ปัจจุบันผมมี 3 งาน กับงานอดิเรกเล็กๆที่พอได้ค่าขนมเดือนละ 1000 บาทอีก 1 งาน สถานการณ์เป็นแบบนี้ครับ
1. งานประจำ ทำงาน จ-ศ เป็นบอเล็กๆ ผมพึ่งย้ายมาทำได้ปีกว่าๆ โดยรวมมีความสุขดีครับ โอเคแหละ มันมีเรื่องที่เราไม่ชอบบ้าง แต่เราถือว่ารับได้ แต่ในฐานะของคนที่เคยทำงานบอใหญ่มา ก็รู้สึกว่าบอเล็กๆไม่ค่อยมั่นคงในหลายๆเรื่อง ผมแบ่งเป็น pros กับ cons ละกัน
pros
- บริษัทนี้ อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงในการถูก disrupt จากเทคโนโลยีต่ำ โดนปกป้องด้วย regulation แน่นหนา คู่แข่งหน้าใหม่มีน้อย
- ลูกค้าที่ซื้อสินค้าและบริการของบริษัท ค่อนข้าง loyalty สูงมาก แฟนคลับเหนียวแน่น แต่มักเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ
cons
- บริษัทล้มเหลวในการเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ และการประมูลงานภาครัฐ นั่นทำให้แม้ว่า pros คือถึงจะมีกลุ่มลูกค้าเดิมเหนียวแน่น แต่ก็น้อยลงไปทีละนิดๆ ทำให้ยอดขายค่อยๆซึมลงทีละนิด
- อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ประเทศไม่ค่อยให้การสนับสนุนหรือให้ความสำคัญเท่าไร ทุกครั้งที่มี FTA อะไรต่างๆ (อย่างล่าสุด พรรคเพื่อไทยจะทำ FTA อีก ซึ่งอุตสาหกรรมนี้ก็ไม่น่ารอดอีกเช่นเคย) ประเทศมักจะเอาอุตสาหกรรมนี้ไปแลกเสมอๆ เพื่อแลกกับประโยชน์ของอุตสาหกรรมอื่นๆที่เราแข็งแรงกว่า เช่น ส่งออกอาหาร สินค้าการเกษตร อะไรพวกนี้
จากทั้ง pros และ cons ทำให้สถานการณ์ในตอนนี้คือ แม้ว่าตัวเลขออกมาจะไม่เลวร้ายเท่าไรนัก แต่ก็นับว่าเป็นขาลงต่อเนื่องมา 5 ปีแล้ว
2.งานที่ 2 งาน part time เป็นงาน WFH ได้ ชม.ละ 200 บาท ปัญหาคืองานนี้เป็นคนละสายงานกับงานประจำ ทำให้ผมต้องใช้พลังในการอัพเดท และพัฒนาตนเอง เพื่อให้ทันและสามารถทำงานได้ตามเป้าอยู่เสมอๆ ซึ่งหลังๆมา เริ่มมี KPI มี Audit เข้ามาจับเยอะกว่าช่วงแรกๆ ทำให้ผมเหนื่อยกว่าเดิมมาก เพราะต้องอัพเดทและพัฒนาตัวเองทั้งจากสายงานประจำและงานนี้ด้วย
3.งาน freelance งานนี้ถือว่าอยู่ในสายงานใกล้เคียงกับงานประจำ ทำให้ใช้ skill-set เดียวกับงานประจำได้ เลยไม่เหนื่อยมาก งานนี้รับเป็น jobๆ ใช้เวลาทำต่องานประมาณ 1-2 เดือน ได้เงินต่องานๆละ 20,000-120,000 บาท ปัญหาคือ งานไม่ได้มีมาทุกเดือน ประมาณ 3 เดือนจะมาที และได้เงินค่อนข้างช้า คือผมทำเสร็จวันนี้ ได้เงินอีกทีประมาณปีหน้า เนื่องจากเป็นงานที่ต้องทำต่อกันหลายส่วน ถึงแม้ส่วนของผมจะเสร็จ แต่ก็ต้องรอส่วนอื่นให้เสร็จทั้งหมดด้วย นอกจากนี้ด้วยลักษณะงานแล้วผมมองว่าในอนาคตมีโอกาสที่จะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีหรือ AI ได้สูง
ส่วนอันอื่นๆ ก็มีงานอดิเรกอย่างทำเว็บไซต์ ได้ค่าโฆษณานิดๆหน่อยๆวันละ 1 เหรียญ 55555+ คืออันนี้ก็เป็น sunset เต็มขั้นแล้วแหละ เพราะแต่ก่อนช่วงพีคๆผมได้วันละ 5 เหรียญ เดี๋ยวนี้คนไปดูติ๊กต๊อกไรกันหมดละ ไม่ค่อยเข้าเว็บหรอก ซึ่งพอหักค่า host ค่าโดเมน ก็น่าจะเหลือกำไรเดือนนึงประมาณ 300 บาท มันก็รู้สึกแย่นะ 555555 แต่พอคิดว่า ได้กินบุฟเฟ่ถูกๆเดือนละมื้อเลยนะ ก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย 555555
อ่อ มีอีกอัน เคยทำขายตรง แต่ตอนนี้ไม่ค่อยได้ทำละ แต่ผลบุญจากช่วงที่ทำฟิตๆ ทำให้ตอนนี้มีดาวไลน์ที่ยังซื้อประจำ พอได้ค่าขนมเดือนละ 2-4 พันบาทอยู่
เอาละ กลับมาสู่คำถาม ทุกคนคิดว่า งานที่ 2 3 4 ของเรา ควรเป็นงานในสายงานเดียวกับสายงานหลัก คือคนละสายงานดีครับ คือ ถ้ามองว่าคนละสายงาน ก็มองว่าเป็นการกระจายความเสี่ยง ฝากไข่ไว้ในตะกร้าหลายใบ โดยเฉพาะในช่วงที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วปานจรวดจนทำนายอนาคตอะไรได้ยากเช่นทุกวันนี้ แต่ก็ต้องแลกกับที่เราต้องเหนื่อยเป็น 2 เท่า 3 เท่า 4 เท่า เรียนรู้อะไร ทำอะไร ก็ต้องทำ 2 ครั้ง 3 ครั้ง 4 ครั้ง เพราะเดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะที่ไหน หรือใคร ก็ย่อมคาดหวังความมืออาชีพ ความเป็นเลิศ จะมาทำเล่นๆไม่ได้แล้ว แต่ก่อนคนที่พอทำได้ยังมีที่ยืน เดี๋ยวนี้มีแต่ที่ยืนให้สำหรับมืออาชีพเท่านั้น หรือว่าทำแต่ในสายงานหลัก โฟกัสสายงานหลักให้เก่งสุดๆไปเลย ถือคติว่า ถ้าเราเป็นเบอร์ 1 อะไรก็มาแทนไม่ได้ แบบนี้ดีครับ
ขอบคุณทุกคนมากครับ
งานที่ 2 3 4 ของเราควรเป็นงานในสายงานเดียวกับสายงานหลักหรือสายอื่นดีครับ
1. งานประจำ ทำงาน จ-ศ เป็นบอเล็กๆ ผมพึ่งย้ายมาทำได้ปีกว่าๆ โดยรวมมีความสุขดีครับ โอเคแหละ มันมีเรื่องที่เราไม่ชอบบ้าง แต่เราถือว่ารับได้ แต่ในฐานะของคนที่เคยทำงานบอใหญ่มา ก็รู้สึกว่าบอเล็กๆไม่ค่อยมั่นคงในหลายๆเรื่อง ผมแบ่งเป็น pros กับ cons ละกัน
pros
- บริษัทนี้ อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงในการถูก disrupt จากเทคโนโลยีต่ำ โดนปกป้องด้วย regulation แน่นหนา คู่แข่งหน้าใหม่มีน้อย
- ลูกค้าที่ซื้อสินค้าและบริการของบริษัท ค่อนข้าง loyalty สูงมาก แฟนคลับเหนียวแน่น แต่มักเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ
cons
- บริษัทล้มเหลวในการเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ และการประมูลงานภาครัฐ นั่นทำให้แม้ว่า pros คือถึงจะมีกลุ่มลูกค้าเดิมเหนียวแน่น แต่ก็น้อยลงไปทีละนิดๆ ทำให้ยอดขายค่อยๆซึมลงทีละนิด
- อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ประเทศไม่ค่อยให้การสนับสนุนหรือให้ความสำคัญเท่าไร ทุกครั้งที่มี FTA อะไรต่างๆ (อย่างล่าสุด พรรคเพื่อไทยจะทำ FTA อีก ซึ่งอุตสาหกรรมนี้ก็ไม่น่ารอดอีกเช่นเคย) ประเทศมักจะเอาอุตสาหกรรมนี้ไปแลกเสมอๆ เพื่อแลกกับประโยชน์ของอุตสาหกรรมอื่นๆที่เราแข็งแรงกว่า เช่น ส่งออกอาหาร สินค้าการเกษตร อะไรพวกนี้
จากทั้ง pros และ cons ทำให้สถานการณ์ในตอนนี้คือ แม้ว่าตัวเลขออกมาจะไม่เลวร้ายเท่าไรนัก แต่ก็นับว่าเป็นขาลงต่อเนื่องมา 5 ปีแล้ว
2.งานที่ 2 งาน part time เป็นงาน WFH ได้ ชม.ละ 200 บาท ปัญหาคืองานนี้เป็นคนละสายงานกับงานประจำ ทำให้ผมต้องใช้พลังในการอัพเดท และพัฒนาตนเอง เพื่อให้ทันและสามารถทำงานได้ตามเป้าอยู่เสมอๆ ซึ่งหลังๆมา เริ่มมี KPI มี Audit เข้ามาจับเยอะกว่าช่วงแรกๆ ทำให้ผมเหนื่อยกว่าเดิมมาก เพราะต้องอัพเดทและพัฒนาตัวเองทั้งจากสายงานประจำและงานนี้ด้วย
3.งาน freelance งานนี้ถือว่าอยู่ในสายงานใกล้เคียงกับงานประจำ ทำให้ใช้ skill-set เดียวกับงานประจำได้ เลยไม่เหนื่อยมาก งานนี้รับเป็น jobๆ ใช้เวลาทำต่องานประมาณ 1-2 เดือน ได้เงินต่องานๆละ 20,000-120,000 บาท ปัญหาคือ งานไม่ได้มีมาทุกเดือน ประมาณ 3 เดือนจะมาที และได้เงินค่อนข้างช้า คือผมทำเสร็จวันนี้ ได้เงินอีกทีประมาณปีหน้า เนื่องจากเป็นงานที่ต้องทำต่อกันหลายส่วน ถึงแม้ส่วนของผมจะเสร็จ แต่ก็ต้องรอส่วนอื่นให้เสร็จทั้งหมดด้วย นอกจากนี้ด้วยลักษณะงานแล้วผมมองว่าในอนาคตมีโอกาสที่จะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีหรือ AI ได้สูง
ส่วนอันอื่นๆ ก็มีงานอดิเรกอย่างทำเว็บไซต์ ได้ค่าโฆษณานิดๆหน่อยๆวันละ 1 เหรียญ 55555+ คืออันนี้ก็เป็น sunset เต็มขั้นแล้วแหละ เพราะแต่ก่อนช่วงพีคๆผมได้วันละ 5 เหรียญ เดี๋ยวนี้คนไปดูติ๊กต๊อกไรกันหมดละ ไม่ค่อยเข้าเว็บหรอก ซึ่งพอหักค่า host ค่าโดเมน ก็น่าจะเหลือกำไรเดือนนึงประมาณ 300 บาท มันก็รู้สึกแย่นะ 555555 แต่พอคิดว่า ได้กินบุฟเฟ่ถูกๆเดือนละมื้อเลยนะ ก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย 555555
อ่อ มีอีกอัน เคยทำขายตรง แต่ตอนนี้ไม่ค่อยได้ทำละ แต่ผลบุญจากช่วงที่ทำฟิตๆ ทำให้ตอนนี้มีดาวไลน์ที่ยังซื้อประจำ พอได้ค่าขนมเดือนละ 2-4 พันบาทอยู่
เอาละ กลับมาสู่คำถาม ทุกคนคิดว่า งานที่ 2 3 4 ของเรา ควรเป็นงานในสายงานเดียวกับสายงานหลัก คือคนละสายงานดีครับ คือ ถ้ามองว่าคนละสายงาน ก็มองว่าเป็นการกระจายความเสี่ยง ฝากไข่ไว้ในตะกร้าหลายใบ โดยเฉพาะในช่วงที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วปานจรวดจนทำนายอนาคตอะไรได้ยากเช่นทุกวันนี้ แต่ก็ต้องแลกกับที่เราต้องเหนื่อยเป็น 2 เท่า 3 เท่า 4 เท่า เรียนรู้อะไร ทำอะไร ก็ต้องทำ 2 ครั้ง 3 ครั้ง 4 ครั้ง เพราะเดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะที่ไหน หรือใคร ก็ย่อมคาดหวังความมืออาชีพ ความเป็นเลิศ จะมาทำเล่นๆไม่ได้แล้ว แต่ก่อนคนที่พอทำได้ยังมีที่ยืน เดี๋ยวนี้มีแต่ที่ยืนให้สำหรับมืออาชีพเท่านั้น หรือว่าทำแต่ในสายงานหลัก โฟกัสสายงานหลักให้เก่งสุดๆไปเลย ถือคติว่า ถ้าเราเป็นเบอร์ 1 อะไรก็มาแทนไม่ได้ แบบนี้ดีครับ
ขอบคุณทุกคนมากครับ