สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะมาเล่าเรื่องที่โดนเพื่อนรวมงานที่เราเองเป็นคนแนะนำให้เข้ามาทำงานที่บริษัทนี้ แทงข้างหลัง
ขอเกริ่นก่อนนะคะ เราเองเป็นพนักงานเอกชนบริษัทนึง ซึ่งบริษัทนี้เป็นบริษัทเล็กๆ เปิดได้ไม่นาน เราทำงานเป็นเซลล์ขายงานโปรเจกต์ ซึ่งเป็นเครื่องจักรนำเข้าจากต่างประเทศ ต้องบอกก่อนว่าเราเป็นเซลล์คนแรกของออฟฟิศเลย เพราะบริษัทพึ่งเปิดได้ไม่นาน เราเข้ามาแรกๆมีพนักงานไม่ถึง 10 คน ตัวเรารับผิดชอบหน้าที่สารพัดที่ผู้บริหารจะให้ทำ ซึ่งต้องบอกตามตรงว่า เราขึ้นตรงต่อผู้บริหาร ซึ่งที่นี่มีผู้บริหาร 2 คน เป็นสามีภรรยากัน เราขึ้นตรงต่อฝ่ายพี่ผู้หญิง ซึ่งเขาก็อายุห่างจากเราไม่เยอะ ในการทำงานช่วงแรก เราทำทุกอย่าง ตั้งแต่หลังบ้าน ไปจนถึงขายงานต่างๆ ถ้าคนเป็นเซลล์ขายโปรเจคจะรู้ว่าปีนึงขายได้ไม่เยอะ แต่มูลค่าแต่ละงานเยอะ เราก็ขายได้ปีละโปรเจคคือก็ปิดยอดแล้ว ช่วงแรกๆ งานเราเยอะมากจริงๆ แต่เราสนุกมาก เพราะฝ่ายพี่ผู้บริหารเป็นกันเอง ช่วยงานกัน ปรึกษากันเรื่องต่างๆได้หมด รวมทั้งปาร์ตี้ด้วยกันบ่อยๆ เราเองถึงมีทำงานวันหยุด หรือวันไหนป่วยเรายังลากสังขารทำงานให้ได้ เราชอบมากตอนนั้น แล้วต่อมาก็เริ่มมีรับพนักงานเข้ามาหลังจากที่งานเริ่มโหลด เราขอเรียกผู้บริหารผู้หญิงว่าพี่หัวหน้าแล้วกันนะคะ ในตอนแรก หัวหน้ารับพนักงานแอดมินเข้ามา หัวหน้าก็เรียกเราเข้าไปสัมภาษณ์กับพนักงานที่มาสมัครด้วย เพราะอยากให้เข้ากันได้ ตอนนั้น เรารู้สึกว่าเขาโคตรให้เกียรติเราเลย ที่ได้ให้เราเข้าร่วมในการสัมภาษณ์งานคนใหม่ด้วย ซึ่งก็เป็นอย่างที่หัวหน้าบอก พอน้องคนใหม่เข้ามา น้องเข้ากับเราและคนอื่นๆได้ น้องน่ารักมาก ช่วยงานกันในทุกๆเรื่อง เราก็พากันทำงานได้ซักพัก เรื่องก็เกิดขึ้น
เราทำงานไปได้ 1 ปี บริษัทคู่แข่งที่นำเข้าเครื่องจักรเหมือนกันก็ได้ปิดตัวลง ณ ตอนนั้นหัวหน้าเราอยากรู้ข่าววงในบริษัทนั้น เราเอง มีพี่ที่รู้จักทำงานที่นั้น เราก็ไปสืบข้อมูลจากพี่คนนั้น สมมุติให้ชื่อว่า เอ เราก็สอบถามข้อมูลพี่เอว่าบริษัทเกิดอะไรขึ้น แล้วเขาจะเอายังไงต่อ ซึ่งพี่เอก็บอกว่าโดนให้ออกมาได้ 2 เดือนแล้ว ของที่นำเข้าก็ยกเลิกการขายทั้งหมด หัวหน้าได้ยินดังนั้น ก็อยากจะได้คอนแทคซัพพลายเออร์จากต่างประเทศ เพื่อขอเป็นตัวแทนจำหน่าย ซึ่งเราก็ประสานงานคุยกับพี่เอ ต้องบอกก่อนว่า ตัวเครื่องจักรที่หัวหน้าเราอยากขาย เป็นคนละส่วนกับที่บริษัทเราเคยขาย ตัวเครื่องจะเป็นเครื่องเล็กๆ ประเภทใช้แล้วหมดไป ซึ่งขายได้ง่ายกว่า เราก็คุยกับพี่เอ จนหัวหน้าเราสนใจพี่เอ อยากให้เราแนะนำ เราก็บอกว่าพี่เอแกเก่งเรื่องขายนะ แถมมีลูกค้าเก่าอยู่ด้วยน่าจะดี แต่ข้อเสียคือแกไม่ชอบทำงานเอกสาร คือจะสั่งๆอย่างเดียว ขายอย่างเดียว ปิดการขายจบก็ให้หลังบ้านทำงานให้ทั้งหมด เราก็แนะนำให้พี่เอเข้ามาสัมภาษณ์กับหัวหน้าดู ซึ่งหัวหน้าก็ดูชอบใจ และตกลงรับพี่เอเข่ทำงาน งานของเรากับพี่เอคือคนละส่วนเลย เราขายเครื่องจักรใหญ่ พี่เอขายงานพวกศแปร์พาสเล็กๆ คนละเครื่อง แต่ลูกค้าคืออาจจะเป็นลูกค้าเดียวกัน แต่ขายกันคนละส่วน ในตอนแรกเรามีข้อตกลงกันว่า สมมุติว่าลูกค้าพี่เอ มีใช้เครื่องที่เราขาย เราจะขอให้พี่เอแนะนำคอนแทคให้ ถ้าเราปิดงานขายได้ จะให้ค่าแนะนำตามสัดส่วน ของเราก็เหมือนกัน ถ้า ลูกค้าเราใช้ของที่พี่เอขาย และเราแนะนำคอนแทคลูกค้า แล้วพี่เอปิดการขายได้ เราก็จะได้ค่าแนะนำ ซึ่งส่วนนี้ทางหัวหน้าจะคิดคำนวณจำนวนเงินให้ ในตอนแรกก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เรากับพี่เอก็เข้าลูกค้าสลับไปมา สักพัก เราเข้าลูกค้าพี่เอ ซึ่งพี่เอส่งแค่คอนแทคให้ เราก็ไปติดต่อเองทุกอย่าง คุยตั้งแต่ต้นจนจบ จนจะเกิดงาน พี่เอก็แอบโทรมาขอค่าคอมกับเรา ซึ่งแยกจากค่าแนะนำที่หัวหน้าจะให้ เราก็บอกว่าไม่ได้ พี่เอได้ค่าแนะนำแล้ว จะมาขอเพิ่มไม่ได้ เราได้ค่าคอมประมาณ 2% พี่เอจะขอแบ่ง 1% เราบอกเราไม่ให้ เราเลยถามพี่เอว่า เอาอย่างนี้ไหม ถ้าพี่เออยากได้ พี่เอจะขายงานโปรเจคลด้วยไหน แล้วเราแยกลูกค้ากันเลย แบบลูกค้าใครลูกค้ามัน ไม่ต้องมีค่าแนะนำ ขายได้หมดทุกอย่าง ใครขายได้ก็ได้ค่าคอม ตอนนั้นพี่เอบอกว่าไม่ขายหรอกเครื่องใหญ่ มันขายยาก เราเลยถามพี่เอซ้ำว่าแน่ใจนะ งั้นการเข้าลูกค้าก็ยังเหมือนเดิมนะ แบ่งแค่เครื่องที่ขาย ไม่แบ่งลูกค้านะ แกก็บอก เออ ตามนั้นแหละ เราก็ทำงานต่อเรื่อยๆ
เรื่องที่เกิดครั้งที่ 2 น้องแอดมินที่เข้ามาก่อนหน้านี้ ตอนแรกหัวหน้าให้ทำงานเกี่ยวกับเอกสารอย่างเดียว แต่หัวหน้าแล้วเราเห็นศักยภาพน้องว่า น้องขายของเครื่องเล็กไปได้ หัวหน้าเลยให้น้องติดต่อลูกค้าที่เป็นโซนร้านค้าเล็กๆ ซึ่งน้องก็้สามารถขายได้ เราดีใจกับน้องมากที่ขายได้ น้องจะได้มีรายได้ เราเห็นดังนั้น เราจึงแจ้งหัวหน้าว่า ถ้าหากลูกค้าเราสนใจเครื่องเล็กๆ เราจะให้น้องแอดมินขายนะคะ ซึ่งหัวหน้าก็โอเค เรื่องเกิดขึ้นจากการที่ เราติดต่อลูกค้า 1 ราย ซึ่งเป็นลูกค้าเก่าเรา เราเข้าพบลูกค้ากับทางหัวหน้า ลูกค้ามีความสนใจเครื่องเล็กเพื่อมาลองใช้ก่อน เราและหัวหน้าก็แจ้งลูกค้าว่าเดี๋ยวเราให้น้องแอดมินส่งข้อมูลและราคาให้ พอเราจะกลับ เราเลยบอกหัวหน้าว่า ถ้าน้องแอดมินขายได้ ยกผลประโยชน์ให้น้องเลยนะคะ หัวหน้าก็โอเค วันต่อมาพี่เอก็โทรมาคุยเล่นกับเรา เราก็เม้ามอยไปเรื่อย จนเราพูดเราลูกค้าที่เราไปมาเมื่อวาน เราก็เล่าให้พี่เอฟังว่าดีใจกับน้องมากที่น้องจะได้ค่าคอมด้วย พี่เอได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจมาก พี่เอบอกว่าลูกค้าเจ้านั้นเขาก็มีคอนแทค ทำไมถึงให้น้องแอดมินไปขาย เราก็บอกว่า เฮ้ยยย เขาจะไปขายได้ไง คนละส่วนกัน อีกอย่าง ลูกค้าเจ้านี้ เราเข้าไปติดต่อมาก่อน ไปกับหัวหน้ามาด้วย เราก็ต้องคุยได้ก่อนอยู่แล้ว พอพี่เอฟังดังนั้นก็โมโห บอกว่าเป็นแค่แอดมิน ให้ขายของได้ยังไง อย่างงี้ก็สบายสิ นั่งอยู่ออฟฟิศก็ได้ค่าคอม พอเราได้ฟังเราโมโหมาก คือเรารู้สึกว่าพี่เอเห็นแกตัวมากไปไหม ทำไมไม่ยินดีกับน้องเลย เราก็ทวนกับพี่เออีกว่า สรุปแล้ว พี่เอจะเอายังไงกันแน่ จะขายทุกเครื่องเลยไหม จะได้จับมือกันไปคุยกับหัวหน้า แบ่งลูกค้าไปเลย แล้วใครๆก็ขายเครื่องไหนก็ได้ เขาก็ไม่ตอบ และวางสายไปเลย เรื่องนี้เราโมโหมาก เราก็ลังเลว่าจะบอกหัวหน้าดีไหม ซึ่งสุดท้ายเราตัดสินใจไม่บอก เราก็ไลน์ไปถามพี่เอว่า สรุปเอายังไง แบ่งลูกค้าเลยไหม เราจะได้จัดแพลนไปพบลูกค้าถูก จะได้ไม่ไปเข้าลูกค้าพี่เขา แกอ่านไลน์แต่ไม่ตอบเรา เราเลยโทรไปหาแหเพื่อจะเครียล์ลูกค้า แกก็ไม่รับ สุดท้ายวันนั้นเราก็ไม่รู้จะเอายังไง ต่อมาอยู่ๆหัวหน้าก็โทรมาหาเรา บอกว่าเดี๋ยวจะแบ่งลูกค้า ให้ทุกคนขายเครื่องได้หมด (เรามารู้ทีหลังว่าพี่เอ ไปฟ้องหัวหน้าเราก่อน) เรื่องนี้ทำให้เราโกรธมากจริงๆ เราไม่ได้อยากเอาเรื่องไปให้หัวหน้าปวดหัว เราอยากจะเครียล์กับพี่เอก่อน แล้วจับมือไปคุยเรื่องลูกค้ากับหัวหน้าเลย เราไม่ซีเรียสถ้าพี่เขาจะขายเครื่องเดียวกันกับเรา เรายินดีด้วยซ้ำ เราอยากให้บริษัทโต อยากให้มีรายได้เยอะๆ เราไม่เคยซีเรียสเรื่องของหรือลูกค้าเลย เราโกรธเขาครั้งนี้มาก และเห็นว่าเขาค่อนข้างเห็นแก่ตัว จึงเลิกคุยกับเขา เลิกยุ่งเกี่ยว งานก็ส่วนงาน เราทำงานร่วมกันได้ แต่เราจะไม่ยุ่งกะเขาอีก
เรื่องเกิดครั้งที่ 3 อันนี้เป็นเรื่องของน้องแอดมินที่มาระบายให้เราฟัง พอผ่านเรื่องนั้นมา เราก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกับพี่เออีก เราก็ทำงานในส่วนของเรา เราเข้าออฟฟิศเห็นน้องแอดมินเครียด เราเลยถามน้อง ตอนแรกน้องไม่ยอมบอก เพราะคิดว่าเราสนิทกับพี่เอ แต่เราก็เกริ่นกับน้องว่าเราเลิกยุ่งกับพี่เอแล้ว น้องเลยระบายให้ฟังว่า พี่เอทั้งใช้ทั้งด่าน้อง น้องสอบถามเรื่องระเบียบจ่ายเงินกับพี่เอ เขาตอบน้องว่า หัดใช้หัวคิดบ้างสิว่าควรมาถามเขาไหม เขามีหน้าที่ขาย ไม่ได้มีหน้าที่แจ้งระเบียบอะไร น้องก็จุกไปเลย สั่งงานน้อง เร่งนั้นเร่งนี้ ขายของขาดทุน ก็อ้างน้องทำราคาผิด พอน้องพูดดังนั้น เราก็ระบายเรื่องของเราให้น้องฟัง เรากับน้องตัดสินใจจะขอพูดกับฝั่งหัวหน้าบ้าง พอเราจะเกริ่นขอพูดกับหัวหน้า หัวหน้าก็เหมือนจะรู้อะไรบ้างอย่าง พอเราจะขอพูด หัวหน้าก็ทำเฉไฉ ไม่อยากฟัง น้องแอดมินจะพูด หัวหน้าก็บอกมีธุระ จนเราจับพิรุธได้ สุดท้ายเราก็ไม่ได้พูด น้องแอดมินบอกเราว่า เหมือนหัวหน้าจะไม่อยากรับรู้เรื่องปัญหาเลย เราเองมองในมุมผู้บริหาร ก็คงรู้สึกว่าพึ่งฟอร์มทีมใหม่ ไม่อยากให้มีปัญหา เราเองก็เข้าใจ พอผ่านไปซักระยะ เรื่องยิ่งเริ่มเยอะขึ้น ตัวเราเองรู้สึกได้เลยว่าหัวหน้าเราเปลี่ยนไป เราเองก็ไม่ได้คิดอะไรในตอนแรก เราก็ทำหน้าที่ของเราไป น้องแอดมินเล่าให้เราฟังว่าพี่เอโทรมาหาหัวหน้าบ่อยมาก ไม่รู้คุยเรื่องอะไร แต่เราและน้องแอดมินรู้สึกเห็นได้ชัดเลยว่าหัวหน้าเปลี่ยนไป เหมือนไม่ชอบเราและน้องแอดมิน เราเข้าออฟฟิศทจากแต่ก่อนหัวหน้าทักทายร่าเริง แต่ตอนนี้ เราไหว้ หัวหน้ายังไม่รับไหว้เลย น้องแอดมินยิ่งหนัก โดนหนักกว่าเราเยอะ จนน้องไม่ไหวจะลาออก หัวหน้าเห็นเรากับน้อง ทำเหมือนเราสองคนเป็นธาตุอากาศ เรากับน้อง งงมากว่าคนเดียวทำให้หัวหน้าเราเปลี่ยนไปขนาดนี้เลยหรอ เราไม่รู้ว่าหัวหน้าเกลียดเราเรื่องอะไร หัวหน้าเคยบอกเรากับน้องแอดมินว่า ตัวเขาเองเป็นลูกคนเดียว ไม่เคยคิดมาก พ่อแม่ตามใจ ไม่เคยมีปัญหา เขาเลยไม่รู้ว่าแต่ละคนมีปัญหาอะไร หากใครมีปัญหาให้แจ้งเขาเลย เรากับน้องพยายามจะบอกแล้ว เขาไม่เคยจะรับฟังเลย
ตอนนี้เรากับน้องท้อมากแล้ว น้องจะลาออกปลายปีนี้ ส่วนเรา เราก็รอโปรเจคที่เรารับผิดชอบเรียบร้อยเราก็คงไปเหมือนกัน
ปล.เรากับพี่เอรู้จักกันตอนเราทำงานตอนจบใหม่แรกๆ ตอนเข้าไปพี่เออยู่มาก่อนประมาณ ครึ่งปี ตอนนั้นพี่เอมีปัญหากับทางผู้จัดการใหญ่ ผู้จัดการใหญ่เทรนงานให้เราก็เตือนเราว่า อย่าไปสนิทกับคนนั้นมากนะ เพราะเป็นคนเนรคุณ คนที่พาเข้ามาทำงานยังทำเขาเดือนร้อน จนคนนั้นต้องออกมาแล้ว ณ ตอนนั้นเราไม่เข้าใจ ตอนนี้เราเข้าใจแล้ว
ขอเล่าประสบการณ์ การโดนแทงข้างหลังจากเพื่อนร่วมงาน
ขอเกริ่นก่อนนะคะ เราเองเป็นพนักงานเอกชนบริษัทนึง ซึ่งบริษัทนี้เป็นบริษัทเล็กๆ เปิดได้ไม่นาน เราทำงานเป็นเซลล์ขายงานโปรเจกต์ ซึ่งเป็นเครื่องจักรนำเข้าจากต่างประเทศ ต้องบอกก่อนว่าเราเป็นเซลล์คนแรกของออฟฟิศเลย เพราะบริษัทพึ่งเปิดได้ไม่นาน เราเข้ามาแรกๆมีพนักงานไม่ถึง 10 คน ตัวเรารับผิดชอบหน้าที่สารพัดที่ผู้บริหารจะให้ทำ ซึ่งต้องบอกตามตรงว่า เราขึ้นตรงต่อผู้บริหาร ซึ่งที่นี่มีผู้บริหาร 2 คน เป็นสามีภรรยากัน เราขึ้นตรงต่อฝ่ายพี่ผู้หญิง ซึ่งเขาก็อายุห่างจากเราไม่เยอะ ในการทำงานช่วงแรก เราทำทุกอย่าง ตั้งแต่หลังบ้าน ไปจนถึงขายงานต่างๆ ถ้าคนเป็นเซลล์ขายโปรเจคจะรู้ว่าปีนึงขายได้ไม่เยอะ แต่มูลค่าแต่ละงานเยอะ เราก็ขายได้ปีละโปรเจคคือก็ปิดยอดแล้ว ช่วงแรกๆ งานเราเยอะมากจริงๆ แต่เราสนุกมาก เพราะฝ่ายพี่ผู้บริหารเป็นกันเอง ช่วยงานกัน ปรึกษากันเรื่องต่างๆได้หมด รวมทั้งปาร์ตี้ด้วยกันบ่อยๆ เราเองถึงมีทำงานวันหยุด หรือวันไหนป่วยเรายังลากสังขารทำงานให้ได้ เราชอบมากตอนนั้น แล้วต่อมาก็เริ่มมีรับพนักงานเข้ามาหลังจากที่งานเริ่มโหลด เราขอเรียกผู้บริหารผู้หญิงว่าพี่หัวหน้าแล้วกันนะคะ ในตอนแรก หัวหน้ารับพนักงานแอดมินเข้ามา หัวหน้าก็เรียกเราเข้าไปสัมภาษณ์กับพนักงานที่มาสมัครด้วย เพราะอยากให้เข้ากันได้ ตอนนั้น เรารู้สึกว่าเขาโคตรให้เกียรติเราเลย ที่ได้ให้เราเข้าร่วมในการสัมภาษณ์งานคนใหม่ด้วย ซึ่งก็เป็นอย่างที่หัวหน้าบอก พอน้องคนใหม่เข้ามา น้องเข้ากับเราและคนอื่นๆได้ น้องน่ารักมาก ช่วยงานกันในทุกๆเรื่อง เราก็พากันทำงานได้ซักพัก เรื่องก็เกิดขึ้น
เราทำงานไปได้ 1 ปี บริษัทคู่แข่งที่นำเข้าเครื่องจักรเหมือนกันก็ได้ปิดตัวลง ณ ตอนนั้นหัวหน้าเราอยากรู้ข่าววงในบริษัทนั้น เราเอง มีพี่ที่รู้จักทำงานที่นั้น เราก็ไปสืบข้อมูลจากพี่คนนั้น สมมุติให้ชื่อว่า เอ เราก็สอบถามข้อมูลพี่เอว่าบริษัทเกิดอะไรขึ้น แล้วเขาจะเอายังไงต่อ ซึ่งพี่เอก็บอกว่าโดนให้ออกมาได้ 2 เดือนแล้ว ของที่นำเข้าก็ยกเลิกการขายทั้งหมด หัวหน้าได้ยินดังนั้น ก็อยากจะได้คอนแทคซัพพลายเออร์จากต่างประเทศ เพื่อขอเป็นตัวแทนจำหน่าย ซึ่งเราก็ประสานงานคุยกับพี่เอ ต้องบอกก่อนว่า ตัวเครื่องจักรที่หัวหน้าเราอยากขาย เป็นคนละส่วนกับที่บริษัทเราเคยขาย ตัวเครื่องจะเป็นเครื่องเล็กๆ ประเภทใช้แล้วหมดไป ซึ่งขายได้ง่ายกว่า เราก็คุยกับพี่เอ จนหัวหน้าเราสนใจพี่เอ อยากให้เราแนะนำ เราก็บอกว่าพี่เอแกเก่งเรื่องขายนะ แถมมีลูกค้าเก่าอยู่ด้วยน่าจะดี แต่ข้อเสียคือแกไม่ชอบทำงานเอกสาร คือจะสั่งๆอย่างเดียว ขายอย่างเดียว ปิดการขายจบก็ให้หลังบ้านทำงานให้ทั้งหมด เราก็แนะนำให้พี่เอเข้ามาสัมภาษณ์กับหัวหน้าดู ซึ่งหัวหน้าก็ดูชอบใจ และตกลงรับพี่เอเข่ทำงาน งานของเรากับพี่เอคือคนละส่วนเลย เราขายเครื่องจักรใหญ่ พี่เอขายงานพวกศแปร์พาสเล็กๆ คนละเครื่อง แต่ลูกค้าคืออาจจะเป็นลูกค้าเดียวกัน แต่ขายกันคนละส่วน ในตอนแรกเรามีข้อตกลงกันว่า สมมุติว่าลูกค้าพี่เอ มีใช้เครื่องที่เราขาย เราจะขอให้พี่เอแนะนำคอนแทคให้ ถ้าเราปิดงานขายได้ จะให้ค่าแนะนำตามสัดส่วน ของเราก็เหมือนกัน ถ้า ลูกค้าเราใช้ของที่พี่เอขาย และเราแนะนำคอนแทคลูกค้า แล้วพี่เอปิดการขายได้ เราก็จะได้ค่าแนะนำ ซึ่งส่วนนี้ทางหัวหน้าจะคิดคำนวณจำนวนเงินให้ ในตอนแรกก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เรากับพี่เอก็เข้าลูกค้าสลับไปมา สักพัก เราเข้าลูกค้าพี่เอ ซึ่งพี่เอส่งแค่คอนแทคให้ เราก็ไปติดต่อเองทุกอย่าง คุยตั้งแต่ต้นจนจบ จนจะเกิดงาน พี่เอก็แอบโทรมาขอค่าคอมกับเรา ซึ่งแยกจากค่าแนะนำที่หัวหน้าจะให้ เราก็บอกว่าไม่ได้ พี่เอได้ค่าแนะนำแล้ว จะมาขอเพิ่มไม่ได้ เราได้ค่าคอมประมาณ 2% พี่เอจะขอแบ่ง 1% เราบอกเราไม่ให้ เราเลยถามพี่เอว่า เอาอย่างนี้ไหม ถ้าพี่เออยากได้ พี่เอจะขายงานโปรเจคลด้วยไหน แล้วเราแยกลูกค้ากันเลย แบบลูกค้าใครลูกค้ามัน ไม่ต้องมีค่าแนะนำ ขายได้หมดทุกอย่าง ใครขายได้ก็ได้ค่าคอม ตอนนั้นพี่เอบอกว่าไม่ขายหรอกเครื่องใหญ่ มันขายยาก เราเลยถามพี่เอซ้ำว่าแน่ใจนะ งั้นการเข้าลูกค้าก็ยังเหมือนเดิมนะ แบ่งแค่เครื่องที่ขาย ไม่แบ่งลูกค้านะ แกก็บอก เออ ตามนั้นแหละ เราก็ทำงานต่อเรื่อยๆ
เรื่องที่เกิดครั้งที่ 2 น้องแอดมินที่เข้ามาก่อนหน้านี้ ตอนแรกหัวหน้าให้ทำงานเกี่ยวกับเอกสารอย่างเดียว แต่หัวหน้าแล้วเราเห็นศักยภาพน้องว่า น้องขายของเครื่องเล็กไปได้ หัวหน้าเลยให้น้องติดต่อลูกค้าที่เป็นโซนร้านค้าเล็กๆ ซึ่งน้องก็้สามารถขายได้ เราดีใจกับน้องมากที่ขายได้ น้องจะได้มีรายได้ เราเห็นดังนั้น เราจึงแจ้งหัวหน้าว่า ถ้าหากลูกค้าเราสนใจเครื่องเล็กๆ เราจะให้น้องแอดมินขายนะคะ ซึ่งหัวหน้าก็โอเค เรื่องเกิดขึ้นจากการที่ เราติดต่อลูกค้า 1 ราย ซึ่งเป็นลูกค้าเก่าเรา เราเข้าพบลูกค้ากับทางหัวหน้า ลูกค้ามีความสนใจเครื่องเล็กเพื่อมาลองใช้ก่อน เราและหัวหน้าก็แจ้งลูกค้าว่าเดี๋ยวเราให้น้องแอดมินส่งข้อมูลและราคาให้ พอเราจะกลับ เราเลยบอกหัวหน้าว่า ถ้าน้องแอดมินขายได้ ยกผลประโยชน์ให้น้องเลยนะคะ หัวหน้าก็โอเค วันต่อมาพี่เอก็โทรมาคุยเล่นกับเรา เราก็เม้ามอยไปเรื่อย จนเราพูดเราลูกค้าที่เราไปมาเมื่อวาน เราก็เล่าให้พี่เอฟังว่าดีใจกับน้องมากที่น้องจะได้ค่าคอมด้วย พี่เอได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจมาก พี่เอบอกว่าลูกค้าเจ้านั้นเขาก็มีคอนแทค ทำไมถึงให้น้องแอดมินไปขาย เราก็บอกว่า เฮ้ยยย เขาจะไปขายได้ไง คนละส่วนกัน อีกอย่าง ลูกค้าเจ้านี้ เราเข้าไปติดต่อมาก่อน ไปกับหัวหน้ามาด้วย เราก็ต้องคุยได้ก่อนอยู่แล้ว พอพี่เอฟังดังนั้นก็โมโห บอกว่าเป็นแค่แอดมิน ให้ขายของได้ยังไง อย่างงี้ก็สบายสิ นั่งอยู่ออฟฟิศก็ได้ค่าคอม พอเราได้ฟังเราโมโหมาก คือเรารู้สึกว่าพี่เอเห็นแกตัวมากไปไหม ทำไมไม่ยินดีกับน้องเลย เราก็ทวนกับพี่เออีกว่า สรุปแล้ว พี่เอจะเอายังไงกันแน่ จะขายทุกเครื่องเลยไหม จะได้จับมือกันไปคุยกับหัวหน้า แบ่งลูกค้าไปเลย แล้วใครๆก็ขายเครื่องไหนก็ได้ เขาก็ไม่ตอบ และวางสายไปเลย เรื่องนี้เราโมโหมาก เราก็ลังเลว่าจะบอกหัวหน้าดีไหม ซึ่งสุดท้ายเราตัดสินใจไม่บอก เราก็ไลน์ไปถามพี่เอว่า สรุปเอายังไง แบ่งลูกค้าเลยไหม เราจะได้จัดแพลนไปพบลูกค้าถูก จะได้ไม่ไปเข้าลูกค้าพี่เขา แกอ่านไลน์แต่ไม่ตอบเรา เราเลยโทรไปหาแหเพื่อจะเครียล์ลูกค้า แกก็ไม่รับ สุดท้ายวันนั้นเราก็ไม่รู้จะเอายังไง ต่อมาอยู่ๆหัวหน้าก็โทรมาหาเรา บอกว่าเดี๋ยวจะแบ่งลูกค้า ให้ทุกคนขายเครื่องได้หมด (เรามารู้ทีหลังว่าพี่เอ ไปฟ้องหัวหน้าเราก่อน) เรื่องนี้ทำให้เราโกรธมากจริงๆ เราไม่ได้อยากเอาเรื่องไปให้หัวหน้าปวดหัว เราอยากจะเครียล์กับพี่เอก่อน แล้วจับมือไปคุยเรื่องลูกค้ากับหัวหน้าเลย เราไม่ซีเรียสถ้าพี่เขาจะขายเครื่องเดียวกันกับเรา เรายินดีด้วยซ้ำ เราอยากให้บริษัทโต อยากให้มีรายได้เยอะๆ เราไม่เคยซีเรียสเรื่องของหรือลูกค้าเลย เราโกรธเขาครั้งนี้มาก และเห็นว่าเขาค่อนข้างเห็นแก่ตัว จึงเลิกคุยกับเขา เลิกยุ่งเกี่ยว งานก็ส่วนงาน เราทำงานร่วมกันได้ แต่เราจะไม่ยุ่งกะเขาอีก
เรื่องเกิดครั้งที่ 3 อันนี้เป็นเรื่องของน้องแอดมินที่มาระบายให้เราฟัง พอผ่านเรื่องนั้นมา เราก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกับพี่เออีก เราก็ทำงานในส่วนของเรา เราเข้าออฟฟิศเห็นน้องแอดมินเครียด เราเลยถามน้อง ตอนแรกน้องไม่ยอมบอก เพราะคิดว่าเราสนิทกับพี่เอ แต่เราก็เกริ่นกับน้องว่าเราเลิกยุ่งกับพี่เอแล้ว น้องเลยระบายให้ฟังว่า พี่เอทั้งใช้ทั้งด่าน้อง น้องสอบถามเรื่องระเบียบจ่ายเงินกับพี่เอ เขาตอบน้องว่า หัดใช้หัวคิดบ้างสิว่าควรมาถามเขาไหม เขามีหน้าที่ขาย ไม่ได้มีหน้าที่แจ้งระเบียบอะไร น้องก็จุกไปเลย สั่งงานน้อง เร่งนั้นเร่งนี้ ขายของขาดทุน ก็อ้างน้องทำราคาผิด พอน้องพูดดังนั้น เราก็ระบายเรื่องของเราให้น้องฟัง เรากับน้องตัดสินใจจะขอพูดกับฝั่งหัวหน้าบ้าง พอเราจะเกริ่นขอพูดกับหัวหน้า หัวหน้าก็เหมือนจะรู้อะไรบ้างอย่าง พอเราจะขอพูด หัวหน้าก็ทำเฉไฉ ไม่อยากฟัง น้องแอดมินจะพูด หัวหน้าก็บอกมีธุระ จนเราจับพิรุธได้ สุดท้ายเราก็ไม่ได้พูด น้องแอดมินบอกเราว่า เหมือนหัวหน้าจะไม่อยากรับรู้เรื่องปัญหาเลย เราเองมองในมุมผู้บริหาร ก็คงรู้สึกว่าพึ่งฟอร์มทีมใหม่ ไม่อยากให้มีปัญหา เราเองก็เข้าใจ พอผ่านไปซักระยะ เรื่องยิ่งเริ่มเยอะขึ้น ตัวเราเองรู้สึกได้เลยว่าหัวหน้าเราเปลี่ยนไป เราเองก็ไม่ได้คิดอะไรในตอนแรก เราก็ทำหน้าที่ของเราไป น้องแอดมินเล่าให้เราฟังว่าพี่เอโทรมาหาหัวหน้าบ่อยมาก ไม่รู้คุยเรื่องอะไร แต่เราและน้องแอดมินรู้สึกเห็นได้ชัดเลยว่าหัวหน้าเปลี่ยนไป เหมือนไม่ชอบเราและน้องแอดมิน เราเข้าออฟฟิศทจากแต่ก่อนหัวหน้าทักทายร่าเริง แต่ตอนนี้ เราไหว้ หัวหน้ายังไม่รับไหว้เลย น้องแอดมินยิ่งหนัก โดนหนักกว่าเราเยอะ จนน้องไม่ไหวจะลาออก หัวหน้าเห็นเรากับน้อง ทำเหมือนเราสองคนเป็นธาตุอากาศ เรากับน้อง งงมากว่าคนเดียวทำให้หัวหน้าเราเปลี่ยนไปขนาดนี้เลยหรอ เราไม่รู้ว่าหัวหน้าเกลียดเราเรื่องอะไร หัวหน้าเคยบอกเรากับน้องแอดมินว่า ตัวเขาเองเป็นลูกคนเดียว ไม่เคยคิดมาก พ่อแม่ตามใจ ไม่เคยมีปัญหา เขาเลยไม่รู้ว่าแต่ละคนมีปัญหาอะไร หากใครมีปัญหาให้แจ้งเขาเลย เรากับน้องพยายามจะบอกแล้ว เขาไม่เคยจะรับฟังเลย
ตอนนี้เรากับน้องท้อมากแล้ว น้องจะลาออกปลายปีนี้ ส่วนเรา เราก็รอโปรเจคที่เรารับผิดชอบเรียบร้อยเราก็คงไปเหมือนกัน
ปล.เรากับพี่เอรู้จักกันตอนเราทำงานตอนจบใหม่แรกๆ ตอนเข้าไปพี่เออยู่มาก่อนประมาณ ครึ่งปี ตอนนั้นพี่เอมีปัญหากับทางผู้จัดการใหญ่ ผู้จัดการใหญ่เทรนงานให้เราก็เตือนเราว่า อย่าไปสนิทกับคนนั้นมากนะ เพราะเป็นคนเนรคุณ คนที่พาเข้ามาทำงานยังทำเขาเดือนร้อน จนคนนั้นต้องออกมาแล้ว ณ ตอนนั้นเราไม่เข้าใจ ตอนนี้เราเข้าใจแล้ว