- สนใจตั้งแต่อ่านเรื่องย่อมาแล้วก็พอจะประเมินโทนของหนังออกว่าจะมาประมาณไหน ซึ่งพอหลังจากดูจบแล้วก็เป็นไปตามที่คิดไว้อีกทั้งรู้สึกเกินความคาดหมายขึ้นมาหน่อยนึงในแง่ของความบันเทิงที่ให้มากกว่าที่คาดคิด คือด้วยความที่โทนในหนังมันมีความชัดเจนในการเป็น Gangster ถ่ายทอดวิถีชีวิตของคนชนชั้นล่างที่มีนิสัยไปทางขบถ ห่าม หัวดื้อ บวกหมดไม่สนลูกใคร มันเลยทำให้บรรยากาศในเรื่องมันมีความสมจริงในท่าทีจริงจัง รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกมาทันที ไม่ต้องมานั่งอมพะนำหรือห่วงภาพลักษณ์อะไรให้สังคมยินดีในสิ่งที่ต้องการจะให้เป็น เพราะตัวตนของพวกกูมันก็เป็นอย่างนี้แหล่ะเพียงแค่มันไปขัดหูขัดตากับพวกจนรับไว้ไม่ได้ก็แค่นั้น มันเลยกลายเป็นภาพสะท้อนระหว่างชนชั้นแต่ละฝั่งที่แตกต่างกัน ซึ่งหนังก็นำเสนอให้เราเห็นภาพและอินไปกับแก่นสารในเรื่องที่ประเคน Details มาแต่ละอย่างให้หัวเราะและเข้าใจได้มากขึ้น
- เปิดเรื่องมานี้ซื้อใจผมเลยทันที เป็นภาพปรากฎที่ตัวของ Toubab ชายชาวเซเนกัลแต่เกิดที่เยอรมันเดินออกมาจากคุกแล้วมี Dennis เพื่อนเยอรมันของเขายืนรอเก้ออยู่หน้ารถจากนั้นทั้งคู่เดินเข้ามาสวมกอดด้วยความดีใจแล้วขับรถออกไปกระทั่งมีพวกเพื่อนที่ไม่รู้มาจากไหนกรุเข้ามาดีใจกับ Toubab ด้วยความเนียน ๆ กลางถนน กระทั่งได้เจอกับ Cengo กุ๊ยเจ้าถิ่นขึ้นมาแล้วเกิดมีปากเสียงถึงขั้นทะเลาะกันจนทำให้พวกตำรวจที่ผ่านมาเห็นจึงรีบมาห้ามทันที ในขณะที่ Dennis กำลังถูกตำรวจจับกุมพอ Toubab เห็นจึงรีบจับตัวตำรวจขึ้นแล้วซัดเข้ากับรถยนต์จึงทำให้ตัว Toubab โดนรวบอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาก็เพิ่งเดินออกมาจากคุกหยก ๆ ตรงจุดนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำพาเราไปสู่เรื่องราวอลวนสุดหรรษาผ่านตัว Toubab เหมือนนั่งเล่นเครื่องเล่นในงานวัดที่ปรับ Balance ระหว่างความเป็น Crime เสียดสีสังคมด้วยคำสบถ กับ Comedy ตลกสถานการณ์ได้พอดี ไม่ล้นไม่ต่ำเกินไป ขณะเดียวกันก็ได้สอดใส่ความเป็น Drama ของตัวละครแต่ละคนให้มีมิติขึ้นมาแล้วแทรกประเด็นทางสังคมที่เกิดขึ้น ไม่ว่าทั้ง ปัญหาผู้ลี้ภัยและเพศสภาพของผู้อพยพจากประเทศที่ 3 หรือ การวิพากษ์ถึงระบบโครงสร้างทางการเมืองในประเทศเยอรมันผ่านมุกตลกจากบทสนทนาด้วยท่าทีขึงขังและดุดันให้ขำขันเป็นระยะ ดูไปทำให้ผมนึกถึงกลิ่นอายของ เรื่อง Trainspotting 1-2 (1996,2017) กับ Blindspotting (2018) ลอยมาในหัวด้วยในความที่มีสไตล์ในความแมน ๆ เย้ยยันกฎเกณฑ์คล้าย ๆ กันไม่มากไม่น้อย
- ระหว่างที่ดูผม Enjoy กับความกวนบาทาของ Toubab ตลอดทุก Scene อย่างตั้งใจด้วยความที่เพิ่งออกจากคุก , ถูกตำรวจรวบกลางถนนไม่พอยังถูก 2 เจ้าหน้าที่จากกรมตรวจสอบคนตามติดชีวิตทุกฝีก้าวจนแทบจะสิงร่างเข้าไปทุกที มันจึงทำให้เราอยากรู้ต่อไปว่า Story ของตัวนี้จะไปทางไหนกันต่อบวกกับการได้จังหวะของ Score ประกอบที่มีลูกเล่นกวน ๆ เข้ามาแทรกเป็นระยะยิ่งช่วยทำให้การเดินเรื่องมีชีวิตชีวาขึ้นแถมดูไม่น่าเบื่อด้วย พอหนังมาถึงช่วงที่ Toubab กับ Dennis ไปหาทนายเพื่อหารือเกี่ยวกับคดีความจนกระทั่งทนายเสนอทางเลือกให้ก็คือวิธีการแต่งงานกับสาวเยอรมันเพื่อแลกกับสถานะของการเป็นพลเมืองในเยอรมัน ไอ้ตรงนี้แหล่ะคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้หนังมันไต่ระดับความสนุกขึ้นไปอีกขั้นแล้วยังทำให้ผมลื่นไหลไปกับตัว Toubab ที่สรรหาวีรกรรมชวนปวดหัวโดยมี Dennis ร่วมหัวจมท้ายไปเจอกับ เพื่อนผิวสีที่โดนตำรวจรวบคาตาแต่ดันไปขอกุญแจเพื่อขออาศัยในห้องเขา 55 , Yara สาวข้างห้องที่เขาแอบชอบถึงขั้นจะขอแต่งงานแต่ปรากฎว่าคุณเธอมีรสนิยมกับเพศเดียวกัน รวมถึง Cengo หัวโจกคุมถิ่นหัวรุนแรงในเยอรมันที่เป็นคู่ปรับคนสำคัญของเขา
- ถึงแม้การกระทำแต่ละอย่างของ Toubab ชวนเสี่ยงตีนโดนอุ้มอยู่ร่อมร่อแต่ผมไม่รู้สึกเกลียดตัว Toubab กลับชอบซะด้วยซ้ำ ด้วยความที่หนังเกริ่นปมมาแต่แรก ๆ จากบทสนทนาหรือการพบกับพ่อของเขาซึ่งเป็นผู้ลี้ภัยผิวสีเหมือนกันอยู่ในห้องกับลูกเด็กผิวสีคนนึงเป็นปมในใจให้เรารู้ที่มาที่ไปของเขาในอีกแง่มุมนึงของความเป็นมนุษย์ที่เคยผ่านเหตุการณ์เลวร้ายและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ได้น่ารักสำหรับเขาเท่าไหร่มันเลยจึงมีเหตุผลรองรับให้เราเข้าใจว่าทำไมตัวละครนี้ถึงมีความจำเป็นจะต้องทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องเลยซื้อใจผมให้ร่วมเอาใจช่วยไปกับตัว Toubab ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ส่วนใหญ่มาจากสิ่งที่ตัวเขาก่อขึ้นมาก็ตาม
- ระยะเวลา 1 ชั่วโมง 36 นาทีที่ชอบมาก สนุก เข้าใจง่าย เดินเรื่องลื่นไหลและรวดเร็วไปตามสถานการณ์ มีความบันเทิงแทรกในความเป็นอินดี้ที่ลดความเข้าถึงยากให้จับต้องได้ง่ายขึ้น มีนัยยะที่แฝงไว้แต่ละประเด็นที่ยังทันยุคสมัยทันเหตุการณ์ได้น่าสนใจจนเก็บไปคิดตามต่อจนจนใกล้จะถึงจุดลงตัว จู่ ๆ ดัน Twist เอาซะจนผมสตั๊นท์ไปตามกันเลยอุทานในใจว่า ไอ้เชี่ยเอ๊ย อีกนิดเดียว ถึงแม้ว่าก่อนหน้านั้นจะมีกลิ่นตุ ๆ ตามหลังมา ถามว่าเดาทางได้มั้ย ก็ได้เพียงแต่ว่าผมดัน Enjoy ไปกับเรื่องจนไม่ได้นึกถึงในส่วนนั้นไปซะสนิท จึงกลายเป็นข้อดีที่มันสามารถทำหน้าที่กระตุกจิตใจของผมได้สำเร็จ ส่วนนักแสดงแต่ละคนแสดงดีเดือดมาก โดยเฉพาะตัว Toubab กับ Dennis เคมีดีเข้าขากันอย่างดื่มด่ำจนเผลอจิ้นในความต่อล้อต่อเถียงดูนุ่มนวลเป็นมากกว่าเพื่อนในคู่นี้สุด ๆ ที่เสียดายนิด ๆ ตรงที่ Part Action ถึงจะมีน้อยแต่อยากให้เวลากับส่วนนี้อีกหน่อยเพื่อให้ได้อรรถรสของความเป็นแนวนี้ที่เป็นจุดขายอีกอย่างไม่แพ้กัน ถึงแม้บทสรุปทั้งมวลที่ไม่ได้สวยหรูตามอุดมคติแต่ก็ให้คุณค่าอะไรบางอย่างที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับชื่อเรื่องที่สื่อตรงกันได้อย่างงดงามจนผมหายข้อข้องใจไปในที่สุด
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ ติดตามช่องทาง Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.69 Toubab By Goethe-Institut Thailand : KINOFEST 2023
- สนใจตั้งแต่อ่านเรื่องย่อมาแล้วก็พอจะประเมินโทนของหนังออกว่าจะมาประมาณไหน ซึ่งพอหลังจากดูจบแล้วก็เป็นไปตามที่คิดไว้อีกทั้งรู้สึกเกินความคาดหมายขึ้นมาหน่อยนึงในแง่ของความบันเทิงที่ให้มากกว่าที่คาดคิด คือด้วยความที่โทนในหนังมันมีความชัดเจนในการเป็น Gangster ถ่ายทอดวิถีชีวิตของคนชนชั้นล่างที่มีนิสัยไปทางขบถ ห่าม หัวดื้อ บวกหมดไม่สนลูกใคร มันเลยทำให้บรรยากาศในเรื่องมันมีความสมจริงในท่าทีจริงจัง รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกมาทันที ไม่ต้องมานั่งอมพะนำหรือห่วงภาพลักษณ์อะไรให้สังคมยินดีในสิ่งที่ต้องการจะให้เป็น เพราะตัวตนของพวกกูมันก็เป็นอย่างนี้แหล่ะเพียงแค่มันไปขัดหูขัดตากับพวกจนรับไว้ไม่ได้ก็แค่นั้น มันเลยกลายเป็นภาพสะท้อนระหว่างชนชั้นแต่ละฝั่งที่แตกต่างกัน ซึ่งหนังก็นำเสนอให้เราเห็นภาพและอินไปกับแก่นสารในเรื่องที่ประเคน Details มาแต่ละอย่างให้หัวเราะและเข้าใจได้มากขึ้น
- เปิดเรื่องมานี้ซื้อใจผมเลยทันที เป็นภาพปรากฎที่ตัวของ Toubab ชายชาวเซเนกัลแต่เกิดที่เยอรมันเดินออกมาจากคุกแล้วมี Dennis เพื่อนเยอรมันของเขายืนรอเก้ออยู่หน้ารถจากนั้นทั้งคู่เดินเข้ามาสวมกอดด้วยความดีใจแล้วขับรถออกไปกระทั่งมีพวกเพื่อนที่ไม่รู้มาจากไหนกรุเข้ามาดีใจกับ Toubab ด้วยความเนียน ๆ กลางถนน กระทั่งได้เจอกับ Cengo กุ๊ยเจ้าถิ่นขึ้นมาแล้วเกิดมีปากเสียงถึงขั้นทะเลาะกันจนทำให้พวกตำรวจที่ผ่านมาเห็นจึงรีบมาห้ามทันที ในขณะที่ Dennis กำลังถูกตำรวจจับกุมพอ Toubab เห็นจึงรีบจับตัวตำรวจขึ้นแล้วซัดเข้ากับรถยนต์จึงทำให้ตัว Toubab โดนรวบอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาก็เพิ่งเดินออกมาจากคุกหยก ๆ ตรงจุดนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำพาเราไปสู่เรื่องราวอลวนสุดหรรษาผ่านตัว Toubab เหมือนนั่งเล่นเครื่องเล่นในงานวัดที่ปรับ Balance ระหว่างความเป็น Crime เสียดสีสังคมด้วยคำสบถ กับ Comedy ตลกสถานการณ์ได้พอดี ไม่ล้นไม่ต่ำเกินไป ขณะเดียวกันก็ได้สอดใส่ความเป็น Drama ของตัวละครแต่ละคนให้มีมิติขึ้นมาแล้วแทรกประเด็นทางสังคมที่เกิดขึ้น ไม่ว่าทั้ง ปัญหาผู้ลี้ภัยและเพศสภาพของผู้อพยพจากประเทศที่ 3 หรือ การวิพากษ์ถึงระบบโครงสร้างทางการเมืองในประเทศเยอรมันผ่านมุกตลกจากบทสนทนาด้วยท่าทีขึงขังและดุดันให้ขำขันเป็นระยะ ดูไปทำให้ผมนึกถึงกลิ่นอายของ เรื่อง Trainspotting 1-2 (1996,2017) กับ Blindspotting (2018) ลอยมาในหัวด้วยในความที่มีสไตล์ในความแมน ๆ เย้ยยันกฎเกณฑ์คล้าย ๆ กันไม่มากไม่น้อย
- ระหว่างที่ดูผม Enjoy กับความกวนบาทาของ Toubab ตลอดทุก Scene อย่างตั้งใจด้วยความที่เพิ่งออกจากคุก , ถูกตำรวจรวบกลางถนนไม่พอยังถูก 2 เจ้าหน้าที่จากกรมตรวจสอบคนตามติดชีวิตทุกฝีก้าวจนแทบจะสิงร่างเข้าไปทุกที มันจึงทำให้เราอยากรู้ต่อไปว่า Story ของตัวนี้จะไปทางไหนกันต่อบวกกับการได้จังหวะของ Score ประกอบที่มีลูกเล่นกวน ๆ เข้ามาแทรกเป็นระยะยิ่งช่วยทำให้การเดินเรื่องมีชีวิตชีวาขึ้นแถมดูไม่น่าเบื่อด้วย พอหนังมาถึงช่วงที่ Toubab กับ Dennis ไปหาทนายเพื่อหารือเกี่ยวกับคดีความจนกระทั่งทนายเสนอทางเลือกให้ก็คือวิธีการแต่งงานกับสาวเยอรมันเพื่อแลกกับสถานะของการเป็นพลเมืองในเยอรมัน ไอ้ตรงนี้แหล่ะคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้หนังมันไต่ระดับความสนุกขึ้นไปอีกขั้นแล้วยังทำให้ผมลื่นไหลไปกับตัว Toubab ที่สรรหาวีรกรรมชวนปวดหัวโดยมี Dennis ร่วมหัวจมท้ายไปเจอกับ เพื่อนผิวสีที่โดนตำรวจรวบคาตาแต่ดันไปขอกุญแจเพื่อขออาศัยในห้องเขา 55 , Yara สาวข้างห้องที่เขาแอบชอบถึงขั้นจะขอแต่งงานแต่ปรากฎว่าคุณเธอมีรสนิยมกับเพศเดียวกัน รวมถึง Cengo หัวโจกคุมถิ่นหัวรุนแรงในเยอรมันที่เป็นคู่ปรับคนสำคัญของเขา
- ถึงแม้การกระทำแต่ละอย่างของ Toubab ชวนเสี่ยงตีนโดนอุ้มอยู่ร่อมร่อแต่ผมไม่รู้สึกเกลียดตัว Toubab กลับชอบซะด้วยซ้ำ ด้วยความที่หนังเกริ่นปมมาแต่แรก ๆ จากบทสนทนาหรือการพบกับพ่อของเขาซึ่งเป็นผู้ลี้ภัยผิวสีเหมือนกันอยู่ในห้องกับลูกเด็กผิวสีคนนึงเป็นปมในใจให้เรารู้ที่มาที่ไปของเขาในอีกแง่มุมนึงของความเป็นมนุษย์ที่เคยผ่านเหตุการณ์เลวร้ายและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ได้น่ารักสำหรับเขาเท่าไหร่มันเลยจึงมีเหตุผลรองรับให้เราเข้าใจว่าทำไมตัวละครนี้ถึงมีความจำเป็นจะต้องทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องเลยซื้อใจผมให้ร่วมเอาใจช่วยไปกับตัว Toubab ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ส่วนใหญ่มาจากสิ่งที่ตัวเขาก่อขึ้นมาก็ตาม
- ระยะเวลา 1 ชั่วโมง 36 นาทีที่ชอบมาก สนุก เข้าใจง่าย เดินเรื่องลื่นไหลและรวดเร็วไปตามสถานการณ์ มีความบันเทิงแทรกในความเป็นอินดี้ที่ลดความเข้าถึงยากให้จับต้องได้ง่ายขึ้น มีนัยยะที่แฝงไว้แต่ละประเด็นที่ยังทันยุคสมัยทันเหตุการณ์ได้น่าสนใจจนเก็บไปคิดตามต่อจนจนใกล้จะถึงจุดลงตัว จู่ ๆ ดัน Twist เอาซะจนผมสตั๊นท์ไปตามกันเลยอุทานในใจว่า ไอ้เชี่ยเอ๊ย อีกนิดเดียว ถึงแม้ว่าก่อนหน้านั้นจะมีกลิ่นตุ ๆ ตามหลังมา ถามว่าเดาทางได้มั้ย ก็ได้เพียงแต่ว่าผมดัน Enjoy ไปกับเรื่องจนไม่ได้นึกถึงในส่วนนั้นไปซะสนิท จึงกลายเป็นข้อดีที่มันสามารถทำหน้าที่กระตุกจิตใจของผมได้สำเร็จ ส่วนนักแสดงแต่ละคนแสดงดีเดือดมาก โดยเฉพาะตัว Toubab กับ Dennis เคมีดีเข้าขากันอย่างดื่มด่ำจนเผลอจิ้นในความต่อล้อต่อเถียงดูนุ่มนวลเป็นมากกว่าเพื่อนในคู่นี้สุด ๆ ที่เสียดายนิด ๆ ตรงที่ Part Action ถึงจะมีน้อยแต่อยากให้เวลากับส่วนนี้อีกหน่อยเพื่อให้ได้อรรถรสของความเป็นแนวนี้ที่เป็นจุดขายอีกอย่างไม่แพ้กัน ถึงแม้บทสรุปทั้งมวลที่ไม่ได้สวยหรูตามอุดมคติแต่ก็ให้คุณค่าอะไรบางอย่างที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับชื่อเรื่องที่สื่อตรงกันได้อย่างงดงามจนผมหายข้อข้องใจไปในที่สุด
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ ติดตามช่องทาง Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้