กลรักสาวมีนกร ตอนที่ 1 สาวมีนกร

กระทู้คำถาม
บทที่ 1 สาวมีนกร

เสียงโต้เถียงในห้องทำงานของเพ็ญจันทร์ภายในคฤหาสน์หรูดังขึ้นดุจเสียงฟ้าคำรามในวันที่พายุโหมกระหน่ำ  ประมุขของบ้านไม่พอใจที่หลานคนเล็กไม่ยอมทำตามคำสั่งของตนเอง เด็กน้อยที่เคยบังคับให้ทำตามคำสั่งในวันนี้เติบใหญ่กล้าพอที่จะขัดคำสั่งของคนเป็นป้า มัจฉายืนสงบนิ่งไม่มีทีท่าแสดงความกลัวให้เพ็ญจันทร์ได้เห็น การแสดงออกของมัจฉายิ่งทำให้เพ็ญจันทร์โมโหอาละวาดจนห้องแทบพัง  มัจฉาก็เช่นกันต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันนับวันความขัดแย้งยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย  ๆ  

   เพ็ญจันทร์หญิงสาววัยกลางคนต้องรับภาระเลี้ยงดูพุทธชาดกับมัจฉาหลังจากที่จันทราน้องสาวประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์พร้อมกับมานพตั้งแต่มัจฉาเพิ่งลืมตาดูโลกได้เพียงไม่กี่วัน   เพ็ญจันทร์ต้องรับหน้าที่เลี้ยงดูหลานทั้งสองนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา  พุทธชาดเป็นหลานคนโปรดของเพ็ญจันทร์ถูกเลี้ยงมาดุจไข่ในหินเป็นคุณหนูของบ้านส่วนมัจฉาถูกเลี้ยงมาเหมือนกับลูกคนกรรมกรเป็นคนรับใช้ของพุทธชาด ตั้งแต่เล็กจนโตมัจฉาต้องทำหน้าที่ดูแลพุทธชาดทุกเรื่องที่พี่สาวต้องการให้ช่วย 

 การดำเนินชีวิตของทั้งสองคนต่างกันราวนรกกับสวรรค์อีกคนสุขสบาย อีกคนทุกข์ยาก เพ็ญจันทร์ไม่เคยเข้าใจความยากลำบากของมัจฉาเลยเอาตัวเองเป็นที่ตั้งไม่ฟังเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้นตัวฉันเป็นศูนย์กลางของจักรวาลโลกใบนี้เป็นของฉันแด่เพียงผู้เดียว 

“ ป้าไม่ให้เรียน  ”   คำพูดสั้น  ๆ น้ำเสียงกระชากอย่างไม่พอใจทำให้ผู้ฟังเข้าใจในความรู้สึกได้เป็นอย่างดี มัจฉารู้คำตอบตั้งแต่เดินเข้ามาภายในห้องแต่ด้วยความจำยอมต้องมาบอกให้เพ็ญจันทร์ได้รับรู้ ทั้ง ๆ ที่ในใจไม่ต้องการให้รับรู้

“ มัจอยากเรียนประมง  คุณนายจะมาบังคับให้มัจทำตามใจคุณนายไม่ได้หรอกนะ มัจเป็นคนไม่ใช่หุ่นยนต์ที่จะตั้งโปรแกรมตามใจต้องการให้ทำตามความพอใจของตัวเอง  เผด็จการ มนุษย์ผีดิบ  คนไร้หัวใจ   ” 

“  ไอ้เด็กหัวดื้อ จองหอง ใครสั่งใครสอนให้มีนิสัยแบบนี้เถียงทุกคำ  ดูอย่างพุทธชาดสิ พี่สาวของแกตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยทำให้ป้าต้องผิดหวัง  ป้าบอกอะไรไม่เคยเถียงแม้แต่คำเดียว ดูแกสิเถียงป้าทุกคำ ใช้ได้ที่ไหนนิสัยแบบนี้  ”   คำพูดของเพ็ญจันทร์เปรียบเหมือนกับเข็มหลายหมื่นเล่มที่คอยทิ่มแทงหัวใจของมัจฉาเรื่อยมาตั้งแต่เล็กจนโตจนหัวใจดวงด้านชาเกินที่จะรับรู้ถึงความรักของเพ็ญจันทร์ที่เคยมีให้ในขณะที่เพ็ญจันทร์ก็ไม่เคยรู้ว่าคำพูดของตัวเองสร้างบาดแผลทางใจให้หลานตัวเอง

“ ชีวิตของมัจเป็นของคุณนายตั้งแต่เมื่อไหร่  มัจมีสิทธิ์ที่จะเลือกทางเดินของตัวเอง  คุณนายได้ยินไหม  ”  มัจฉาตะโกนใส่หน้าเพ็ญจันทร์สุดเสียงด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด

“ แกต้องเรียนมัธยมปลายเท่านั้นนี่คือคำสั่ง แกได้ยินไหม ”

“ คุณนายมีเหตุผลอะไร ทำไมมัจถึงเรียนประมงไม่ได้ในเมื่อมัจอยากเรียนในสาขาวิชานี้ เมื่อไหร่คุณนายจะเลิกบังคับมัจสักที ดูอย่างพี่พุดสิมีสิทธิ์ที่จะเลือกทุกอย่างในชีวิตด้วยตนเองแต่ทำไมมัจไม่มีสิทธิ์เลือกอย่างพี่พุดบ้าง ”

“ ป้าไม่ให้เรียน เลิกคิดเลิกฝันได้แล้วมันไม่มีวันที่จะเป็นจริงขึ้นมาได้ ป้าไม่มีวันยอมให้มัจเรียนประมงโดยเด็ดขาด ”

“ มัจบอกคุณนายเป็นครั้งสุดท้ายเหมือนกันว่ามัจต้องการเรียนประมงเท่านั้นไม่มีวันไปเรียนมัธยมปลายตามที่คุณนายต้องการเหมือนกัน  คุณนายได้ยินไหม ”   

“ อยากเรียนประมงก็ตามใจ ป้าไม่ได้บังคับแต่แกต้องหาเงินเรียนเอง เลือกเอาแล้วกันว่าอยากเรียนแบบสบายหรือต้องลำบากหาเงินเรียนเองสมองมีคงคิดได้ไม่ยาก ถ้าไม่เชื่อก็ลองดู ” 

 เพ็ญจันทร์แกล้งขู่มัจฉาเพราะคิดว่ามัจฉาคงล้มเลิกความตั้งใจยอมกลับมาเรียนมัธยมปลายอย่างที่ต้องการแต่ผิดคาดมัจฉายังคงยืนยันคำเดิมที่จะเรียนประมงเหมือนเดิมโดยไม่ได้สนใจคำพูดของเพ็ญจันทร์แต่อย่างใด

“ มัจหาเงินเรียนเองก็ได้ไม่จำเป็นต้องใช้เงินของคุณนาย คุณนายเก็บเงินของตัวเองไว้ให้หลานรักของคุณนายเถอะนะ หลานชังอย่างมัจไม่มีสิทธิ์ในเงินของคุณนาย มัจเข้าใจในชะตากรรมของตัวเองดี  ”

  มัจฉาพยามกลั้นความเสียใจเอาไว้ไม่ให้เพ็ญจันทร์เห็นน้ำตาของตนเองที่กำลังไหลอาบแก้มรีบใช้มือเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าเดินออกจากห้องของเพ็ญจันทร์    สายฝนกำลังโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย เพ็ญจันทร์ยืนอยู่ตรงริมหน้าต่างนึกถึงเรื่องราวในอดีตอยู่เงียบ ๆเพียงลำพังคนเดียวในห้อง

  
“ ป้าขอโทษนะลูก   ”    

เสียงเรียกของพิมพ์ภาดังขึ้นทำให้เพ็ญจันทร์สะดุ้งตัวด้วยความตกใจหันหลังกลับมาดูยังต้นเสียงพร้อมกับถอนหายใจ 

“ มีอะไรหรอพิมพ์วิ่งหน้าตาตื่นมาเชียวหรือว่าเกิดปรากฏการณ์ช้างกินควาย ”  

 “  ดูคุณผู้หญิงพูดเข้าสิ  ดิฉันเห็นคุณหนูวิ่งออกไปจากบ้านไปนานมากแล้วนะคะป่านนี้ยังไม่กลับมาเลยค่ะคุณผู้หญิง ”

“ ว่าไงนะ นี่มันก็ดึกมากแล้วยังจะออกไปไหนอีก ป่านนี้ยังไม่กลับมาอีก ไอ้เด็กคนนี้ทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อยเลย  ”  เพ็ญจันทร์รีบลุกขึ้นเดินออกจากห้องทันที ในระหว่างที่เพ็ญจันทร์กำลังเดินออกจากบ้านไปตามมัจฉาเดินสวนกับพุทธชาดที่กำลังเดินเข้ามาในบ้านพอดี  

“ ดึกแล้วมากแล้วป้าจะรีบไปไหนคะ ”  

“ มัจหายออกไปจากบ้าน ป้าจะออกไปตามน้องกลับบ้านไม่รู้เตลิดไปถึงไหนแล้ว ”

“ คิดว่าเรื่องอะไร ป้ากลับเข้าบ้านไปพักผ่อนเถอะค่ะ น้องนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่กับเข้มและเบิ้มอยู่ตรงหน้าปากทางเข้าหมู่บ้านเดี๋ยวสักพักคงกลับมา  ป้ายังไม่ชินอีกหรอค่ะที่น้องหายออกไปจากบ้าน  ”  พุทธชาดอมยิ้มเดินจูงมือเพ็ญจันทร์เดินกลับเข้ามาในบ้าน  เพ็ญจันทร์ยังรู้สึกกังวลใจกลัวมัจฉาไม่กลับบ้าน

“ พุดโทรถามน้องหน่อยสิว่าจะกลับกี่โมง นี่มันจะสี่ทุ่มแล้ว ทำไมยังไม่กลับบ้าน ป้าเป็นห่วง ”   พุทธชาดหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากดโทรหามัจฉาทันที  

ร้านก๋วยเตี๋ยริมทางเล็กๆ ถูกสร้างขึ้นอย่างง่าย ๆ  โต๊ะและเก้าอี้วางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ มัจฉา เข้มและเบิ้มกำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยว  เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มัจฉาเหลือบไปมองปลายสายเป็นเบอร์โทรของพุทธชาดใจหนึ่งอยากจะรับสายแต่อีกใจหนึ่งไม่อยากรับสาย มัจฉาถอนหายใจกดรับสายพุทธชาด

“ สวัสดีครับคุณหมอคนสวย ”

 “ ทำไมยังไม่กลับบ้าน ดึกมากแล้ว กลับบ้านได้แล้วพี่เป็นห่วงมัวทำอะไรอยู่ ”

“  มัจยังกินก๋วยเตี๋ยวยังไม่เสร็จเลยพี่พุดอีกสักพักก็กลับแล้วไม่ต้องเป็นห่วงใกล้แค่นี้เอง ”

“  รีบกินรีบกลับแล้วกัน พี่รออยู่ ”  

“ พี่พุดโทรตามกลับบ้านไปดูดนมนอนแล้วหรอวะ ”  เข้มแซวมัจฉาพร้อมกับหยิบขวดน้ำปลาทำท่าเหมือนเด็กกำลังดูดนมออกจากขวด 

“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า   ยิ้มหน่อยสิคุณหนูมัจฉา ”  เบิ้มทำท่าเป็นตัวตลกแต่ทั้งสองคนไม่สามารถทำให้มัจฉายิ้มได้แม้แต่นิดเดียว

“ แกจะทำยังไง ในเมื่อป้าเพ็ญไม่ยอมให้เรียนแถมยังบังคับให้แกกลับไปเรียนมัธยมปลาย  ”

“  คุณนายบอกกับฉันว่า ถ้าจะเรียนประมงต้องหาเงินเรียนเอง  ฉันพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้าแต่หลังจากนี้คงต้องหางานทำ ”

“  รอให้ป้าเพ็ญใจเย็นมากกว่านี้แล้วแกค่อยไปบอกอีกสักรอบเผื่อจะยอมใจอ่อน ”

“ รอให้น้ำท่วมหลังเต่า พระราหูมีลูกกับพระจันทร์เสียก่อน คุณนายถึงจะยอมให้ฉันเรียนประมง ”

“ ค่อย ๆ คิดไปแล้วกัน พวกฉันสองคนเป็นกำลังให้ มีอะไรให้ช่วยก็บอกแล้วกัน ”  เข้มกับเบิ้มยื่นแขนไปบีบมือของมัจฉาเบา ๆ แสดงความห่วงใยให้กับเพื่อน   หลังจากกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จเรียบร้อยแล้วเข้มและเบิ้มเดินไปส่งมัจฉาที่บ้านทั้งสามคมเดินปรับทุกข์กันไปจนถึงบ้านของมัจฉา 
  
“ โชคดีนะเว้ย แกไม่ต้องคิดมาก พวกฉันสองคนเป็นกำลังใจให้ ”

เข้มและเบิ้มเป็นเพื่อนสนิทของมัจฉาฐานะทางบ้านของทั้งสองคนค่อนข้างลำบากทั้งสองคนเป็นกำพร้า เข้มอาศัยอยู่กับยาย ส่วนเบิ้มอยู่กับแม่ พ่อของเบิ้มเสียชีวิตไปตั้งแต่อายุได้สามขวบทั้งสองคนมีความสุขตามอัตภาพ   มัจฉาเดินกลับเข้ามาในบ้านโน้มตัวลงนอนบนเตียง พุทธชาดเปิดประตูเข้ามาในห้อง มัจฉารีบปาดน้ำตาออกจากแก้ม

“ พี่รู้เรื่องทั้งหมดจากป้าหมดแล้ว ”   พุทธชาดถอนหายใจเอามือลูบหัวมัจฉาเบา ๆ   มัจฉาลุกขึ้นนั่งเข้าสวมกอดพุทธชาด

“ พี่รู้ว่ามัจอยากเรียน เรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียนมัจไม่ต้องเป็นห่วง พี่จะเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ”

“  พี่พุดไม่ต้องลำบากเดี๋ยวคุณนายรู้เข้าพี่พุดจะโดนดุ  ”

“ มัจจะเอาเงินที่ไหนเรียนหรือว่ามัจยอมเรียนมัธยมปลายตามคำสั่งของป้า ”

“  นี่ถ้าพ่อกับแม่ยังอยู่มัจคงมีความสุขมากกว่านี้  คุณนายไม่เคยรักมัจเลย ”

“  มัจอย่าพูดแบบนั้น เดี๋ยวป้ามาได้ยินเข้า ทำไมป้าจะไม่รักมัจละ ถ้าไม่อย่างนั้นป้าจะเลี้ยงมัจมาจนโตหรอ ”

“  พี่พุดไม่ต้องมาปลอบใจมัจเลย ”

“ นี่มันก็ดึกมากแล้วไปอาบน้ำแล้วนอน ทำใจให้สบาย ๆ นะไอ้น้องรัก ส่วนเรื่องเรียนพี่จะช่วยพูดให้ไม่รู้ปากจะยอมใจอ่อนหรือเปล่า พรุ่งนี้มีสอบพี่ขอตัวไปอ่านหนังสือสอบก่อนแล้วกัน ”   

มัจฉาหลับตานอนอยู่บนเตียงนึกถึงเรื่องราวในอดีต หยดน้ำตาค่อย ๆ ไหลออกมาอาบทั้งสองแก้มปลดปล่อยความเศร้าออกจากหัวใจ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นค่อย ๆ ใช้มือเอื้อมไปหยิบตรงหัวเตียง 

“ ไอ้ชล ”

“ แกร้องไห้ทำไมบอกฉันมาเดี๋ยวนี้ใครทำอะไรแก  ” มัจฉาเงียบยิ่งทำให้ชลธีร้อนใจ  

“ แกอย่าเงียบสิ ฉันใจคอไม่ดีเลย ”

“ ไอ้ชล ! คุณนายไม่ยอมให้ฉันเรียนประมง คุณนายบังคับให้ฉันเรียนมัธยมปลายแต่ฉันไม่อยากเรียน ”

“ ไม่เป็นไรเว้ย แกรอให้ป้าเพ็ญอารมณ์เย็นแล้วค่อยไปคุยอีกรอบ คุยด้วยเหตุผลอย่าใช้อารมณ์ ฉันหวังว่าป้าเพ็ญจะเข้าใจแก ”

“ ไม่มีวันที่คุณนายจะเข้าใจฉัน เชื่อฉันสิ คุณนายทำเหมือนกับฉันเป็นหุ่นยนต์ไม่ใช่คน ”

“ เอาแบบนี้แล้วกันช่วงนี้แกมาอยู่บ้านฉันก่อนไหม พ่อกับแม่ฉันไม่ว่าหรอก ”

“ แกจะบ้าหรอ ฉันเป็นผู้หญิง แกเป็นผู้ชาย เฮ้ย ! ฉันลืมไปว่าแกเป็นเพื่อนสาว ”

“ พูดเบา ๆ  สิเดี๋ยวพ่อกับแม่ของฉันก็ได้ยินหรอก ”

“ โทษทีวะ ฉันลืมไป ”

“  แกมีอะไรให้ฉันช่วยบอกได้ทุกเรื่อง เพื่อนคนนี้ยินดีช่วยด้วยความเต็มใจทุกอย่าง ”

“ เป็นมากกว่าเพื่อนได้ไหม  ไอ้ชลฉันรักแกวะ ”

“ ไอ้มัจวันนี้แกเป็นอะไรเมาน้ำตาจนเพี๊ยนไปแล้ว อย่าร้องไห้ไปเลยอ้อมกอดของฉันยังว่างรอแกมาซบ ”

“ แกอย่ามายิ้ม อ้อมกอดของแกมีไว้ให้ไอ้ก้องภพคนเดียวต่างหากละไม่มีที่ว่างสำหรับฉันหรอก ”

“ ครับผมแต่สำหรับแกว่างเสมอ ฉันรอให้แกมาซบอกฉันอยู่  ”

ตลาดสดในเช้าวันอาทิตย์พลุกพล่านไปด้วยผู้คนจำนวนมากที่พากันมาเดินเลือกซื้อของ เข้ม เบิ้ม และมัจฉากำลังช่วยกันเลือกส้มเขียวหวานใส่ลงในถุง โตเดินผ่านเข้ามาเห็นพอดีหยิบฝรั่งขว้างใส่เข้มเต็มแรง เขาทำหน้าเย้ยหยันด้วยความสะใจ เบิ้มคิ้วขมวดไม่พอใจ

“ ไอ้โต ไอ้ยิ้มเอาฝรั่งมาเขวี้ยงใส่หัวกูทำไมวะ ”

“ จะทำไม ไอ้ขี้ครอก ”  

“ ไอ้ลูกเมียน้อย ”    เข้มไม่รอช้าเดินเดินเข้าไปชกหน้าโตจนล้มคว่ำกับพื้น  เบิ้มกับมัจฉาคอยกันไม่ให้เพชรเข้าไปทำร้ายเบิ้ม เหตุการณ์บานปลายไปกันใหญ่เมื่อทั้งสองฝ่ายไม่มีใครยอมกัน โตยังไม่หยุดคุกคามเข้มทางวาจา เข้มหมดความอดทนกระโดดถีบโตเต็มแรงจนล้มนอนกองกับพื้น เพชรรีบวิ่งเข้ามาช่วยโตต่างฝ่ายต่างดวลหมัดเข้าหากัน มัจฉาเห็นท่าไม่ดีถีบโตออกจากเข้มหันหลังกลับไปชกหน้าเพชร เหตุการณ์วุ่นวายไปกันใหญ่ไม่มีใครยอมใครทั้งสองฝ่ายตะลุมบอนชุลมุนวุ่นวายไปทั้งแผงผลไม้ในแถบนั้น

“  อีมัจ อีทอมกล้าดียังไงมาถีบกู วันนี้กูจะทอมอย่างมาทำเมียให้ได้  ”  โตโกรธมากเดินเข้าไปจับตัวมัจฉา ทักษะการต่อสู้ไม่มีทำให้พลาดท่าเสียถูกมัจฉาจับโยนลงไปกองกับพื้น 

“ จับแม่ไปทำเมียก่อนแล้วกัน ไอ้ลูกเมียน้อยอย่างไม่มีวันทำอะไรคนอย่างกูได้หรอก ” 

“ ไอ้เพชรจัดการพวกมันให้สินซาก อย่าให้พวกมันมีแรงเดินกลับบ้าน ”

“ ไอ้เข้ม ! ไอ้เบิ้ม ! แกสองคนรอเก็บศพไอ้พวกนี้สองตัวได้เลย วันนี้ฉันจะกระทืบไอ้สองตัวนี้ให้จมดินเอาเลือดมาล้างตีนไอ้เบิ้มให้หายแค้น ”  มัจฉาไม่รอช้าวิ่งเข้าไปกระโดดถีบเพรชกระและโตกระเด็นไปคนละทางทั้งสองคนยืนขึ้นจะเข้ามาทำร้ายมัจฉาแต่ไม่สามารถทำอะไรมัจฉาได้เลยทั้งสองคนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัจฉาอาจเป็นเพราะเป็นนักมวยทำให้มีทักษะการต่อสู้มากกว่าทั้งสองคน  ผู้ชายสองคนเสียท่าให้ผู้หญิงเพียงคนเดียวสร้างความอับอายกับทั้งสองคน

“  อีนางทอม กูจะไปบอกให้ครูเพ็ญจันทร์จัดการ ”

“ ไอ้ลูกเมียน้อย เชิญไปฟ้องเลย กูไม่กลัวหรอก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่