+ เพื่อน รอ เรา ด้วย +

ในวัยเด็ก..ผมก็เป็นเด็กบ้านนอกจนๆ คนหนึ่งที่ไม่ได้มี สิ่งของเครื่องใช้อะไร เหมือนคนอื่นเขา "เสื้อนักเรียนมรดก" กางเกงตัวใหญ่ๆ ตูดลายเป็นแผนที่ (ทั้งปะทั้งเปื้อน)  และอื่นๆอีกมากมาย ที่แสดงถึงความ"ต่าง" ไปจากเด็กรุ่นเดียวกัน ในกลุ่มชั้นเรียน.ผมจะขอข้ามเรื่องปลีกย่อยพวกนี้ไปก่อน

    วันนี้ผมจะมาขอเล่าเรื่อง.. "เพื่อน รอ เรา ด้วย"

  "จักรยาน"เป็น พาหนะ คู่ใจในวัยเด็ก เชื่อว่าหลายคน มีเรื่องราวที่เกี่ยวจักรยานอยุ่กันทุกคน จักรยานในสมัยผมนั้น มีราคาค่อนข้างสูง ไม่เหมือนสมัยนี้ ใช่ว่าเด็กทุกคน จะได้มีโอกาสมีไว้ครอบครอง เด็กหนึ่งในนั้น ก็คือ "ผม" ที่ไม่มี จักรยานเหมือนคนอื่นเขา

"เพื่อน" ทุกคนมีเพื่อน ผมก็มีเพื่อน เพื่อนรวมชั้นเรียน ในวัยเด็ก ป.4  ในกลุ่มผมมีกัน 5คน  แล้วบังเอิญว่า ทุกคน "มีจักรยาน"...

 "ผม"  เป็นคนเดียวที่ไม่มีจักรยาน.. ในชีวิตประจำวัน ปกติ ไม่เคยรู้สึกถึงความแตกต่าง ไม่รู้ถึงความน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่มีจักรยานก็คือไม่มี.. ไม่ได้รู้สึกอะไร..
                                                               
   แต่มีอยู่วันหนึ่ง ที่ทำให้ผม รู้สึกถึง"ความต่าง"นั้น

  วันนี้ เป็นวันเสาร์ กลุ่มพวกเรามารวมตัวกัน ที่สนามหญ้าในโรงเรียน. "เฮ้ย..พวกเรา.. เราไปเล่นอะไรกันดีวะ" เพื่อนผมคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ไปเล่นน้ำ ที่ "ฝายน้ำล้น" (เขื่อนกันน้ำเล็กๆ) กันดีกว่า   เออดี ป่ะๆ ไปกัน แข่งกันใครจะปั่นถึงก่อนกัน...

  ฝายน้ำล้น ที่ พวกเราพูดถึง คือเขื่อนกันน้ำ ที่อยู่ไปอีกหมุ่บ้านหนึ่ง ห่างไปประมาณ 10 กิโล   "เออ แล้วเราหล่ะ" จะไปอย่างไง" ผมถามเพื่อนๆ   ก็ไปกับไอ ปิ๊กไง รถเรามันไม่มีเบาะหลัง..(บีเอ็มเอ็ก)

         
       
         "โหย ไม่เอาหรอก"แค่ปั่นคนเดียวก็เหนื่อยแล้ว ไกลๆก็ไกล... อย่างงี้ ข้าก็แพ้ดิ.... เพื่อนผมปฎิเสธ
เพื่อนผมต่างคนก็ไม่อยากจะเอาผมไปด้วย.. เพราะมันไกล และมีการแข่งขันกันด้วย... จึงมองผมเป็น "ส่วนเกิน"ขึ้นมา ผมเริ่ม หน้าเสียแล้ว ทุกคนก็สรุปกันว่า   ... "ผมไม่ต้องไป"....

        เด็กๆ เวลาตัดสินใจอะไร เขาไม่ได้คิดมากเหมือนผู้ใหญ่ ถ้ากลุ่มว่าไง ก็ว่ากันไปตามนั้น อาจจะมีบ้างบางคนที่รู้สึกผิด หรือสงสาร แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมามากมายให้เห็น "ความสนุก"มาก่อน ผมเข้าใจฉะนั้น พอสรุปกันได้ ทุกคนก็เริ่มต้นการแข่งขันนั้นทันที

"เอ้า เอ็งเป็นคนนับถอยหลังปล่อยนะ"  เพื่อนคนหนึ่งบอกผม.. อย่างไม่ได้คิดอะไร..  ผมก็นับแบบไม่คิดอะไรเหมือนกัน
                   3.................2.................1...................... ไป....

     เพื่อนผมทั้ง4 ปั่นออกตัวกันไป... อย่างสนุกสนาน เสียงเฮฮา วิ่งห่างจากตัวผมไปเรื่อยๆ..บนทางลูกลัง ในสมัยนั้น..ฝุ่นตลบกันทีเดียว... ผมเห็นเพื่อน โหย่งก้นปั่นกันหน้าตั้งฝุ่นตลบ ผมก็ขำ ยืนยิ้ม อยู่คนเดียว .. จนเพื่อนๆเริ่ม ลับสายตา........
                                                       
                                                                       .............ผมยืนอยู่ที่เดิมคนเดียว...............

         รอยยิ้มผมเริ่มน้อยลง ความสนุกที่ได้เห็นเพื่อนๆผม ทำท่าตลกๆนั้นก็หมดไป ในห้วงความคิดของเด็ก ป.4นั้น มันเกิดความรู้สึก..เหมือน คนถูกทิ้งขึ้นมา..    "เราน่าจะมีจักรยานบ้างนะ"  ผมคิดในใจ..

       ..ความรู้สึกผมตอนนั้น.. ไม่ได้เสียใจจนร้องไห้ ไม่ได้เหงาจนขาดใจ .แต่มันออกแนว สับสนเล็กน้อยว่าทำไมเราถึงอยู่ตรงนี้คนเดียว..

        .."เพราะเราไม่มีจักรยานซินะ"..ผมคิดในใจ.....แล้วผมก็ทำในสิ่งที่ทำให้ผม จำไปทั้งชีวิต..ก็คือ..
                                                                                 
                                                                                                          ...."  วิ่ง".....

         ผม "วิ่ง"ตามเพื่อนไป..   ผมไม่คิดอะไรเลย.. แค่ว่า อยากไปเล่นกับเพื่อนๆ อยากรู้ว่า ใครชนะ ใครถึงก่อน อยากไปเล่นน้ำกับเพื่อน...     ระยะทาง 10 กิโล ผมไม่รู้หรอก..  ว่ามันไกล.. แค่ผมรู้ว่าเพื่อนผมไปทางนั้น... แล้วทางนั้นก็มีเพื่อนผมอยุ่แน่ๆ....

....  บนทางลูกลัง บ้านนอก ทางฝุ่น.. ผมวิ่งไปตามทางที่มุ่งไป ฝายน้ำล้น... ผมเห็นกลุ่มเพื่อนปั่น จักรยานอยู่ไกล ลิบตาเลย... ผมคิดว่าอย่างไงผมก็ทัน... ช้าเร็วผมก็ถึง...   เพื่อนๆไม่เห็นผมหรอก..เพราะมันเป็นฝุ่นด้วย ไกลตาเกินกว่าที่จะรู้ว่าเป็นผม ที่วิ่งตามไป...

                                               
          "และผมก็เริ่มเหนื่อย" ผมเริ่มมองไม่เห็นเพื่อนแล้ว...  ผมเริ่มเดิน... เดิน...  เดิน... ไปเรื่อยๆ...ผมไม่หยุดเดิน.. เหนื่อยก็เดิน  หายเหนื่อยก็วิ่ง ทำอย่างงี้..ไปตลอด..แล้วบางสิ่งก็ทำให้ผมต้องหยุด..

.... "หมา".....  มีหมาสองตัวนอนอยู่ข้างถนน..  ผมหยุดมองหาไม้ข้างทาง ผมหักกิ่งไม้อันพอมือ..ติดตัวไป พร้อมเดินต่อช้าๆ เด็กป.4 กับหมา 2 ตัว  ผมเคยโดนหมากัด แต่ไม่ใช่เด็กที่กลัวหมา ชอบเลี้ยงหมาด้วย. ผมคิดในใจ. อาจจะเจอหมาดี..

      พอผมเดินไกล้มัน ในระยะที่ทำให้มันตื่น มันรับรู้ได้ว่า.. มีคนกำลังเดินผ่าน... มันตื่นขึ้นแต่ยังไม่ลุก มันเริ่มคลางในลำคอแต่ยังไม่เห่า.....     พอผมเดินถึงช่วงขนานกับตัวมัน.. มันนิ่ง... พอผมเดินเลยมันไป ประมาณ สองสามก้าวเท่านั้นแหล่ะ......  

           

     มันสองตัว ช่วยกันเห่ากระโชกผมใหญ่เลย ... ผมหยุดนิ่งหันหน้าเข้าหามัน.. พร้อมร้อง... "ไปๆ โอ้ยๆหมาจะกัด"..ร้องแบบเด็กจะร้องไห้.. เสียงดังมาก.... สักพัก มีเจ้าของบ้าน มาร้องไล่..

                                                     
 "เอ้าเฮ้ย" เอ็งมาทำอะไร ... เจ้าของบ้านร้องถามผมที่ยืนเอาไม้กวัดแกว่งอยู่..  "ผมจะไปหาเพื่อน.." ตอนนี้หมาเริ่ม ไม่เห่าแล้ว เจ้าของเรียก เข้าบ้านล่อด้วย ชามข้าวหมา..    "เพื่อนเอ็งอยู่ไหน" เจ้าของบ้านถาม...   "เพื่อนผมอยุ่ฝายน้ำล้น"...       "โหไกลมากนะนั้น"เอ็งจะเดินไปหรอ.. เขาถาม....

"ครับ..มันปั่นจักรยานกันไป เดี๋ยวผมวิ่งตามไปก็ทัน" เจ้าของบ้าน หัวเราะ ทำหน้า งงๆนิดๆ..แล้วก็บอก.."เอองั้นรีบไป เดี๋ยวน้าจะดูหมาให้" แล้วระวังหมาด้วยหล่ะ ข้างหน้าอ่ะ""

ผมรี่บวิ่งต่อทันที... เหลียวหลังบ้างกลัวมันวิ่งมา ผมเดินกึ่งวิ่งมาได้สักระยะ อากาศวันนี้ร้อนก็ร้อน.. ตอนผมออกมายังไม่เที่ยง ตอนนี้เที่ยงแล้วมั้ง.. ผมน่าจะมาได้สัก 5กิโลได้แล้ว...   ผมเหนื่อยมาก.. เริ่มจะรู้สึกแล้วว่า "ไม่น่ามาเลย"..   เกือบจะร้องไห้หลายทีแล้ว... ผมหยุดพักที่ ศาลาประจำหมู่บ้าน..แห่งหนึ่ง..
                     
   

ผมก้มหน้าดูรองเท้าแตะผมที่มันไกล้จะขาด..แล้ว.. เดิมมันก็ไมค่อยจะดี เป็นรองเท้า "ช้างดาว" ที่มันผ่านการซ่อมมาแล้วด้วย การรัด หนังกระติด ที่ ด้านปมพื้นรองเท้า.. ตอนนี้มันเริ่มขาด... ผมมองหา หนังยางรัด..แถวๆ กองขยะที่มันรัดติดกับถุงน้ำอัดลม... เอามาซ่อมมัน...
ระหว่างทาง มีร้านค้าเพิงหมาแหงน.. แบบบ้านนอก..ห้อยขนมขายกัน.. ผมหิวน้ำมาก.. ผมแวะไปขอน้ำ ร้านค้านั้นกิน
                                                   
   สมัยผมเด็กๆน้น การขอน้ำกินตามร้านค้าเป็นเรื่องปกติ.. บางร้านจะมีกระติกน้ำไว้บริการเลย.. ไม่เหมือนสมัยนี้ที่น้ำต้องซื้อกัน...และไม่มีการแบ่งปันกันแบบนี้.

   ป้าแม่ค้าถามผมว่า..   เฮ้ย "เอ็งลูกใครวะ" ....มาจากไหน.. ผมก็ตอบไป..ว่าผมมาจากอีกหมู่บ้านหนึ่ง..และจะไปที่ฝายน้ำล้น..
ป้าแม่ค้าอุทานว่า... เฮ้ย..เอ็ง เดินมาหรอ.. แล้วเพื่อนเอ็ง ที่ว่าปั่นจักรยานกันมาใช่ไหม 4 คน.. มันไปกันตั้งนานแล้วนะ..เอ็งจะตามมันทันหรอผมตอบว่า "ทันครับ"  ป้าแม่ค้าหัวเราะ..  เออหว่ะ..มีงี้ด้วย เพื่อนนี่ก็จริงๆเลยไม่รอกันเลย.... เฮ้อ

   "ผมไปแล้วป้า"  ... เอ้ย.. เดี๋ยวก่อน อ่ะ ป้าให้...   ป้าแม่ค้าหยิบข้าวเกรียบกุ้งกับน้ำเปล่าใส่น้ำแข็งให้ผม.. ผมยกมือไหว้..พร้อมรับของ..
"เอ่อ" เดินดีๆระวังรถสิบล้อขนอ้อยด้วยหล่ะ..    (แถวนี้ปลูกอ้อยกันมาก)

                                                             

           ผมออกจากร้านค้ามุ่งหน้าต่อ..พอพ้นสายตาป้าร้านค้า ผมฉีกขนมกินทันที.. ผมหิว..  เดินกินไปเรื่อยๆ..พอหมดผมก็กินน้ำ..ตอนนั้นมันสดชื่นมาก อากาศร้อนๆ พอได้น้ำเย็นขึ้นไป.. มันสุดยอด...   แต่มันทำให้ผมรุ้ว่า.. ถ้ากินน้ำเยอะๆ อย่าวิ่ง.. เพราะมันจะจุก....

           ผมเดินไปจุกไป..  เริ่มไม่ไหวและ.. ไม่วิ่งและ.. เดินไปเรื่อยๆ.. ผมเจอ ต้น"พุทรา" ที่มันขึ้นอยู่ข้างทาง.. สมัยผมเด็กๆนั้นต้นพุทราจะมีขึ้นอยู่มากมายทั่วไป.. หากินได้ตามข้างทาง.. แต่หนอนมันชอบกัดกิน... พอกัดลงไปดังเปาะ..ต้องเอาออกมาดูก่อนว่ามี อะไรอยุ่ข้างใน
                                           
 เรียกได้ว่า.. เก็บมาเท่าไรกินได้ครึ่งเดียว ผมแวะเก็บพุทรา อยู่หลายต้น ถุงไม่มีใส่ ใช้ชายเสื้อม้วนขึ้นมาห่อไว้..เป็นเสบียง...เสบียง พุทราพร้อมผมก็เดินต่อ... ตอนนี้ผมเริ่มวิ่งได้แล้วไม่ค่อยจุกแล้ว ผมวิ่งโดยเอามือหอบพุทราที่ม้วนอยุ่ในเสื้อไปด้วย.. มันไม่ถนัดเลย..
  
ผมจึงเอาหนังยางรัดที่ติดตัวมา รัดมันเป็นปมก้อนเบอเริ่ม..อยู่ตรงหน้าท้อง.. เหมือนคนสะดือยักษ์เลย มันก็ดีขึ้นนะแต่มันก็ตีท้องผมเวลาวิ่ง .. ผมจึงใช้มือจับไว้ข้างหนึ่ง... ก็ยังดี ดีกว่าใช้มือจับสองข้าง...
 
                   "ผมมาได้เกินครึ่งทางมามากแล้ว.. บนทางลูกลัง ทางข้างหน้าต่อไปนี้คือทาง ราดยาง..แต่สิ่งที่ไม่ควรเกิดก็ได้มาเกิดตอนนี้คือ...

       

                                                                                 "รองเท้าผมขาด"...
เอาแล้วไง ขาดชนิดว่า หลุดลุ่ย  ขาดข้าง ดีอยุ่ข้าง มันทำให้ผมเดินไม่ถนัด ผมตัดสินใจถอดมันออก เหน็บกับเอวแล้วก็วิ่งต่อไป ผมเคยเดินเท้าเปล่าบ่อยๆ.. เรื่องหนังเท้ากับ พื้นดินเป็นเรื่องจิ๊บๆ ผมไม่รู้สึกว่าทางลูกลังจะทำอะไรผมได้...... แต่........

       "ทางลาดยางมะตอย"..     นี่สิ....   ตอนบ่ายนิดๆ แดดร้อนๆ.. ทางราดยางเนี้ย...มัน เหมือน "เทปัน"กระทะเหล็ก กันเลยทีเดียว.ทางที่ผมจะต้องไปให้ถึงที่หมายต้องใช้ทางลาดยางนี้ไปต่อ... ผมเดินหน้าต่อไปโดยคิดว่าจะถอยหลังไม่ได้แล้ว.. มันไกล้จะถึงแล้วที่หมาย...

  ผมเดินตามทางราดยาง มาได้สักพักแล้ว..ด้วยเท้าเปล่า.. มันร้อนมาก.. ผมต้องเดินกึ่งวิ่งตลอด พยายามยกเท้าให้ไว..จะแช่เท้าบนพื้นนานไม่ได้.. ถ้าตรงส่วนไหนมันมีทางหญ้า ทางดินให้ผมลงเดินได้ผมก็เดิน บางทีมันก็เดินไม่ได้เพราะต้นไม้กิ่งไม้ข้างทางมันกินถนนเข้ามา.

ถ้าผมเจอแอ่งน้ำขัง ผมจะเอาเท้าลงไปแช่แล้วก็เดินต่อมันก็ช่วยได้สักระยะ...โชคดีที่มีแอ่งน้ำอยุ่เรื่อยๆตามทาง ทำให้ผมได้"หล่อเย็น"เท้าผมบ้าง....

        ...มีต่อ...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่