นผลงานที่ตั้งอยู่บนความคาดหวังของคนดู คนสร้าง ผู้ประพันธ์ ผู้เขียนบท หรือทีมงานนักแสดง มันทำให้ผลงานเรื่องนี้ไม่ได้เป็นธรรมชาติเหมือนบุพเพสันนิวาสที่ดูเป็นละครจริง ๆ พรหมลิขิต ประพันธ์ขึ้นตามเค้าโครงที่ต่อเนื่องจากบุพเพสันนิวาส แต่หากย้อนกลับไป ทำไมบุพเพมันถึงดัง บทสนุกกว่า อันนี้ก็ถูกต้อง ที่สำคัญที่สุด บุพเพ มันคือความสดใหม่ ณ ช่วงเวลานั้น เป็นเรื่องใหม่ ไม่ได้ตั้งอยู่บนจุดที่คาดหวัง มันเหมือนเราได้ลองเรียนรู้สิ่งใหม่ที่ไม่เคยเจอ ก็จะมีความตื่นเต้น สนุก น่าค้นหา
จำเลยสังคมพรหมลิขิต อย่างพี่นาย จริง ๆ จะโทษเขาก็ไม่ได้เสมอไป ผู้กำกับ เกือบ 100 % จะกำกับตามบทละครที่มี มันมีการเปลี่ยนแปลงหน้าฉากก็จริง แต่โดยรวมแล้วมันก็มาจากบทละคร (อ.ศัลยา) นั่นแหละ เป้าหมายแรกที่ควรติ ไม่ใช่ผู้กำกับ คนนี้ค่ะ คนเขียนบทค่าา บทคือสิ่งสำคัญที่สุด บทคือเนื้อเรื่อง คนเขียนบทคือคนเล่าเรื่อง ผู้กำกับมีหน้าที่แค่สร้างภาพของการเล่าเรื่องนั้น โทษบทแล้วก็มาโทษผู้กำกับได้เลยค่ะ แต่....ผู้จัดล่ะค่ะ ก่อนที่บทมันจะคลอดออกมา มันต้องผ่านการตรวจจากผู้จัดนะคะ นี้ค่ะ จำเลยคนที่ 2 เพราะผู้จัดเขาเป็นคนเลือกผู้กำกับ เขาดูตามบท แปลว่าก่อนที่จะมีผู้กำกับ ผู้จัดนี่แหละค่ะที่ต้องอยู่กับบท ถ้าจะให้เปรียบเทียบกับบุพเพ บุพเพมีสเน่ห์ในการเล่าเรื่อง การกำกับ การควบคุมของผู้จัด มันเหมือนอาหารจานใหม่ แต่พรหมลิขิตมันเหมือนอาหารตามสั่ง อะไรที่ขาดไปในบุพเพ อะไรที่คนส่วนใหญ่เขาเรียกร้อง ณ เวลานั้น ในบุพเพไม่มี ก็จับมัดรวมกันใส่ในพรหมลิขิต แล้วละครมันก็ไปไม่สุดสักอย่าง ทั้งพาร์ทประวัติศาสตร์ ดราม่า โรแมนติก คอมเมดี้ หรือปมสำคัญ ๆ ตัวละคร มันเหมือนจะไปทุกทาง แต่ไม่ได้โฟกัสสักทาง สรุปคือตีกันมั่วอย่างที่เห็น เนื้อเรื่องแบบนี้ จบที่ 16-17 ตอนก็ได้ค่ะ โทษช่องบ้างก็ได้ที่อนุมัติอะไรเยอะแยะ ตัวการสำคัญเลย ทำให้ต้องเขียนบทยัด ๆ มีแต่น้ำ
ท้ายที่สุด เป็นกำลังใจให้ทีมงานผู้ผลิตนะคะ อย่างน้อยผลงานมันก็ไม่ถึงขั้นรับไม่ได้ แต่ผิดคาดจากที่คิดนิดหน่อย
จากกระแสติผู้กำกับพรหมลิขิต
จำเลยสังคมพรหมลิขิต อย่างพี่นาย จริง ๆ จะโทษเขาก็ไม่ได้เสมอไป ผู้กำกับ เกือบ 100 % จะกำกับตามบทละครที่มี มันมีการเปลี่ยนแปลงหน้าฉากก็จริง แต่โดยรวมแล้วมันก็มาจากบทละคร (อ.ศัลยา) นั่นแหละ เป้าหมายแรกที่ควรติ ไม่ใช่ผู้กำกับ คนนี้ค่ะ คนเขียนบทค่าา บทคือสิ่งสำคัญที่สุด บทคือเนื้อเรื่อง คนเขียนบทคือคนเล่าเรื่อง ผู้กำกับมีหน้าที่แค่สร้างภาพของการเล่าเรื่องนั้น โทษบทแล้วก็มาโทษผู้กำกับได้เลยค่ะ แต่....ผู้จัดล่ะค่ะ ก่อนที่บทมันจะคลอดออกมา มันต้องผ่านการตรวจจากผู้จัดนะคะ นี้ค่ะ จำเลยคนที่ 2 เพราะผู้จัดเขาเป็นคนเลือกผู้กำกับ เขาดูตามบท แปลว่าก่อนที่จะมีผู้กำกับ ผู้จัดนี่แหละค่ะที่ต้องอยู่กับบท ถ้าจะให้เปรียบเทียบกับบุพเพ บุพเพมีสเน่ห์ในการเล่าเรื่อง การกำกับ การควบคุมของผู้จัด มันเหมือนอาหารจานใหม่ แต่พรหมลิขิตมันเหมือนอาหารตามสั่ง อะไรที่ขาดไปในบุพเพ อะไรที่คนส่วนใหญ่เขาเรียกร้อง ณ เวลานั้น ในบุพเพไม่มี ก็จับมัดรวมกันใส่ในพรหมลิขิต แล้วละครมันก็ไปไม่สุดสักอย่าง ทั้งพาร์ทประวัติศาสตร์ ดราม่า โรแมนติก คอมเมดี้ หรือปมสำคัญ ๆ ตัวละคร มันเหมือนจะไปทุกทาง แต่ไม่ได้โฟกัสสักทาง สรุปคือตีกันมั่วอย่างที่เห็น เนื้อเรื่องแบบนี้ จบที่ 16-17 ตอนก็ได้ค่ะ โทษช่องบ้างก็ได้ที่อนุมัติอะไรเยอะแยะ ตัวการสำคัญเลย ทำให้ต้องเขียนบทยัด ๆ มีแต่น้ำ
ท้ายที่สุด เป็นกำลังใจให้ทีมงานผู้ผลิตนะคะ อย่างน้อยผลงานมันก็ไม่ถึงขั้นรับไม่ได้ แต่ผิดคาดจากที่คิดนิดหน่อย