จากพนักงานออฟฟิศสู่การเป็นนักเขียนออนไลน์ รายได้มากกว่าห้าหมื่น

            กระทู้นี้ไม่ได้จะมาอวดอ้างหรืออะไรนะคะ ต้องบอกก่อนว่าเรายังไม่ใช่นักเขียนชื่อดังที่เรียกว่าประสบผลสำเร็จแต่อย่างใด (นักเขียนที่ประสบผลสำเร็จรายได้หกหลัก)
             เราแค่อยากแบ่งปันประสบการณ์ที่ครั้งหนึ่งเราคิดว่าอาชีพนักเขียนเป็นสิ่งที่เราสัมผัสได้ยากยิ่ง เพราะเราอยู่ในมุมนักอ่านมาก่อน เราอ่านนิยายมานานมากค่ะตั้งแต่ประถมสี่ นิยายเรื่องแรกที่อ่านก็ดราม่าเลย เรื่องคู่กรรม ของทมยันตี
               ตั้งแต่นั้นมาเราก็ซึมซับอารมณ์กับตัวอักษรเรียกได้ว่าอินขั้นสุดและเลิกติดจอมาติดหนังสือแทน อ่านนิยายแทบทุกแนวตั้งแต่ภาษาสละสลวยหรือไก่กาเน้นกระแทกอารมณ์อย่างเดียวก็มี อ่านตั้งแต่สองทุ่มยันแปดโมงเช้าของอีกวันก็เคย แม่เคยประชดว่าถ้าขยันอ่านหนังสือเรียนแบบนี้ คงจะมีลูกเป็นหมอแน่เลยเพี้ยนหัวเราะจากนั้นเริ่มสิงสถิตเว็บอ่านนิยาย (ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าใคร ๆ ก็เขียนนิยายได้)
             จุดเปลี่ยนของเราอยู่ที่ เราไปอ่านนิยายเรื่องหนึ่งเป็นแอพนิยายออนไลน์ แล้วนิสัยทัศนคติของนางเอกไม่ได้ดั่งใจ รู้สึกหงุดหงิดจึงคอมเมนต์ไปแบบระบายความรู้สึกนิดหน่อยประมาณว่า ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
            ทีนี้หลังจากเราได้ระบายความรู้สึกผิดหวังไป เราก็ไม่ได้เข้าไปอ่านเรื่องนั้นอีกประมานหนึ่งอาทิตย์ พอว่างเราเข้าไปดูว่านักเขียนอัปเดตงานหรือยัง เรากลับพบว่านักเขียน เมนต์ตอบกลับเราว่า เรื่องนี้เป็นจินตนาการของเขา เรื่องของเขา ถ้าอยากได้ดั่งใจ  ไปเขียนเองนะ
          ช็อกสิ!
            นักเขียนพูดถูกนะ ที่ทุกคนมีสิทธิ์เขียนตามจินฯ ของตัวเอง แต่ความรู้สึกเราตอนนั้นคือ เออกูยิ้มเข้าไปอ่านทำไมวะ
           เจ็บ!
          กระอัก!
          ล้านความรู้สึกอัดแน่นข้างใน แต่พูดกับใครไม่ได้เพราะเพื่อนร่วมงานเขาไม่อ่านหนังสือนิยาย ไม่เข้าใจฟีลเรา
          ด้วยคำพูดนั้นทำเราอ่อนไหวจนไม่เข้าไปอ่านนิยายออนไลน์อีกเลย หันมาอ่านหนังสือแปลเป็นเล่มกับEbookแทน
         กระทั่งมีโควิดเข้ามา บริษัทเราหยุดไปสามเดือน ทีนี้ว่างไง ก็ว้าวุ่น จะซื้อหนังสืออ่านก็ไม่มีตังค์แล้วเพราะเงินเดือนบริษัทจ่ายแค่ครึ่งหนึ่ง เลยเปิดใจกลับไปอ่านนิยายออนไลน์อีกครั้ง แต่คำพูดของนักเขียนคนนั้นยังฝังใจเรา แล้วบังเอิญสายตาเหลือบไปเห็นปุ่มเล็ก ๆ สมัครเป็นนักเขียน 
          เราลังเลอยู่ชั่ววินาทีก็คลิกเข้าไปดู ตัดสินใจสมัครเลย (เขียนได้หรือเปล่าเอาไว้ทีหลัง) แฟนบอกว่า 'เธออย่าคิดเยอะ เขียนให้คนอ่านฟรี มีคนเข้ามาอ่านก็ถือว่าสำเร็จแล้ว!
          No!
        ที่ไหนได้ เรื่องแรกที่เราเขียน เราติดทั้งเหรียญและกุญแจเลยเพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเอง (แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่าไม่มีคนจ่ายไม่เป็นไร ฉันแค่อยากสร้างโลกของพระเอก นางเอกของฉัน) 
        หลังจากเราได้พล๊อตคร่าว ๆ ออกแบบความรู้สึก ความคิดของนางเอก พระเอก และตัวละครอื่น ๆ เราเปิดเรื่องเลยค่ะ ทำลงไปโดยไม่รู้อะไรเลยแม้กระทั่งหน้าปก ไม่มีเพื่อนนักเขียน ไม่มีใครให้คำแนะนำ มีเพียงแรงกระตุ้นเดียว อยากได้ดั่งใจ ไปเขียนเอง 
        ข้อผิดพลาดของเรามีเรื่องปกค่ะ ตอนนั้นเราเอารูปนายแบบต่างชาติขึ้นปก (ไม่ใช่ปกนิยายของคนอื่น) เราก็ทำตาม ๆ กันเหมือนเรื่องอื่น ๆ คิดง่าย ๆ ว่าถ้าเว็บให้ผ่านแสดงว่าทำได้ มารู้ทีหลังว่าผิดค่ะ ผิดลิขสิทธ์เต็ม ๆ เราเปิดเรื่องอ่านฟรีไปได้สักพัก พอจะติดเหรียญ เราเลยจัดการซื้อปกราคาถูกไม่กี่ร้อยที่เขาแถมจัดไทโปชื่อเรื่องให้พร้อม เรื่องปกจึงได้รับการแก้ไขไป 
        พอเปิดเรื่องไปได้สักสี่ห้าตอน กระแสเริ่มมาค่ะ  มีคอมเมนต์เชิงบวกจากนักอ่าน ใจก็มาเลยทีนี้ มุ่งมั่นเขียนหัวลื่นไหลมาก
       ทีนี้มาถึงตอนสุดท้ายที่จะติดเหรียญ เราได้แจ้งนักอ่านไปว่าเราขอติดเหรียญนะ ส่วนคนที่อ่านฟรีรอใช้กุญแจนะ ส่วนใครที่อยากอ่านรวดเดียวแบบEbook รอหน่อย ทั้งที่ตอนนั้นไม่รู้ว่า Ebook ทำยังไง แต่คิดว่าศึกษาเอาไม่น่ายาก แล้วเราก็ทำได้จริง ๆค่ะ เพียงแค่ดูยูทูปเอา
        เราสมัครเป็นนักเขียนขายอีบุคด้วยในMeb ซึ่งก็ไม่ยากไม่กี่ชั่วโมงเว็บก็อนุมัติ ทีนี้ทางเดินที่มืดมนก็เริ่มเป็นรูปร่าง
       เราเห็นรายได้จากการติดเหรียญเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แรงฮึดก็ยิ่งมา ยิ่งมุ่งมั่นเขียนให้จบไว ๆ สุดท้ายเราเขียนนิยายจบภายในหนึ่งเดือน จัดการส่งเข้าเว็บรอขายEbook ซึ่งอนุมัติเร็วมาก ไม่ถึงสามชั่วโมง หนังสือของเราก็อยู่ในหน้าหนังสือมาใหม่ 
       แต่ตอนนั้นเราก็นอย ด้วยความไม่รู้ว่าดูยอดหนังสือที่ขายได้ตรงไหน กว่าจะรู้ข้ามวันไปแล้วค่ะ (หน้าเพจของนักอ่านกับนักเขียนแสดงไม่เหมือนกัน)
        พอผ่านไปหนึ่งคืน แม่เจ้า! หนังสือเรามียอดโหลด 53 เล่ม เหนือความคาดหวังของเรามาก
        เราได้เงินหนึ่งหมื่นแล้ว! 
       ต้นทุนที่เป็นเม็ดเงินของเราคือ สองร้อยบาท ค่าปกเท่านั้นเอง (ตาโตมาก) ผ่านไปครึ่งเดือน เรามีรายได้จากนิยายเรื่องแรกรวม สี่หมื่นกว่า
       จากนั้นมาเราเก็บความสุขของเราไว้เงียบ ๆ เร่งเขียนเรื่องที่สอง สาม ต่อเลย แบบพล็อตในหัวมีเยอะมาก 
       จุดเปลี่ยนอีกครั้งของเรา เมื่อต้องกลับไปทำงานประจำที่แสนเหนื่อยล้าเหลือเกิน หมดแรงจะเขียนงานต่อเพราะทำงานก็อยู่หน้าคอมทั้งวันกลับบ้านก็นั่งหน้าจออีก ทีนี้สายตาเราล้าไม่ไหว ปวดหัว ปวดตา อยากมีรายได้สองทางแต่ร่างกายไม่ไหว สุดท้ายเราจึงต้องเลือก 
        ทุกคนว่าเราเลือกทางไหน 
        ทางนักเขียนใช่ไหมคะ?
        :
        :
        : 
        เดี๋ยวมาต่อค่ะ
        11/11/66 มาต่อกันค่ะ
        บริษัททำท่าจะไปไม่รอด เขาก็ให้พนักงานสมัครใจลาออก แผนกละสองคนโดยเขาระบุชื่อมาว่าใครที่ไม่ได้สิทธ์ ผลปรากฎว่าเราได้ไปต่อ เขาไม่ให้เราออก โอเคทำงานต่อก็ได้ ยังไงงานประจำก็มั่นคง แต่...แต่ว่า คนที่อยู่ต้องโหลดงานเพิ่มขึ้นของคนที่ออก เพราะเขาไม่จ้างคนใหม่มาทำ 
         เหนื่อยรากเลือดเลยค่ะ... งานที่เราทำคือต้องดูแลออร์เดอร์ของลูกค้าต่างประเทศ พูดง่าย ๆ คืออยู่ฝ่ายส่งออก ดิลงานทุกอย่างตั้งแต่คุย ดูคำสั่งซื้อ เพอร์ฟอร์มา อินวอย์ หรือแม้แต่ชิปปิ้งเชคค่าส่ง ค่าประกัน ดิลกับดีเอสแอล เฟดเอ็กซ์ กว่าจะจบแต่ละวัน หมดพลังงานชีวิต
         ตอนนั้นเรามีงานเขียนค้างไว้ นักอ่านก็ทวงมาทุกวัน เราก็เริ่มอัปงานบ้าง หายบ้าง รายได้จากนิยายก็ลดถอยลงเพราะไม่มีงานใหม่ แต่ก็ยังมีอินคัมเดือนละหมื่นต้น ๆ 
         ทีนี้จุดพีคคือ บริษัทเขาลดเวลาทำงานลงให้เหลือสี่วันต่อสัปดาห์ และจ่ายเงินเดือนเจ็ดสิบเปอร์เซนต์ คนอื่นเขาร้องไห้กันแต่เราดีใจ ยิ้มหมายมาดในใจ เอาละ... ฉันจะมีเวลาเขียนงานสามวันเต็ม ๆ จะเอาให้วันละหมื่นคำเลย 
      แต่ฝันก็ต้องสลายค่ะ เพราะงานของเราคือไม่ได้พักสมองเลย เราหยุด แต่ลูกค้าไม่หยุด วันศุกร์คนอื่นเขาหยุด แต่อีนี่ยังต้องเช็คอีเมล จัดการบุคกิ้ง วันไหนมีส่งของหากไม่ผ่านคัสตอมก็ต้องวิ่งเข้าออฟฟิศไปจัดการเอกสารให้ใหม่ เป็นแบบนี้อยู่สามสี่เดือนเริ่มทนไม่ไหว งานหนักกว่าเดิมแต่เงินได้น้อยกว่าเดิม เคยบอกบริษัทไปไม่ได้รับการเยียวยา เครียดมากกลับบ้านร้องไห้เกือบทุกวันเพราะความอึดอัดคับข้องใจ
      ตอนนั้นเปิดคอมขึ้นมานั่งอ่านคอมเมนต์นักอ่าน ที่มีทั้งตำหนิและชื่นชม แต่ส่วนใหญ่ก็แนวบวก ตำหนิก็เป็นพวกคำผิดซึ่งเราก็น้อมรับ นั่งประมวลผลไปมา อารมณ์ตอนอ่านคอมเมนต์รี้ดแม้จะเป็นคำติเตียน เราก็รู้สึกมีพลังอยากเปลี่ยนแปลง แตกต่างจากตอนโดนลูกค้าตำหนิที่ตอนนั้นมันห่อเหี่ยวฤทัยเหลือเกิน  สุดท้ายจิตใจเราได้ตกตะกอน ไม่ว่าผลจากนี้จะเป็นอย่างไร ฉันขอทำในสิ่งที่รักและถนัดแล้วกัน 
       วันต่อมาเราแจ้งฝ่ายบุคคลเลยค่ะว่าจะลาออก ตอนนั้นแหละบริษัทก็โน้มน้าวว่าออกไปจะทำอะไร งานหายากนะ นั่นโน่นนี่
       เราเลยบอกว่าจะออกไปเป็นนักเขียน!
      ฟีดแบกที่ตีกลับคือเสียงหัวเราะ และถามกลับมาว่า แล้วมันจะได้เท่าที่เขาให้เหรอ! 
     เราเลยเปิดหนังสือให้เขาดูว่าหนังสือเรา Best seller ทุกเล่มนะ (ทั้งที่คิดในใจว่ากูอาจจะแค่ฟลุคก็ได้) 
      สรุปเราเลยได้ออกในเดือนถัดมา และชีวิตหลังจากนั้น
      หุ หุ
      เหมือนการเดินทางบนถนนดินแดงอีกครั้ง
      อ้าว... พิมพ์ไป พิมพ์มา จะครบหมื่นอักษรซะแล้ว ยังไม่เข้าสู่เส้นทางของนักเขียนเลย
     
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่