คิดเห็นยังไงกับนโยบายการสั้งห้าม"ช็อตหุ้น"ทีเกิดในจีน เกาหลี สิงค์โปร์เเละรวมไปถึงสหรัฐอเมริกา เเต่พี่ไทยเรากลับไม่ทำไรเลย
ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ มูลค่าการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ลดฮวบ เหลือเพียงวันละ 36,000 ล้านถึง 38,000 ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงสะท้อนถึงบรรยากาศการลงทุนที่ซบเซาสุดขีดเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณอันตราย การพังทลายของตลาดหุ้นด้วย
มูลค่าการซื้อขายที่หดตัว เหลือต่ำกว่าวันละ 4 หมื่นล้านบาท จากที่เคยมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยวันละกว่า 9.4 หมื่นล้านบาท ในปี 2564 เนื่องจากมูลค่าซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยลดลงมาก
ย้อนหลังไปประมาณ 30 ปี นักลงทุนรายย่อยเคยมีสัดส่วนการซื้อขายประมาณ 70% ของมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งตลาด นักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนการซื้อขายประมาณ 20% เศษ และกองทุนในประเทศมีสัดส่วนการซื้อขายเกือบ 10% โดยยังไม่รายการซื้อขายของพอร์ตโบรกเกอร์
แต่ปัจจุบัน สัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยเหลือเพียงประมาณ 31% ของมูลค่าซื้อขายรวม ส่วนต่างชาติมีสัดส่วนการซื้อขายเพิ่มเป็นประมาณ 52% ของมูลค่าซื้อขายรวม
มูลค่าการซื้อขายหุ้นของนักลงทุนรายย่อยที่แฟบลง เป็นผลพวงจากช่วง 6 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนรายย่อยขาดทุนต่อเนื่อง โดยมียอดซื้อหุ้นสะสมประมาณ 5 แสนล้านบาท และเป็นหุ้นที่ซื้อไว้ในราคาต้นทุนสูง
นักลงทุนรายย่อยขาดทุนจนแบกรับไม่ไหว ต้องยอมจำนนกับตลาดหุ้น ชะลอหรือหยุดการซื้อขายไป
เพราะเล่นหุ้นต่อไปก็ไม่สามารถเอาชนะการซื้อขายด้วยระบบ ROBOT หรือปัญญาประดิษฐ์ได้
ส่วนมูลค่าการซื้อขายของต่างชาติที่เพิ่มขึ้น เป็นการซื้อขายผ่าน ROBOT ซึ่งมีความเร็วและความถี่สูงมาก และสามารถทำกำไรได้ตลอดเวลา เพียงหุ้นขึ้นหรือลง 1 ช่วงราคา
ต่างชาตินำอาวุธใหม่ หรือนำ ROBOT เข้ามาในตลาดหุ้นไทยประมาณ 5 ปี และสูบกินนักลงทุนรายย่อยทุกวัน โดยนักลงทุนรายย่อยไม่อาจต่อกรกับ ROBOT ได้
นอกเหนือจากความรวดเร็วในการส่งคำสั่งซื้อขาย การประมวลผลแนวโน้มราคาหุ้น และต้นทุนที่ต่ำกว่าแล้ว เชื่อกันว่า ROBOT ยังปฏิบัติการ NEKED SHORT หรือการขายหุ้น โดยไม่มีใบหุ้นอยู่ในมือด้วย รวมทั้งการ SHORT SELL ทั้งที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง
ตลาดหลักทรัพย์ไม่สามารถตรวจสอบรายการ NEKED SHORT หรือ SHORT SELLได้มากนัก เพราะคำสั่งมาจากลูกค้าในต่างประเทศ และโบรกเกอร์ต่างประเทศมักจะยกเหตุผล การรักษาความลับลูกค้ามาเป็นข้ออ้าง เพื่อปิดข้อมูลรายการซื้อขาย
การทำ NEKED SHORT ทำให้ ROBOT สามารถเทขายหุ้นได้อย่างไรขีดจำกัด จนแม้แต่เจ้าของหุ้นยังยอมแพ้ และเมื่อราคาหุ้นลง จนแทบไม่เหลือนักลงทุนรายใดช้อนซื้อแล้ว
ROBOT จะเข้ามาช้อนหุ้นคืนในราคาต่ำๆ และทำรายการหักกลบการชำระราคาค่าซื้อขายหุ้นภายในวันเดียว หรือ NET SETTLEMENT โดยเก็บเกี่ยวกำไรจากส่วนต่าง NEKED SHORT ไป
ตลาดหุ้นอินโดนีเชีย ไม่เปิดทางให้ ROBOT เข้าไปทำร้ายนักลงทุนในประเทศ ส่วนตลาดหุ้นสิงคโปร์ทำเป็นเก่ง เปิดกว้างให้ใช้ ROBOT ซื้อขายอย่างเสรี และเพียงเวลาไม่กี่ปี นักลงทุนรายย่อยล้มตาย จนแทบไม่เหลือนักลงทุนรายย่อยในตลาดหุ้นสิงคโปร์
ผลที่ตามาคือ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ตกอยู่ในสภาพตายซาก มูลค่าซื้อขายหุ้นต่ำมาก
ถ้าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยังไม่ยอมเปิดหูเปิดตาให้กว้าง ปล่อยให้ ROBOT ไล่สังหารนักลงทุนในประเทศต่อไป อีกเพียงไม่กี่ปี ตลาดหุ้นไทยจะกลายเป็นป่าช้า เพราะนักลงทุนรายย่อยตายหมด
สัญญาณการพังทลายของตลาดหุ้นถูกส่งมาเป็นระยะ ไม่ว่าการที่บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน ขายธุรกิจให้ธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือการที่บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ประกาศยุติธุรกิจหลักทรัพย์ลูกค้ารายย่อย และกำลังมีอีกหลายบริษัทหลักทรัพย์ถอดใจในการทำมาหากินกับนักลงทุนรายย่อยตามมา
เพราะทุกวันนี้ รายย่อยแทบจะหยุดเทรดหรือหยุดการซื้อขาย เพราะเล่นไปก็มีแต่ถูก ROBOT กิน ขืนสู้ต่อมีแต่หมดตัว
นักลงทุนรายเก่าๆ กำลังถอยออกจากตลาดหุ้น เพราะขาดทุนจนท้อ ส่วนนักลงทุนหน้าใหม่เพิ่มขึ้นน้อยมาก
ข้อมูลสิ้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา นักลงทุนที่เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นมีจำนวนรวมทั้งสิ้นประมาณ 2.48 ล้านราย โดย 9 เดือนแรกปีนี้ นักลงทุนหน้าใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 1.3 แสนราย ซึ่งถือเป็นจำนวนที่น้อยมาก เมื่อกับช่วงปลายปีที่ผ่านมา
จำนวนเหยื่อรายใหม่ในตลาดหุ้นที่เพิ่มขึ้นน้อยมาก ไม่ใช่เพราะภาวะตลาดหุ้นตกต่ำเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะ ไม่มีเสียงคุยโวโอ้อวดความร่ำรวยของนักลงทุนในตลาดหุ้นทีจะกระตุ้นให้นักลงทุนหน้าใหม่อยากเข้ามาเสี่ยงโชคในตลาดหุ้นอีกด้วย
มีแต่เสียงโอดครวญถึงความย่อยยับ และแม้แต่เซียนหุ้น ยังต้องหนีลงไปอยู่ในรู
ถ้านักลงทุนหน้าเก่า ล้มหายตายจากไปเรื่อยๆ ขณะที่นักลงทุนหน้าใหม่เพิ่มขึ้นน้อย ตลาดหุ้นจะเหี่ยวเฉาลง จนสุดท้ายตกอยู่ในสภาพตายซาก
วันที่ตลาดหุ้นพังทลาย กำลังคืบคลานเข้ามา พร้อมๆกับนักลงทุนรายย่อยที่ใกล้สูญพันธุ์
ผู้บริหาร ก.ล.ต.และผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ คงไม่ต้องกังวลกับการพังทลายของตลาดหุ้น หรือหายนะของนักลงทุนรายย่อยเท่าไหร่นัก
เพราะถึงวันนั้น ผู้บริหาร ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ อาจใช้ชีวิตเสพสุขอยู่ที่ไหนก็ได้
และไม่ต้องใยดีกับนักลงทุนรายย่อยที่ถูก ROBOT สังหารตายเกลื่อนตลาดหุ้น
คิดเห็นยังไงกับนโยบายการสั้งห้าม"ช็อตหุ้น"ทีเกิดในจีน เกาหลี สิงค์โปร์เเละรวมไปถึงสหรัฐอเมริกา เเต่พี่ไทยเรากลับไม่ทำไร
ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ มูลค่าการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ลดฮวบ เหลือเพียงวันละ 36,000 ล้านถึง 38,000 ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงสะท้อนถึงบรรยากาศการลงทุนที่ซบเซาสุดขีดเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณอันตราย การพังทลายของตลาดหุ้นด้วย
มูลค่าการซื้อขายที่หดตัว เหลือต่ำกว่าวันละ 4 หมื่นล้านบาท จากที่เคยมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยวันละกว่า 9.4 หมื่นล้านบาท ในปี 2564 เนื่องจากมูลค่าซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยลดลงมาก
ย้อนหลังไปประมาณ 30 ปี นักลงทุนรายย่อยเคยมีสัดส่วนการซื้อขายประมาณ 70% ของมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งตลาด นักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนการซื้อขายประมาณ 20% เศษ และกองทุนในประเทศมีสัดส่วนการซื้อขายเกือบ 10% โดยยังไม่รายการซื้อขายของพอร์ตโบรกเกอร์
แต่ปัจจุบัน สัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยเหลือเพียงประมาณ 31% ของมูลค่าซื้อขายรวม ส่วนต่างชาติมีสัดส่วนการซื้อขายเพิ่มเป็นประมาณ 52% ของมูลค่าซื้อขายรวม
มูลค่าการซื้อขายหุ้นของนักลงทุนรายย่อยที่แฟบลง เป็นผลพวงจากช่วง 6 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนรายย่อยขาดทุนต่อเนื่อง โดยมียอดซื้อหุ้นสะสมประมาณ 5 แสนล้านบาท และเป็นหุ้นที่ซื้อไว้ในราคาต้นทุนสูง
นักลงทุนรายย่อยขาดทุนจนแบกรับไม่ไหว ต้องยอมจำนนกับตลาดหุ้น ชะลอหรือหยุดการซื้อขายไป
เพราะเล่นหุ้นต่อไปก็ไม่สามารถเอาชนะการซื้อขายด้วยระบบ ROBOT หรือปัญญาประดิษฐ์ได้
ส่วนมูลค่าการซื้อขายของต่างชาติที่เพิ่มขึ้น เป็นการซื้อขายผ่าน ROBOT ซึ่งมีความเร็วและความถี่สูงมาก และสามารถทำกำไรได้ตลอดเวลา เพียงหุ้นขึ้นหรือลง 1 ช่วงราคา
ต่างชาตินำอาวุธใหม่ หรือนำ ROBOT เข้ามาในตลาดหุ้นไทยประมาณ 5 ปี และสูบกินนักลงทุนรายย่อยทุกวัน โดยนักลงทุนรายย่อยไม่อาจต่อกรกับ ROBOT ได้
นอกเหนือจากความรวดเร็วในการส่งคำสั่งซื้อขาย การประมวลผลแนวโน้มราคาหุ้น และต้นทุนที่ต่ำกว่าแล้ว เชื่อกันว่า ROBOT ยังปฏิบัติการ NEKED SHORT หรือการขายหุ้น โดยไม่มีใบหุ้นอยู่ในมือด้วย รวมทั้งการ SHORT SELL ทั้งที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง
ตลาดหลักทรัพย์ไม่สามารถตรวจสอบรายการ NEKED SHORT หรือ SHORT SELLได้มากนัก เพราะคำสั่งมาจากลูกค้าในต่างประเทศ และโบรกเกอร์ต่างประเทศมักจะยกเหตุผล การรักษาความลับลูกค้ามาเป็นข้ออ้าง เพื่อปิดข้อมูลรายการซื้อขาย
การทำ NEKED SHORT ทำให้ ROBOT สามารถเทขายหุ้นได้อย่างไรขีดจำกัด จนแม้แต่เจ้าของหุ้นยังยอมแพ้ และเมื่อราคาหุ้นลง จนแทบไม่เหลือนักลงทุนรายใดช้อนซื้อแล้ว
ROBOT จะเข้ามาช้อนหุ้นคืนในราคาต่ำๆ และทำรายการหักกลบการชำระราคาค่าซื้อขายหุ้นภายในวันเดียว หรือ NET SETTLEMENT โดยเก็บเกี่ยวกำไรจากส่วนต่าง NEKED SHORT ไป
ตลาดหุ้นอินโดนีเชีย ไม่เปิดทางให้ ROBOT เข้าไปทำร้ายนักลงทุนในประเทศ ส่วนตลาดหุ้นสิงคโปร์ทำเป็นเก่ง เปิดกว้างให้ใช้ ROBOT ซื้อขายอย่างเสรี และเพียงเวลาไม่กี่ปี นักลงทุนรายย่อยล้มตาย จนแทบไม่เหลือนักลงทุนรายย่อยในตลาดหุ้นสิงคโปร์
ผลที่ตามาคือ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ตกอยู่ในสภาพตายซาก มูลค่าซื้อขายหุ้นต่ำมาก
ถ้าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยังไม่ยอมเปิดหูเปิดตาให้กว้าง ปล่อยให้ ROBOT ไล่สังหารนักลงทุนในประเทศต่อไป อีกเพียงไม่กี่ปี ตลาดหุ้นไทยจะกลายเป็นป่าช้า เพราะนักลงทุนรายย่อยตายหมด
สัญญาณการพังทลายของตลาดหุ้นถูกส่งมาเป็นระยะ ไม่ว่าการที่บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน ขายธุรกิจให้ธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือการที่บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ประกาศยุติธุรกิจหลักทรัพย์ลูกค้ารายย่อย และกำลังมีอีกหลายบริษัทหลักทรัพย์ถอดใจในการทำมาหากินกับนักลงทุนรายย่อยตามมา
เพราะทุกวันนี้ รายย่อยแทบจะหยุดเทรดหรือหยุดการซื้อขาย เพราะเล่นไปก็มีแต่ถูก ROBOT กิน ขืนสู้ต่อมีแต่หมดตัว
นักลงทุนรายเก่าๆ กำลังถอยออกจากตลาดหุ้น เพราะขาดทุนจนท้อ ส่วนนักลงทุนหน้าใหม่เพิ่มขึ้นน้อยมาก
ข้อมูลสิ้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา นักลงทุนที่เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นมีจำนวนรวมทั้งสิ้นประมาณ 2.48 ล้านราย โดย 9 เดือนแรกปีนี้ นักลงทุนหน้าใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 1.3 แสนราย ซึ่งถือเป็นจำนวนที่น้อยมาก เมื่อกับช่วงปลายปีที่ผ่านมา
จำนวนเหยื่อรายใหม่ในตลาดหุ้นที่เพิ่มขึ้นน้อยมาก ไม่ใช่เพราะภาวะตลาดหุ้นตกต่ำเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะ ไม่มีเสียงคุยโวโอ้อวดความร่ำรวยของนักลงทุนในตลาดหุ้นทีจะกระตุ้นให้นักลงทุนหน้าใหม่อยากเข้ามาเสี่ยงโชคในตลาดหุ้นอีกด้วย
มีแต่เสียงโอดครวญถึงความย่อยยับ และแม้แต่เซียนหุ้น ยังต้องหนีลงไปอยู่ในรู
ถ้านักลงทุนหน้าเก่า ล้มหายตายจากไปเรื่อยๆ ขณะที่นักลงทุนหน้าใหม่เพิ่มขึ้นน้อย ตลาดหุ้นจะเหี่ยวเฉาลง จนสุดท้ายตกอยู่ในสภาพตายซาก
วันที่ตลาดหุ้นพังทลาย กำลังคืบคลานเข้ามา พร้อมๆกับนักลงทุนรายย่อยที่ใกล้สูญพันธุ์
ผู้บริหาร ก.ล.ต.และผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ คงไม่ต้องกังวลกับการพังทลายของตลาดหุ้น หรือหายนะของนักลงทุนรายย่อยเท่าไหร่นัก
เพราะถึงวันนั้น ผู้บริหาร ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ อาจใช้ชีวิตเสพสุขอยู่ที่ไหนก็ได้
และไม่ต้องใยดีกับนักลงทุนรายย่อยที่ถูก ROBOT สังหารตายเกลื่อนตลาดหุ้น