[ชนจิตฺโต] ตอนที่ 2: ครอบครัว



ตอนที่ 2: ครอบครัว

หลังจากที่ผมได้รับอนุญาตจากพ่อแม่ให้บวชได้แล้ว ผมก็ต้องหาวัดที่ผมจะไปฝากตัวขอเป็นศิษย์ โชคดีอีกแล้วที่อาผู้ชายของผมนั้น เพิ่งบวชและเพิ่งสึกไม่นานมานี้เหมือนกัน แกบวชที่วัดไม่ไกลจากบ้านที่นครศรีธรรมราช แกเลยชวนให้ผมมาบวชที่วัดนี้ "วัดประดู่พัฒนาราม"

โดยผมจะต้องบินลงไปก่อน เพื่อเตรียมข้าวของเตรียมตัวบวชต่างๆ สิ่งหนึ่งที่เราควรจะเตรียมก็คือ การกล่าวคำขอบวช ซึ่งเป็นภาษาบาลีล้วนๆ ยาวอยู่หลายหน้ากระดาษ แถมอาก็บอกด้วยว่าพระอาจารย์เข้มงวด ถ้าเราสวดไม่ได้ท่านก็อาจจะไม่ให้บวชเลย ผมก็ได้แต่เหงื่อตก เลยท่องเข้าไปวันละหลายรอบ

ผมทำงานมามีเงินเก็บไม่กี่พัน ก็ยังกังวลอยู่ว่าจะมีเงินบวชมั้ย เพราะคราวพี่ชายบวชครั้งก่อนก็ใช้ไปหลายหมื่น ก็แอบหนักใจอยู่บ้าง แต่ทางวัดประดู่ ณ ตอนนั้น ท่านใจดีมากๆ ครับ ไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายใดๆ เลย เรื่องของบาตร จีวร ของใช้ต่างๆ ทางวัดพอจัดหาได้อยู่ ขอแค่มีความตั้งใจมาก็พอ

อาพาผมไปฝากตัวเป็นศิษย์กับท่านเจ้าอาวาส แล้วก็หาฤกษ์งามยามดีที่จะบวชกัน จากนั้นท่านก็บอกให้ผมลองไปเดินดูรอบๆ วัดก่อน จะได้รู้ว่าอะไรอยู่ทางไหน เป็นการปรับตัวไปให้คุ้นชิน เพราะจะต้องอยู่ที่นี่อีก 3 เดือน

วันบวชเข้าใกล้มาแล้ว ใจก็เต้นตุ๊บๆ ต่อมๆ เราจะทำได้มั้ยวะ ท่องขอบวชก็ ได้แค่ 70% เองมั่ง แถมบวชแล้วก็ต้องกินข้าววันละแค่ 2 มื้อ กลางคืนกูจะต้องตื่นมาต้มมาม่ามั้ยเนี่ย พอมันตั้งใจอะไรมากเกินไป มันก็จะกลายเป็นประหม่าไปโดยปริยาย แต่ถึงกระนั้นผมก็คิดแต่เพียงว่า เอาว่ะไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาแบบไหน ถ้าเราทำให้ดีที่สุดก็เป็นพอ

ก่อนหน้าวันบวช ญาติๆ เริ่มเดินทางกลับมา อาที่ไม่เคยได้เจอหน้ามาหลายปีก็ได้เจอ น้าๆ ฝั่งแม่ก็มากันครบแทบทุกคน อาจารย์ที่ทำโปรเจค internet ให้กับโรงแรมด้วยกันแกก็ลงมา ไม่ต้องจัดงานเลี้ยงบวชพระใหญ่โต แค่ทำกับข้าวกินกันในครอบครัว ก็เป็นอะไรที่อบอุ่นหัวใจเหลือเกิน ทุกคนต่างมีความสุขที่ได้เจอกัน ยังคงประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้ (รู้สึกจะมีรูปถ่ายด้วยนะ แต่จำไม่ได้แล้วว่าอยู่ไหน)

และแล้วเช้าวันบวชก็มาถึง ทุกๆ คนมาอยู่กันที่วัด ก่อนจะบวชพระเราจะต้องบวชนาคก่อน ชุดคล้ายๆ กับพระ แต่จะเป็นสีขาว มันถึงเวลาที่ผมจะต้องสละกาเกงยีนส์ของโลกออกไป แล้วใส่ยูนิฟอร์มของทางธรรมเสียแทน และใช่ครับวันนั้น เป็นวันสุดท้ายที่ผมกับกางเกงในเพื่อนยากจะต้องจากกัน

ทุกคนพาผมไปเดินรอบโบสถ์สามรอบ แต่ละคนจะถือสิ่งของต่างกัน เช่นถ้ามีแฟนๆ ก็ถือหมอน หรือให้พี่หรือแม่ถือแทนก็ได้ ส่วนทางพ่อนั้นก็จะถือบาตรให้ แต่ผมเตี๊ยมกับพ่อผมไว้ว่า พ่อถือบาตรวนแค่รอบเดียวพอนะ

อีกสองรอบที่เหลือ ผมขอให้อาเขยที่ส่งเสียผมจนเรียนจบได้ถือบ้าง และอีกรอบที่เหลือก็เป็นอาเขยสามีน้องสาวคนโตของพ่อ ซึ่งผมรักพวกท่านทั้งสองคนมาก และท่านก็ไม่มีลูกชายทั้งคู่ ผมเลยจะขอโอกาสบวชให้ท่านด้วยเลยละกัน ซึ่งพ่อก็เห็นดีด้วย

การทำพิธีในโบสถ์ก็เรียบง่าย พระท่านก็จะมาสอบถามเพื่อยืนยันว่า เราสามารถบวชตามพระวินัยได้จริงรึเปล่า เมื่อเรายืนยันว่าเราไม่มีข้อด่างพร้อยใดๆ แล้ว พระท่านก็จะให้เราไปเปลี่ยนชุด แล้วห่มจีวรออกมา

เมื่อเรากลับออกมาแล้ว จากนั้นท่านก็จะอธิบาย 4 กฏใหญ่ให้ฟังว่าห้ามทำโดยเด็ดขาดนะ ถ้าทำเมื่อไหร่จะขาดจากความเป็นพระทันที ซึ่งก็จะมีดังนี้ครับ

1. ห้ามมีเพศสัมพันธ์
2. ห้ามลักขโมย
3. ห้ามฆ่ามนุษย์
4. ห้ามโอ้อวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน
ซึ่ง 4 ข้อนี้เราจะเรียกว่า อาบัติปาราชิก

เมื่อพระอุปัชฌาย์หรือพระที่สามารถบวชให้กับกุลบุตร ท่านได้บอกกล่าวข้อกำหนดแล้ว จบท้ายท่านก็จะให้วิธีการปฏิบัติสมาธิ ให้เรานำมาปฏิบัติตลอดระยะเวลา 3 เดือนในการเป็นพระ เป็นอันจบพิธี ...เย้

"เลี้ยงทหารพันวันเพื่อรบกันแค่วันเดียว" เป็นสุภาษิตจีนโบราณที่ผมอ่านมาจากหนังสือการ์ตูน ซึ่งวันนั้นก็ไม่เกินจริงไปนัก เพราะทุกๆ อย่างออกมาดีอย่างที่คาดไว้ เมื่อเราทำทุกอย่างเต็มที่ไปแล้ว ผลลัพธ์จะออกมาเช่นไร ก็ไม่เป็นที่น่าเสียดายอีกต่อไป

เด็กชายคนนึงเข้าโบสถ์ไปอย่างเก้อเขิน ตอนนี้เขาเดินก้าวเท้าออกมา ภายใต้ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ เป็นพระภิกษุเต็มตัว และมีฉายาทางธรรมว่า "ชนจิตโต" ผู้ชนะจิตใจตนเอง

ขอบคุณที่อ่านมาจนจบนะครับ ตลอด 3 เดือนของพระนัทจะเป็นเช่นไร จะแหลงใต้กับคนอื่นรู้เรื่องหรือไม่ ขอให้ได้รับชมติดตามกันนะครับ

สวัสดี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่