ถือว่ามาแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวที่คิดน้อยของตัวเอง สาเหตุเพราะความร้อนรน จนเริ่มจัดการตัวเองได้ก็เพราะคำสอนของพ่อแม่ อยากให้ทุกคนเอาไปใช้ โดยเฉพาะกับคนที่ใจร้อนแบบเรา
เราเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยเชื่ออะไรง่ายๆตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่คนหูเบาที่โดนโน้มน้าวง่าย บวกกับพ่อแม่เราจะชอบติงชอบสอน คอยสะกิดห่างๆให้เรามีสติ ถึงแม้ว่าเราจะใจร้อนแค่ไหน แต่ก็ยังใช้ชีวิตแบบไม่โดนหลอกได้ก็เพราะการมีพ่อกับแม่ที่คอยเทศนา … มันทำให้เราคิดมาตลอดว่าเราไม่ใช่คนที่จะโดนหลอกหรือเชื่ออะไรที่ขายฝันง่ายๆ จนเราเรียนจบมีงานทำ แล้วออกมาอยู่คอนโด ใช้ชีวิตของตัวเอง นั่นคือเราต้องคิดและตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองมากขึ้น
แต่เชื่อเถอะ วันหนึ่งที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่มันร้อนๆ (อธิบายไม่ถูกแฮะ) เราขอเรียกมันว่า “สภาวะร้อนรน” แล้วกันค่ะ ไม่ว่าจะกับเรื่องอะไรก็ตาม อาจจะเรื่องเงิน เรื่องความใจร้อน หรือเรื่องที่เรากำลังกระวนกระวายทางความคิด … นั่นแหละค่ะ หายนะอาจจะตามมาถ้าบทเรียนหรือประสบการณ์ยังไม่เยอะมากพอ นี่ขนาดเราเป็นผู้ใหญ่แต่เราก็ยังพลาดเอง แบบที่เรียกว่าโง่เอง เราโดนมิจฉาชีพหลอกนั่นเองค่ะ จนได้
สภาวะร้อนรนที่ว่ามันเหมือนช่วงตาบอดเลย มืดมิดไปหมด สติจะเริ่มโดนบัง แล้วมีความอยากรู้อยากลองเข้ามาแทนที่ … กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่โดนหลอกไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งๆที่ก่อนหน้าที่จะโดนหลอก เราสามารถระวังตัวได้มากกว่านี้ มันมีหลายวิธีเยอะแยะที่จะเซฟและดึงสติตัวเองได้ (แต่ทำไมเราถึงไม่คิดเยอะๆล่ะ นี่ขนาดตัวเองไม่ใช่คนหูเบาอยู่แล้วด้วย) ก็อย่างที่ว่า เพราะสติหายไปแล้ว ขาดสติไปทีนี่เหมือนหลุดออกไปจากโลกความจริง เตะตัวเองเข้าไปอยู่ในโลกความฝัน … เพราะฉะนั้น ต้องเอาตัวเองออกมาจากความร้อนรนให้ได้ก่อนที่จะตัดสินใจนะ คิดซะว่าอย่างน้อยมันก็ดีกับตัวเอง
— 3 ข้อข้างล่างนี้ เราท่องไว้ขึ้นใจเลย —
1. ใจเย็นๆ
พยายามกดความร้อนรนของตัวเองให้มากที่สุด อย่าให้อารมณ์อยู่เหนือความคิด จำไว้ว่า ความร้อนก็เหมือนไฟ ยิ่งร้อนมากแค่ไหนก็เสี่ยงที่จะเผาตัวเองได้ตลอด ยิ่งรีบเร่งก็ยิ่งทำให้เราปิดหูปิดตา
2. คิดวนเยอะๆ
ถ้าคุมตัวเองให้ใจเย็นได้ ระงับกิเลสร้อนๆได้ ความคิดและเหตุผลจะเริ่มเข้ามาเอง ความสงสัยจนอยากค้นหาคำตอบก็จะตามมาอีก เราจะเริ่มตั้งคำถามหลายๆอย่างว่าแบบ จริงเหรอวะ? ขายฝันปะเนี่ย? นั่นคือการเริ่มระวังตัว
3. ดึงสติกลับมา
พอเราเกิดคำถามในหัวเยอะๆจนอยากหาคำตอบ เราจะมีวิธีค้นหาได้ทุกทางอย่างลึกๆเลย เป็นการ research ข้อมูลทุกอย่าง รวบรวมจากในโลกอินเทอร์เน็ต อ่านจากโพสต์ กระทู้ คอมเมนต์ หลายๆอย่างในช่องทางโซเชียล ปรึกษากับคนนั้นคนนี้ แล้วค่อยตัดสินใจอีกที เป็นการตัดสินใจแบบที่ไม่เพ้อฝัน อยู่บนความจริง
ทั้ง 3 ข้อที่บอกไปคือวิธีที่ยังคงใช้ได้ดีเสมอ วิธีที่ทุกคนน่าจะคิดว่าเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนควรมี (แต่สำหรับเรา อารมณ์และความใจร้อนมันควบคุมยากสุดๆ มันต้องแบบท่องออกปากเลย) เป็นวิธีที่พ่อกับแม่ใช้ติงเราบ่อยๆ ใช้ได้กับทุกเรื่อง ทุกสถานการณ์ อยากให้ทุกคนเอามาใช้ ยิ่งกับเด็กๆรุ่นใหม่ยิ่งควรเอามาใช้ เพราะยุคนี้มันอยู่ยาก ถ้าสังเกตจริงๆ คือ เรารู้สึกว่าพวกกลุ่มคนที่เอาเปรียบ คนที่เจตนาร้าย มิจฉาชีพต่างๆ ดูเก่งและฉลาดขึ้นมาก เล่ห์กลเยอะแยะไปหมด วางแผนซับซ้อนได้แบบเป็นระบบเลยค่ะ คนที่จะอยู่รอดได้คือต้องอยู่เป็น “สติมาแล้วปัญญาจะเกิด”
ถ้าเนื้อความยาวไปหรืออ่านแล้วงงๆ เราต้องขอโทษไว้ที่นี้ด้วยจริงๆค่ะ อยากมาแชร์คำสอนของพ่อกับแม่ที่เราพึ่งจะคิดได้ เอาความผิดพลาดของตัวเองมายกตัวอย่างซะเลย 🥲 ยังไงก็แนะนำแบ่งปันข้อคิดดีๆกันได้นะคะ 🙏🏻
(ข้อคิดที่ได้จากการเป็นเหยื่อมิจฉาชีพออนไลน์) ไม่อยากโดนหลอก ต้องอยู่ด้วยการดึงสติ!
เราเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยเชื่ออะไรง่ายๆตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่คนหูเบาที่โดนโน้มน้าวง่าย บวกกับพ่อแม่เราจะชอบติงชอบสอน คอยสะกิดห่างๆให้เรามีสติ ถึงแม้ว่าเราจะใจร้อนแค่ไหน แต่ก็ยังใช้ชีวิตแบบไม่โดนหลอกได้ก็เพราะการมีพ่อกับแม่ที่คอยเทศนา … มันทำให้เราคิดมาตลอดว่าเราไม่ใช่คนที่จะโดนหลอกหรือเชื่ออะไรที่ขายฝันง่ายๆ จนเราเรียนจบมีงานทำ แล้วออกมาอยู่คอนโด ใช้ชีวิตของตัวเอง นั่นคือเราต้องคิดและตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองมากขึ้น
แต่เชื่อเถอะ วันหนึ่งที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่มันร้อนๆ (อธิบายไม่ถูกแฮะ) เราขอเรียกมันว่า “สภาวะร้อนรน” แล้วกันค่ะ ไม่ว่าจะกับเรื่องอะไรก็ตาม อาจจะเรื่องเงิน เรื่องความใจร้อน หรือเรื่องที่เรากำลังกระวนกระวายทางความคิด … นั่นแหละค่ะ หายนะอาจจะตามมาถ้าบทเรียนหรือประสบการณ์ยังไม่เยอะมากพอ นี่ขนาดเราเป็นผู้ใหญ่แต่เราก็ยังพลาดเอง แบบที่เรียกว่าโง่เอง เราโดนมิจฉาชีพหลอกนั่นเองค่ะ จนได้
สภาวะร้อนรนที่ว่ามันเหมือนช่วงตาบอดเลย มืดมิดไปหมด สติจะเริ่มโดนบัง แล้วมีความอยากรู้อยากลองเข้ามาแทนที่ … กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่โดนหลอกไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งๆที่ก่อนหน้าที่จะโดนหลอก เราสามารถระวังตัวได้มากกว่านี้ มันมีหลายวิธีเยอะแยะที่จะเซฟและดึงสติตัวเองได้ (แต่ทำไมเราถึงไม่คิดเยอะๆล่ะ นี่ขนาดตัวเองไม่ใช่คนหูเบาอยู่แล้วด้วย) ก็อย่างที่ว่า เพราะสติหายไปแล้ว ขาดสติไปทีนี่เหมือนหลุดออกไปจากโลกความจริง เตะตัวเองเข้าไปอยู่ในโลกความฝัน … เพราะฉะนั้น ต้องเอาตัวเองออกมาจากความร้อนรนให้ได้ก่อนที่จะตัดสินใจนะ คิดซะว่าอย่างน้อยมันก็ดีกับตัวเอง
— 3 ข้อข้างล่างนี้ เราท่องไว้ขึ้นใจเลย —
1. ใจเย็นๆ
พยายามกดความร้อนรนของตัวเองให้มากที่สุด อย่าให้อารมณ์อยู่เหนือความคิด จำไว้ว่า ความร้อนก็เหมือนไฟ ยิ่งร้อนมากแค่ไหนก็เสี่ยงที่จะเผาตัวเองได้ตลอด ยิ่งรีบเร่งก็ยิ่งทำให้เราปิดหูปิดตา
2. คิดวนเยอะๆ
ถ้าคุมตัวเองให้ใจเย็นได้ ระงับกิเลสร้อนๆได้ ความคิดและเหตุผลจะเริ่มเข้ามาเอง ความสงสัยจนอยากค้นหาคำตอบก็จะตามมาอีก เราจะเริ่มตั้งคำถามหลายๆอย่างว่าแบบ จริงเหรอวะ? ขายฝันปะเนี่ย? นั่นคือการเริ่มระวังตัว
3. ดึงสติกลับมา
พอเราเกิดคำถามในหัวเยอะๆจนอยากหาคำตอบ เราจะมีวิธีค้นหาได้ทุกทางอย่างลึกๆเลย เป็นการ research ข้อมูลทุกอย่าง รวบรวมจากในโลกอินเทอร์เน็ต อ่านจากโพสต์ กระทู้ คอมเมนต์ หลายๆอย่างในช่องทางโซเชียล ปรึกษากับคนนั้นคนนี้ แล้วค่อยตัดสินใจอีกที เป็นการตัดสินใจแบบที่ไม่เพ้อฝัน อยู่บนความจริง
ทั้ง 3 ข้อที่บอกไปคือวิธีที่ยังคงใช้ได้ดีเสมอ วิธีที่ทุกคนน่าจะคิดว่าเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนควรมี (แต่สำหรับเรา อารมณ์และความใจร้อนมันควบคุมยากสุดๆ มันต้องแบบท่องออกปากเลย) เป็นวิธีที่พ่อกับแม่ใช้ติงเราบ่อยๆ ใช้ได้กับทุกเรื่อง ทุกสถานการณ์ อยากให้ทุกคนเอามาใช้ ยิ่งกับเด็กๆรุ่นใหม่ยิ่งควรเอามาใช้ เพราะยุคนี้มันอยู่ยาก ถ้าสังเกตจริงๆ คือ เรารู้สึกว่าพวกกลุ่มคนที่เอาเปรียบ คนที่เจตนาร้าย มิจฉาชีพต่างๆ ดูเก่งและฉลาดขึ้นมาก เล่ห์กลเยอะแยะไปหมด วางแผนซับซ้อนได้แบบเป็นระบบเลยค่ะ คนที่จะอยู่รอดได้คือต้องอยู่เป็น “สติมาแล้วปัญญาจะเกิด”
ถ้าเนื้อความยาวไปหรืออ่านแล้วงงๆ เราต้องขอโทษไว้ที่นี้ด้วยจริงๆค่ะ อยากมาแชร์คำสอนของพ่อกับแม่ที่เราพึ่งจะคิดได้ เอาความผิดพลาดของตัวเองมายกตัวอย่างซะเลย 🥲 ยังไงก็แนะนำแบ่งปันข้อคิดดีๆกันได้นะคะ 🙏🏻