บทที่ 1 สาวมีนกร
เสียงโต้เถียงในห้องทำงานของเพ็ญจันทร์ภายในคฤหาสน์หรูดังขึ้นดุจเสียงฟ้าคำรามในวันที่พายุโหมกระหน่ำ ประมุขของบ้านไม่พอใจที่หลานคนเล็กไม่ยอมทำตามคำสั่งของตนเอง เด็กน้อยที่เคยบังคับให้ทำตามคำสั่งในวันนี้เติบใหญ่กล้าพอที่จะขัดคำสั่งของคนเป็นป้า มัจฉายืนสงบนิ่งไม่มีทีท่าแสดงความกลัวให้เพ็ญจันทร์ได้เห็น การแสดงออกของมัจฉายิ่งทำให้เพ็ญจันทร์โมโหอาละวาดจนห้องแทบพัง มัจฉาก็เช่นกันต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันนับวันความขัดแย้งยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
เพ็ญจันทร์หญิงสาววัยกลางคนต้องรับภาระเลี้ยงดูพุทธชาดกับมัจฉาหลังจากที่จันทราน้องสาวประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์พร้อมกับมานพตั้งแต่มัจฉาเพิ่งลืมตาดูโลกได้เพียงไม่กี่วัน เพ็ญจันทร์ต้องรับหน้าที่เลี้ยงดูหลานทั้งสองนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พุทธชาดเป็นหลานคนโปรดของเพ็ญจันทร์ถูกเลี้ยงมาดุจไข่ในหินเป็นคุณหนูของบ้านส่วนมัจฉาถูกเลี้ยงมาเหมือนกับลูกคนกรรมกรเป็นคนรับใช้ของพุทธชาด ตั้งแต่เล็กจนโตมัจฉาต้องทำหน้าที่ดูแลพุทธชาดทุกเรื่องที่พี่สาวต้องการให้ช่วย
การดำเนินชีวิตของทั้งสองคนต่างกันราวนรกกับสวรรค์อีกคนสุขสบาย อีกคนทุกข์ยาก เพ็ญจันทร์ไม่เคยเข้าใจความยากลำบากของมัจฉาเลยเอาตัวเองเป็นที่ตั้งไม่ฟังเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้นตัวฉันเป็นศูนย์กลางของจักรวาลโลกใบนี้เป็นของฉันแด่เพียงผู้เดียว
“ ป้าไม่ให้เรียน ” คำพูดสั้น ๆ น้ำเสียงกระชากอย่างไม่พอใจทำให้ผู้ฟังเข้าใจในความรู้สึกได้เป็นอย่างดี มัจฉารู้คำตอบตั้งแต่เดินเข้ามาภายในห้องแต่ด้วยความจำยอมต้องมาบอกให้เพ็ญจันทร์ได้รับรู้ ทั้ง ๆ ที่ในใจไม่ต้องการให้รับรู้
“ มัจอยากเรียนประมง คุณนายจะมาบังคับให้มัจทำตามใจคุณนายไม่ได้หรอกนะ มัจเป็นคนไม่ใช่หุ่นยนต์ที่จะตั้งโปรแกรมตามใจต้องการให้ทำตามความพอใจของตัวเอง เผด็จการ มนุษย์ผีดิบ คนไร้หัวใจ ”
“ ไอ้เด็กหัวดื้อ จองหอง ใครสั่งใครสอนให้มีนิสัยแบบนี้เถียงทุกคำ ดูอย่างพุทธชาดสิ พี่สาวของแกตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยทำให้ป้าต้องผิดหวัง ป้าบอกอะไรไม่เคยเถียงแม้แต่คำเดียว ดูแกสิเถียงป้าทุกคำ ใช้ได้ที่ไหนนิสัยแบบนี้ ” คำพูดของเพ็ญจันทร์เปรียบเหมือนกับเข็มหลายหมื่นเล่มที่คอยทิ่มแทงหัวใจของมัจฉาเรื่อยมาตั้งแต่เล็กจนโตจนหัวใจดวงด้านชาเกินที่จะรับรู้ถึงความรักของเพ็ญจันทร์ที่เคยมีให้ในขณะที่เพ็ญจันทร์ก็ไม่เคยรู้ว่าคำพูดของตัวเองสร้างบาดแผลทางใจให้หลานตัวเอง
“ ชีวิตของมัจเป็นของคุณนายตั้งแต่เมื่อไหร่ มัจมีสิทธิ์ที่จะเลือกทางเดินของตัวเอง คุณนายได้ยินไหม ” มัจฉาตะโกนใส่หน้าเพ็ญจันทร์สุดเสียงด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“ แกต้องเรียนมัธยมปลายเท่านั้นนี่คือคำสั่ง แกได้ยินไหม ”
“ คุณนายมีเหตุผลอะไร ทำไมมัจถึงเรียนประมงไม่ได้ในเมื่อมัจอยากเรียนในสาขาวิชานี้ เมื่อไหร่คุณนายจะเลิกบังคับมัจสักที ดูอย่างพี่พุดสิมีสิทธิ์ที่จะเลือกทุกอย่างในชีวิตด้วยตนเองแต่ทำไมมัจไม่มีสิทธิ์เลือกอย่างพี่พุดบ้าง ”
“ ป้าไม่ให้เรียน เลิกคิดเลิกฝันได้แล้วมันไม่มีวันที่จะเป็นจริงขึ้นมาได้ ป้าไม่มีวันยอมให้มัจเรียนประมงโดยเด็ดขาด ”
“ มัจบอกคุณนายเป็นครั้งสุดท้ายเหมือนกันว่ามัจต้องการเรียนประมงเท่านั้นไม่มีวันไปเรียนมัธยมปลายตามที่คุณนายต้องการเหมือนกัน คุณนายได้ยินไหม ”
“ อยากเรียนประมงก็ตามใจ ป้าไม่ได้บังคับแต่แกต้องหาเงินเรียนเอง เลือกเอาแล้วกันว่าอยากเรียนแบบสบายหรือต้องลำบากหาเงินเรียนเองสมองมีคงคิดได้ไม่ยาก ถ้าไม่เชื่อก็ลองดู ”
เพ็ญจันทร์แกล้งขู่มัจฉาเพราะคิดว่ามัจฉาคงล้มเลิกความตั้งใจยอมกลับมาเรียนมัธยมปลายอย่างที่ต้องการแต่ผิดคาดมัจฉายังคงยืนยันคำเดิมที่จะเรียนประมงเหมือนเดิมโดยไม่ได้สนใจคำพูดของเพ็ญจันทร์แต่อย่างใด
“ มัจหาเงินเรียนเองก็ได้ไม่จำเป็นต้องใช้เงินของคุณนาย คุณนายเก็บเงินของตัวเองไว้ให้หลานรักของคุณนายเถอะนะ หลานชังอย่างมัจไม่มีสิทธิ์ในเงินของคุณนาย มัจเข้าใจในชะตากรรมของตัวเองดี ”
มัจฉาพยามกลั้นความเสียใจเอาไว้ไม่ให้เพ็ญจันทร์เห็นน้ำตาของตนเองที่กำลังไหลอาบแก้มรีบใช้มือเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าเดินออกจากห้องของเพ็ญจันทร์ สายฝนกำลังโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย เพ็ญจันทร์ยืนอยู่ตรงริมหน้าต่างนึกถึงเรื่องราวในอดีตอยู่เงียบ ๆเพียงลำพังคนเดียวในห้อง
“ ป้าขอโทษนะลูก ”
เสียงเรียกของพิมพ์ภาดังขึ้นทำให้เพ็ญจันทร์สะดุ้งตัวด้วยความตกใจหันหลังกลับมาดูยังต้นเสียงพร้อมกับถอนหายใจ
“ มีอะไรหรอพิมพ์วิ่งหน้าตาตื่นมาเชียวหรือว่าเกิดปรากฏการณ์ช้างกินควาย ”
“ ดูคุณผู้หญิงพูดเข้าสิ ดิฉันเห็นคุณหนูวิ่งออกไปจากบ้านไปนานมากแล้วนะคะป่านนี้ยังไม่กลับมาเลยค่ะคุณผู้หญิง ”
“ ว่าไงนะ นี่มันก็ดึกมากแล้วยังจะออกไปไหนอีก ป่านนี้ยังไม่กลับมาอีก ไอ้เด็กคนนี้ทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อยเลย ” เพ็ญจันทร์รีบลุกขึ้นเดินออกจากห้องทันที ในระหว่างที่เพ็ญจันทร์กำลังเดินออกจากบ้านไปตามมัจฉาเดินสวนกับพุทธชาดที่กำลังเดินเข้ามาในบ้านพอดี
“ ดึกแล้วมากแล้วป้าจะรีบไปไหนคะ ”
“ มัจหายออกไปจากบ้าน ป้าจะออกไปตามน้องกลับบ้านไม่รู้เตลิดไปถึงไหนแล้ว ”
“ คิดว่าเรื่องอะไร ป้ากลับเข้าบ้านไปพักผ่อนเถอะค่ะ น้องนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่กับเข้มและเบิ้มอยู่ตรงหน้าปากทางเข้าหมู่บ้านเดี๋ยวสักพักคงกลับมา ป้ายังไม่ชินอีกหรอค่ะที่น้องหายออกไปจากบ้าน ” พุทธชาดอมยิ้มเดินจูงมือเพ็ญจันทร์เดินกลับเข้ามาในบ้าน เพ็ญจันทร์ยังรู้สึกกังวลใจกลัวมัจฉาไม่กลับบ้าน
“ พุดโทรถามน้องหน่อยสิว่าจะกลับกี่โมง นี่มันจะสี่ทุ่มแล้ว ทำไมยังไม่กลับบ้าน ป้าเป็นห่วง ” พุทธชาดหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากดโทรหามัจฉาทันที
ร้านก๋วยเตี๋ยริมทางเล็กๆ ถูกสร้างขึ้นอย่างง่าย ๆ โต๊ะและเก้าอี้วางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ มัจฉา เข้มและเบิ้มกำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยว เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มัจฉาเหลือบไปมองปลายสายเป็นเบอร์โทรของพุทธชาดใจหนึ่งอยากจะรับสายแต่อีกใจหนึ่งไม่อยากรับสาย มัจฉาถอนหายใจกดรับสายพุทธชาด
“ สวัสดีครับคุณหมอคนสวย ”
“ ทำไมยังไม่กลับบ้าน ดึกมากแล้ว กลับบ้านได้แล้วพี่เป็นห่วงมัวทำอะไรอยู่ ”
“ มัจยังกินก๋วยเตี๋ยวยังไม่เสร็จเลยพี่พุดอีกสักพักก็กลับแล้วไม่ต้องเป็นห่วงใกล้แค่นี้เอง ”
“ รีบกินรีบกลับแล้วกัน พี่รออยู่ ”
“ พี่พุดโทรตามกลับบ้านไปดูดนมนอนแล้วหรอวะ ” เข้มแซวมัจฉาพร้อมกับหยิบขวดน้ำปลาทำท่าเหมือนเด็กกำลังดูดนมออกจากขวด
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ยิ้มหน่อยสิคุณหนูมัจฉา ” เบิ้มทำท่าเป็นตัวตลกแต่ทั้งสองคนไม่สามารถทำให้มัจฉายิ้มได้แม้แต่นิดเดียว
“ แกจะทำยังไง ในเมื่อป้าเพ็ญไม่ยอมให้เรียนแถมยังบังคับให้แกกลับไปเรียนมัธยมปลาย ”
“ คุณนายบอกกับฉันว่า ถ้าจะเรียนประมงต้องหาเงินเรียนเอง ฉันพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้าแต่หลังจากนี้คงต้องหางานทำ ”
“ รอให้ป้าเพ็ญใจเย็นมากกว่านี้แล้วแกค่อยไปบอกอีกสักรอบเผื่อจะยอมใจอ่อน ”
“ รอให้น้ำท่วมหลังเต่า พระราหูมีลูกกับพระจันทร์เสียก่อน คุณนายถึงจะยอมให้ฉันเรียนประมง ”
“ ค่อย ๆ คิดไปแล้วกัน พวกฉันสองคนเป็นกำลังให้ มีอะไรให้ช่วยก็บอกแล้วกัน ” เข้มกับเบิ้มยื่นแขนไปบีบมือของมัจฉาเบา ๆ แสดงความห่วงใยให้กับเพื่อน หลังจากกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จเรียบร้อยแล้วเข้มและเบิ้มเดินไปส่งมัจฉาที่บ้านทั้งสามคมเดินปรับทุกข์กันไปจนถึงบ้านของมัจฉา
“ โชคดีนะเว้ย แกไม่ต้องคิดมาก พวกฉันสองคนเป็นกำลังใจให้ ”
เข้มและเบิ้มเป็นเพื่อนสนิทของมัจฉาฐานะทางบ้านของทั้งสองคนค่อนข้างลำบากทั้งสองคนเป็นกำพร้า เข้มอาศัยอยู่กับยาย ส่วนเบิ้มอยู่กับแม่ พ่อของเบิ้มเสียชีวิตไปตั้งแต่อายุได้สามขวบทั้งสองคนมีความสุขตามอัตภาพ มัจฉาเดินกลับเข้ามาในบ้านโน้มตัวลงนอนบนเตียง พุทธชาดเปิดประตูเข้ามาในห้อง มัจฉารีบปาดน้ำตาออกจากแก้ม
“ พี่รู้เรื่องทั้งหมดจากป้าหมดแล้ว ” พุทธชาดถอนหายใจเอามือลูบหัวมัจฉาเบา ๆ มัจฉาลุกขึ้นนั่งเข้าสวมกอดพุทธชาด
“ พี่รู้ว่ามัจอยากเรียน เรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียนมัจไม่ต้องเป็นห่วง พี่จะเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ”
“ พี่พุดไม่ต้องลำบากเดี๋ยวคุณนายรู้เข้าพี่พุดจะโดนดุ ”
“ มัจจะเอาเงินที่ไหนเรียนหรือว่ามัจยอมเรียนมัธยมปลายตามคำสั่งของป้า ”
“ นี่ถ้าพ่อกับแม่ยังอยู่มัจคงมีความสุขมากกว่านี้ คุณนายไม่เคยรักมัจเลย ”
“ มัจอย่าพูดแบบนั้น เดี๋ยวป้ามาได้ยินเข้า ทำไมป้าจะไม่รักมัจละ ถ้าไม่อย่างนั้นป้าจะเลี้ยงมัจมาจนโตหรอ ”
“ พี่พุดไม่ต้องมาปลอบใจมัจเลย ”
“ นี่มันก็ดึกมากแล้วไปอาบน้ำแล้วนอน ทำใจให้สบาย ๆ นะไอ้น้องรัก ส่วนเรื่องเรียนพี่จะช่วยพูดให้ไม่รู้ปากจะยอมใจอ่อนหรือเปล่า พรุ่งนี้มีสอบพี่ขอตัวไปอ่านหนังสือสอบก่อนแล้วกัน ”
มัจฉาหลับตานอนอยู่บนเตียงนึกถึงเรื่องราวในอดีต หยดน้ำตาค่อย ๆ ไหลออกมาอาบทั้งสองแก้มปลดปล่อยความเศร้าออกจากหัวใจ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นค่อย ๆ ใช้มือเอื้อมไปหยิบตรงหัวเตียง
“ ไอ้ชล ”
“ แกร้องไห้ทำไมบอกฉันมาเดี๋ยวนี้ใครทำอะไรแก ” มัจฉาเงียบยิ่งทำให้ชลธีร้อนใจ
“ แกอย่าเงียบสิ ฉันใจคอไม่ดีเลย ”
“ ไอ้ชล ! คุณนายไม่ยอมให้ฉันเรียนประมง คุณนายบังคับให้ฉันเรียนมัธยมปลายแต่ฉันไม่อยากเรียน ”
“ ไม่เป็นไรเว้ย แกรอให้ป้าเพ็ญอารมณ์เย็นแล้วค่อยไปคุยอีกรอบ คุยด้วยเหตุผลอย่าใช้อารมณ์ ฉันหวังว่าป้าเพ็ญจะเข้าใจแก ”
“ ไม่มีวันที่คุณนายจะเข้าใจฉัน เชื่อฉันสิ คุณนายทำเหมือนกับฉันเป็นหุ่นยนต์ไม่ใช่คน ”
“ เอาแบบนี้แล้วกันช่วงนี้แกมาอยู่บ้านฉันก่อนไหม พ่อกับแม่ฉันไม่ว่าหรอก ”
“ แกจะบ้าหรอ ฉันเป็นผู้หญิง แกเป็นผู้ชาย เฮ้ย ! ฉันลืมไปว่าแกเป็นเพื่อนสาว ”
“ พูดเบา ๆ สิเดี๋ยวพ่อกับแม่ของฉันก็ได้ยินหรอก ”
“ โทษทีวะ ฉันลืมไป ”
“ แกมีอะไรให้ฉันช่วยบอกได้ทุกเรื่อง เพื่อนคนนี้ยินดีช่วยด้วยความเต็มใจทุกอย่าง ”
“ เป็นมากกว่าเพื่อนได้ไหม ไอ้ชลฉันรักแกวะ ”
“ ไอ้มัจวันนี้แกเป็นอะไรเมาน้ำตาจนเพี๊ยนไปแล้ว อย่าร้องไห้ไปเลยอ้อมกอดของฉันยังว่างรอแกมาซบ ”
“ แกอย่ามา
อ้อมกอดของแกมีไว้ให้ไอ้ก้องภพคนเดียวต่างหากละไม่มีที่ว่างสำหรับฉันหรอก ”
“ ครับผมแต่สำหรับแกว่างเสมอ ฉันรอให้แกมาซบอกฉันอยู่ ”
ตลาดสดในเช้าวันอาทิตย์พลุกพล่านไปด้วยผู้คนจำนวนมากที่พากันมาเดินเลือกซื้อของ เข้ม เบิ้ม และมัจฉากำลังช่วยกันเลือกส้มเขียวหวานใส่ลงในถุง โตเดินผ่านเข้ามาเห็นพอดีหยิบฝรั่งขว้างใส่เข้มเต็มแรง เขาทำหน้าเย้ยหยันด้วยความสะใจ เบิ้มคิ้วขมวดไม่พอใจ
“ ไอ้โต ไอ้
เอาฝรั่งมาเขวี้ยงใส่หัวกูทำไมวะ ”
“ จะทำไม ไอ้ขี้ครอก ”
“ ไอ้ลูกเมียน้อย ” เข้มไม่รอช้าเดินเดินเข้าไปชกหน้าโตจนล้มคว่ำกับพื้น เบิ้มกับมัจฉาคอยกันไม่ให้เพชรเข้าไปทำร้ายเบิ้ม เหตุการณ์บานปลายไปกันใหญ่เมื่อทั้งสองฝ่ายไม่มีใครยอมกัน โตยังไม่หยุดคุกคามเข้มทางวาจา เข้มหมดความอดทนกระโดดถีบโตเต็มแรงจนล้มนอนกองกับพื้น เพชรรีบวิ่งเข้ามาช่วยโตต่างฝ่ายต่างดวลหมัดเข้าหากัน มัจฉาเห็นท่าไม่ดีถีบโตออกจากเข้มหันหลังกลับไปชกหน้าเพชร เหตุการณ์วุ่นวายไปกันใหญ่ไม่มีใครยอมใครทั้งสองฝ่ายตะลุมบอนชุลมุนวุ่นวายไปทั้งแผงผลไม้ในแถบนั้น
“ อีมัจ อีทอมกล้าดียังไงมาถีบกู วันนี้กูจะทอมอย่างมาทำเมียให้ได้ ” โตโกรธมากเดินเข้าไปจับตัวมัจฉา ทักษะการต่อสู้ไม่มีทำให้พลาดท่าเสียถูกมัจฉาจับโยนลงไปกองกับพื้น
“ จับแม่ไปทำเมียก่อนแล้วกัน ไอ้ลูกเมียน้อยอย่างไม่มีวันทำอะไรคนอย่างกูได้หรอก ”
“ ไอ้เพชรจัดการพวกมันให้สินซาก อย่าให้พวกมันมีแรงเดินกลับบ้าน ”
“ ไอ้เข้ม ! ไอ้เบิ้ม ! แกสองคนรอเก็บศพไอ้พวกนี้สองตัวได้เลย วันนี้ฉันจะกระทืบไอ้สองตัวนี้ให้จมดินเอาเลือดมาล้างตีนไอ้เบิ้มให้หายแค้น ” มัจฉาไม่รอช้าวิ่งเข้าไปกระโดดถีบเพรชกระและโตกระเด็นไปคนละทางทั้งสองคนยืนขึ้นจะเข้ามาทำร้ายมัจฉาแต่ไม่สามารถทำอะไรมัจฉาได้เลยทั้งสองคนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัจฉาอาจเป็นเพราะเป็นนักมวยทำให้มีทักษะการต่อสู้มากกว่าทั้งสองคน ผู้ชายสองคนเสียท่าให้ผู้หญิงเพียงคนเดียวสร้างความอับอายกับทั้งสองคน
“ อีนางทอม กูจะไปบอกให้ครูเพ็ญจันทร์จัดการ ”
“ ไอ้ลูกเมียน้อย เชิญไปฟ้องเลย กูไม่กลัวหรอก
กลรักสาวมีนกร ตอนที่ 1 สาวมีนกร
เพ็ญจันทร์หญิงสาววัยกลางคนต้องรับภาระเลี้ยงดูพุทธชาดกับมัจฉาหลังจากที่จันทราน้องสาวประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์พร้อมกับมานพตั้งแต่มัจฉาเพิ่งลืมตาดูโลกได้เพียงไม่กี่วัน เพ็ญจันทร์ต้องรับหน้าที่เลี้ยงดูหลานทั้งสองนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พุทธชาดเป็นหลานคนโปรดของเพ็ญจันทร์ถูกเลี้ยงมาดุจไข่ในหินเป็นคุณหนูของบ้านส่วนมัจฉาถูกเลี้ยงมาเหมือนกับลูกคนกรรมกรเป็นคนรับใช้ของพุทธชาด ตั้งแต่เล็กจนโตมัจฉาต้องทำหน้าที่ดูแลพุทธชาดทุกเรื่องที่พี่สาวต้องการให้ช่วย
การดำเนินชีวิตของทั้งสองคนต่างกันราวนรกกับสวรรค์อีกคนสุขสบาย อีกคนทุกข์ยาก เพ็ญจันทร์ไม่เคยเข้าใจความยากลำบากของมัจฉาเลยเอาตัวเองเป็นที่ตั้งไม่ฟังเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้นตัวฉันเป็นศูนย์กลางของจักรวาลโลกใบนี้เป็นของฉันแด่เพียงผู้เดียว
“ ป้าไม่ให้เรียน ” คำพูดสั้น ๆ น้ำเสียงกระชากอย่างไม่พอใจทำให้ผู้ฟังเข้าใจในความรู้สึกได้เป็นอย่างดี มัจฉารู้คำตอบตั้งแต่เดินเข้ามาภายในห้องแต่ด้วยความจำยอมต้องมาบอกให้เพ็ญจันทร์ได้รับรู้ ทั้ง ๆ ที่ในใจไม่ต้องการให้รับรู้
“ มัจอยากเรียนประมง คุณนายจะมาบังคับให้มัจทำตามใจคุณนายไม่ได้หรอกนะ มัจเป็นคนไม่ใช่หุ่นยนต์ที่จะตั้งโปรแกรมตามใจต้องการให้ทำตามความพอใจของตัวเอง เผด็จการ มนุษย์ผีดิบ คนไร้หัวใจ ”
“ ไอ้เด็กหัวดื้อ จองหอง ใครสั่งใครสอนให้มีนิสัยแบบนี้เถียงทุกคำ ดูอย่างพุทธชาดสิ พี่สาวของแกตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยทำให้ป้าต้องผิดหวัง ป้าบอกอะไรไม่เคยเถียงแม้แต่คำเดียว ดูแกสิเถียงป้าทุกคำ ใช้ได้ที่ไหนนิสัยแบบนี้ ” คำพูดของเพ็ญจันทร์เปรียบเหมือนกับเข็มหลายหมื่นเล่มที่คอยทิ่มแทงหัวใจของมัจฉาเรื่อยมาตั้งแต่เล็กจนโตจนหัวใจดวงด้านชาเกินที่จะรับรู้ถึงความรักของเพ็ญจันทร์ที่เคยมีให้ในขณะที่เพ็ญจันทร์ก็ไม่เคยรู้ว่าคำพูดของตัวเองสร้างบาดแผลทางใจให้หลานตัวเอง
“ ชีวิตของมัจเป็นของคุณนายตั้งแต่เมื่อไหร่ มัจมีสิทธิ์ที่จะเลือกทางเดินของตัวเอง คุณนายได้ยินไหม ” มัจฉาตะโกนใส่หน้าเพ็ญจันทร์สุดเสียงด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“ แกต้องเรียนมัธยมปลายเท่านั้นนี่คือคำสั่ง แกได้ยินไหม ”
“ คุณนายมีเหตุผลอะไร ทำไมมัจถึงเรียนประมงไม่ได้ในเมื่อมัจอยากเรียนในสาขาวิชานี้ เมื่อไหร่คุณนายจะเลิกบังคับมัจสักที ดูอย่างพี่พุดสิมีสิทธิ์ที่จะเลือกทุกอย่างในชีวิตด้วยตนเองแต่ทำไมมัจไม่มีสิทธิ์เลือกอย่างพี่พุดบ้าง ”
“ ป้าไม่ให้เรียน เลิกคิดเลิกฝันได้แล้วมันไม่มีวันที่จะเป็นจริงขึ้นมาได้ ป้าไม่มีวันยอมให้มัจเรียนประมงโดยเด็ดขาด ”
“ มัจบอกคุณนายเป็นครั้งสุดท้ายเหมือนกันว่ามัจต้องการเรียนประมงเท่านั้นไม่มีวันไปเรียนมัธยมปลายตามที่คุณนายต้องการเหมือนกัน คุณนายได้ยินไหม ”
“ อยากเรียนประมงก็ตามใจ ป้าไม่ได้บังคับแต่แกต้องหาเงินเรียนเอง เลือกเอาแล้วกันว่าอยากเรียนแบบสบายหรือต้องลำบากหาเงินเรียนเองสมองมีคงคิดได้ไม่ยาก ถ้าไม่เชื่อก็ลองดู ”
เพ็ญจันทร์แกล้งขู่มัจฉาเพราะคิดว่ามัจฉาคงล้มเลิกความตั้งใจยอมกลับมาเรียนมัธยมปลายอย่างที่ต้องการแต่ผิดคาดมัจฉายังคงยืนยันคำเดิมที่จะเรียนประมงเหมือนเดิมโดยไม่ได้สนใจคำพูดของเพ็ญจันทร์แต่อย่างใด
“ มัจหาเงินเรียนเองก็ได้ไม่จำเป็นต้องใช้เงินของคุณนาย คุณนายเก็บเงินของตัวเองไว้ให้หลานรักของคุณนายเถอะนะ หลานชังอย่างมัจไม่มีสิทธิ์ในเงินของคุณนาย มัจเข้าใจในชะตากรรมของตัวเองดี ”
มัจฉาพยามกลั้นความเสียใจเอาไว้ไม่ให้เพ็ญจันทร์เห็นน้ำตาของตนเองที่กำลังไหลอาบแก้มรีบใช้มือเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าเดินออกจากห้องของเพ็ญจันทร์ สายฝนกำลังโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย เพ็ญจันทร์ยืนอยู่ตรงริมหน้าต่างนึกถึงเรื่องราวในอดีตอยู่เงียบ ๆเพียงลำพังคนเดียวในห้อง
“ ป้าขอโทษนะลูก ”
เสียงเรียกของพิมพ์ภาดังขึ้นทำให้เพ็ญจันทร์สะดุ้งตัวด้วยความตกใจหันหลังกลับมาดูยังต้นเสียงพร้อมกับถอนหายใจ
“ มีอะไรหรอพิมพ์วิ่งหน้าตาตื่นมาเชียวหรือว่าเกิดปรากฏการณ์ช้างกินควาย ”
“ ดูคุณผู้หญิงพูดเข้าสิ ดิฉันเห็นคุณหนูวิ่งออกไปจากบ้านไปนานมากแล้วนะคะป่านนี้ยังไม่กลับมาเลยค่ะคุณผู้หญิง ”
“ ว่าไงนะ นี่มันก็ดึกมากแล้วยังจะออกไปไหนอีก ป่านนี้ยังไม่กลับมาอีก ไอ้เด็กคนนี้ทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อยเลย ” เพ็ญจันทร์รีบลุกขึ้นเดินออกจากห้องทันที ในระหว่างที่เพ็ญจันทร์กำลังเดินออกจากบ้านไปตามมัจฉาเดินสวนกับพุทธชาดที่กำลังเดินเข้ามาในบ้านพอดี
“ ดึกแล้วมากแล้วป้าจะรีบไปไหนคะ ”
“ มัจหายออกไปจากบ้าน ป้าจะออกไปตามน้องกลับบ้านไม่รู้เตลิดไปถึงไหนแล้ว ”
“ คิดว่าเรื่องอะไร ป้ากลับเข้าบ้านไปพักผ่อนเถอะค่ะ น้องนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่กับเข้มและเบิ้มอยู่ตรงหน้าปากทางเข้าหมู่บ้านเดี๋ยวสักพักคงกลับมา ป้ายังไม่ชินอีกหรอค่ะที่น้องหายออกไปจากบ้าน ” พุทธชาดอมยิ้มเดินจูงมือเพ็ญจันทร์เดินกลับเข้ามาในบ้าน เพ็ญจันทร์ยังรู้สึกกังวลใจกลัวมัจฉาไม่กลับบ้าน
“ พุดโทรถามน้องหน่อยสิว่าจะกลับกี่โมง นี่มันจะสี่ทุ่มแล้ว ทำไมยังไม่กลับบ้าน ป้าเป็นห่วง ” พุทธชาดหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากดโทรหามัจฉาทันที
ร้านก๋วยเตี๋ยริมทางเล็กๆ ถูกสร้างขึ้นอย่างง่าย ๆ โต๊ะและเก้าอี้วางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ มัจฉา เข้มและเบิ้มกำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยว เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มัจฉาเหลือบไปมองปลายสายเป็นเบอร์โทรของพุทธชาดใจหนึ่งอยากจะรับสายแต่อีกใจหนึ่งไม่อยากรับสาย มัจฉาถอนหายใจกดรับสายพุทธชาด
“ สวัสดีครับคุณหมอคนสวย ”
“ ทำไมยังไม่กลับบ้าน ดึกมากแล้ว กลับบ้านได้แล้วพี่เป็นห่วงมัวทำอะไรอยู่ ”
“ มัจยังกินก๋วยเตี๋ยวยังไม่เสร็จเลยพี่พุดอีกสักพักก็กลับแล้วไม่ต้องเป็นห่วงใกล้แค่นี้เอง ”
“ รีบกินรีบกลับแล้วกัน พี่รออยู่ ”
“ พี่พุดโทรตามกลับบ้านไปดูดนมนอนแล้วหรอวะ ” เข้มแซวมัจฉาพร้อมกับหยิบขวดน้ำปลาทำท่าเหมือนเด็กกำลังดูดนมออกจากขวด
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ยิ้มหน่อยสิคุณหนูมัจฉา ” เบิ้มทำท่าเป็นตัวตลกแต่ทั้งสองคนไม่สามารถทำให้มัจฉายิ้มได้แม้แต่นิดเดียว
“ แกจะทำยังไง ในเมื่อป้าเพ็ญไม่ยอมให้เรียนแถมยังบังคับให้แกกลับไปเรียนมัธยมปลาย ”
“ คุณนายบอกกับฉันว่า ถ้าจะเรียนประมงต้องหาเงินเรียนเอง ฉันพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้าแต่หลังจากนี้คงต้องหางานทำ ”
“ รอให้ป้าเพ็ญใจเย็นมากกว่านี้แล้วแกค่อยไปบอกอีกสักรอบเผื่อจะยอมใจอ่อน ”
“ รอให้น้ำท่วมหลังเต่า พระราหูมีลูกกับพระจันทร์เสียก่อน คุณนายถึงจะยอมให้ฉันเรียนประมง ”
“ ค่อย ๆ คิดไปแล้วกัน พวกฉันสองคนเป็นกำลังให้ มีอะไรให้ช่วยก็บอกแล้วกัน ” เข้มกับเบิ้มยื่นแขนไปบีบมือของมัจฉาเบา ๆ แสดงความห่วงใยให้กับเพื่อน หลังจากกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จเรียบร้อยแล้วเข้มและเบิ้มเดินไปส่งมัจฉาที่บ้านทั้งสามคมเดินปรับทุกข์กันไปจนถึงบ้านของมัจฉา
“ โชคดีนะเว้ย แกไม่ต้องคิดมาก พวกฉันสองคนเป็นกำลังใจให้ ”
เข้มและเบิ้มเป็นเพื่อนสนิทของมัจฉาฐานะทางบ้านของทั้งสองคนค่อนข้างลำบากทั้งสองคนเป็นกำพร้า เข้มอาศัยอยู่กับยาย ส่วนเบิ้มอยู่กับแม่ พ่อของเบิ้มเสียชีวิตไปตั้งแต่อายุได้สามขวบทั้งสองคนมีความสุขตามอัตภาพ มัจฉาเดินกลับเข้ามาในบ้านโน้มตัวลงนอนบนเตียง พุทธชาดเปิดประตูเข้ามาในห้อง มัจฉารีบปาดน้ำตาออกจากแก้ม
“ พี่รู้เรื่องทั้งหมดจากป้าหมดแล้ว ” พุทธชาดถอนหายใจเอามือลูบหัวมัจฉาเบา ๆ มัจฉาลุกขึ้นนั่งเข้าสวมกอดพุทธชาด
“ พี่รู้ว่ามัจอยากเรียน เรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียนมัจไม่ต้องเป็นห่วง พี่จะเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ”
“ พี่พุดไม่ต้องลำบากเดี๋ยวคุณนายรู้เข้าพี่พุดจะโดนดุ ”
“ มัจจะเอาเงินที่ไหนเรียนหรือว่ามัจยอมเรียนมัธยมปลายตามคำสั่งของป้า ”
“ นี่ถ้าพ่อกับแม่ยังอยู่มัจคงมีความสุขมากกว่านี้ คุณนายไม่เคยรักมัจเลย ”
“ มัจอย่าพูดแบบนั้น เดี๋ยวป้ามาได้ยินเข้า ทำไมป้าจะไม่รักมัจละ ถ้าไม่อย่างนั้นป้าจะเลี้ยงมัจมาจนโตหรอ ”
“ พี่พุดไม่ต้องมาปลอบใจมัจเลย ”
“ นี่มันก็ดึกมากแล้วไปอาบน้ำแล้วนอน ทำใจให้สบาย ๆ นะไอ้น้องรัก ส่วนเรื่องเรียนพี่จะช่วยพูดให้ไม่รู้ปากจะยอมใจอ่อนหรือเปล่า พรุ่งนี้มีสอบพี่ขอตัวไปอ่านหนังสือสอบก่อนแล้วกัน ”
มัจฉาหลับตานอนอยู่บนเตียงนึกถึงเรื่องราวในอดีต หยดน้ำตาค่อย ๆ ไหลออกมาอาบทั้งสองแก้มปลดปล่อยความเศร้าออกจากหัวใจ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นค่อย ๆ ใช้มือเอื้อมไปหยิบตรงหัวเตียง
“ ไอ้ชล ”
“ แกร้องไห้ทำไมบอกฉันมาเดี๋ยวนี้ใครทำอะไรแก ” มัจฉาเงียบยิ่งทำให้ชลธีร้อนใจ
“ แกอย่าเงียบสิ ฉันใจคอไม่ดีเลย ”
“ ไอ้ชล ! คุณนายไม่ยอมให้ฉันเรียนประมง คุณนายบังคับให้ฉันเรียนมัธยมปลายแต่ฉันไม่อยากเรียน ”
“ ไม่เป็นไรเว้ย แกรอให้ป้าเพ็ญอารมณ์เย็นแล้วค่อยไปคุยอีกรอบ คุยด้วยเหตุผลอย่าใช้อารมณ์ ฉันหวังว่าป้าเพ็ญจะเข้าใจแก ”
“ ไม่มีวันที่คุณนายจะเข้าใจฉัน เชื่อฉันสิ คุณนายทำเหมือนกับฉันเป็นหุ่นยนต์ไม่ใช่คน ”
“ เอาแบบนี้แล้วกันช่วงนี้แกมาอยู่บ้านฉันก่อนไหม พ่อกับแม่ฉันไม่ว่าหรอก ”
“ แกจะบ้าหรอ ฉันเป็นผู้หญิง แกเป็นผู้ชาย เฮ้ย ! ฉันลืมไปว่าแกเป็นเพื่อนสาว ”
“ พูดเบา ๆ สิเดี๋ยวพ่อกับแม่ของฉันก็ได้ยินหรอก ”
“ โทษทีวะ ฉันลืมไป ”
“ แกมีอะไรให้ฉันช่วยบอกได้ทุกเรื่อง เพื่อนคนนี้ยินดีช่วยด้วยความเต็มใจทุกอย่าง ”
“ เป็นมากกว่าเพื่อนได้ไหม ไอ้ชลฉันรักแกวะ ”
“ ไอ้มัจวันนี้แกเป็นอะไรเมาน้ำตาจนเพี๊ยนไปแล้ว อย่าร้องไห้ไปเลยอ้อมกอดของฉันยังว่างรอแกมาซบ ”
“ แกอย่ามา อ้อมกอดของแกมีไว้ให้ไอ้ก้องภพคนเดียวต่างหากละไม่มีที่ว่างสำหรับฉันหรอก ”
“ ครับผมแต่สำหรับแกว่างเสมอ ฉันรอให้แกมาซบอกฉันอยู่ ”
ตลาดสดในเช้าวันอาทิตย์พลุกพล่านไปด้วยผู้คนจำนวนมากที่พากันมาเดินเลือกซื้อของ เข้ม เบิ้ม และมัจฉากำลังช่วยกันเลือกส้มเขียวหวานใส่ลงในถุง โตเดินผ่านเข้ามาเห็นพอดีหยิบฝรั่งขว้างใส่เข้มเต็มแรง เขาทำหน้าเย้ยหยันด้วยความสะใจ เบิ้มคิ้วขมวดไม่พอใจ
“ ไอ้โต ไอ้เอาฝรั่งมาเขวี้ยงใส่หัวกูทำไมวะ ”
“ จะทำไม ไอ้ขี้ครอก ”
“ ไอ้ลูกเมียน้อย ” เข้มไม่รอช้าเดินเดินเข้าไปชกหน้าโตจนล้มคว่ำกับพื้น เบิ้มกับมัจฉาคอยกันไม่ให้เพชรเข้าไปทำร้ายเบิ้ม เหตุการณ์บานปลายไปกันใหญ่เมื่อทั้งสองฝ่ายไม่มีใครยอมกัน โตยังไม่หยุดคุกคามเข้มทางวาจา เข้มหมดความอดทนกระโดดถีบโตเต็มแรงจนล้มนอนกองกับพื้น เพชรรีบวิ่งเข้ามาช่วยโตต่างฝ่ายต่างดวลหมัดเข้าหากัน มัจฉาเห็นท่าไม่ดีถีบโตออกจากเข้มหันหลังกลับไปชกหน้าเพชร เหตุการณ์วุ่นวายไปกันใหญ่ไม่มีใครยอมใครทั้งสองฝ่ายตะลุมบอนชุลมุนวุ่นวายไปทั้งแผงผลไม้ในแถบนั้น
“ อีมัจ อีทอมกล้าดียังไงมาถีบกู วันนี้กูจะทอมอย่างมาทำเมียให้ได้ ” โตโกรธมากเดินเข้าไปจับตัวมัจฉา ทักษะการต่อสู้ไม่มีทำให้พลาดท่าเสียถูกมัจฉาจับโยนลงไปกองกับพื้น
“ จับแม่ไปทำเมียก่อนแล้วกัน ไอ้ลูกเมียน้อยอย่างไม่มีวันทำอะไรคนอย่างกูได้หรอก ”
“ ไอ้เพชรจัดการพวกมันให้สินซาก อย่าให้พวกมันมีแรงเดินกลับบ้าน ”
“ ไอ้เข้ม ! ไอ้เบิ้ม ! แกสองคนรอเก็บศพไอ้พวกนี้สองตัวได้เลย วันนี้ฉันจะกระทืบไอ้สองตัวนี้ให้จมดินเอาเลือดมาล้างตีนไอ้เบิ้มให้หายแค้น ” มัจฉาไม่รอช้าวิ่งเข้าไปกระโดดถีบเพรชกระและโตกระเด็นไปคนละทางทั้งสองคนยืนขึ้นจะเข้ามาทำร้ายมัจฉาแต่ไม่สามารถทำอะไรมัจฉาได้เลยทั้งสองคนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัจฉาอาจเป็นเพราะเป็นนักมวยทำให้มีทักษะการต่อสู้มากกว่าทั้งสองคน ผู้ชายสองคนเสียท่าให้ผู้หญิงเพียงคนเดียวสร้างความอับอายกับทั้งสองคน
“ อีนางทอม กูจะไปบอกให้ครูเพ็ญจันทร์จัดการ ”
“ ไอ้ลูกเมียน้อย เชิญไปฟ้องเลย กูไม่กลัวหรอก