ในที่สุดก็มาถึงวันที่ต้องเดินทางทั้งตื่นเต้น ทั้งแอบกลัวเพราะเป็นครั้งแรกของประเทศนี้ที่ต้องเดินทางด้วยตนเอง เดินทาง (17-30 ตค. 66) เท่าที่ผ่านมาทั้งการเตรียมเอกสาร ตั๋วเครื่องบิน การขอวีซ่า มันแสนจะยากและวุ่นวายมาก ๆ ซึ่งก่อนหน้านั้นประมาณ 3 เดือน เราได้ตั๋วโปรโมชั่นของสายการบินที่บินตรงจากเชียงใหม่-ฉางชา กำหนดเดินทาง 17-24 ตุลาคม ราคาไม่แรงเป็นที่น่าพอใจ มาวันดีคืนดีก็ได้รับเมล์จากสายการบินประมาณเลื่อนวันเดินทาง (เข้าใจเองว่าคนคงไม่เต็มแหง ๆ) วันนั้นวันนี้ พอเราเลือกได้แล้วก็ไม่มีเที่ยวบินอีก (ดูเหมือนจะเริ่มมีการงอแง...เราเองก็ชักเอะละนะ) แต่ก็ตามนั้นคุยกันว่าให้แน่นอนก่อนค่อยไปขอวีซ่าระหว่างนั้นก็เริ่มหาข้อมูลเรื่องการขอวีซ่าประกอบกับความรู้จากการขอวีซ่าให้นาย ตอนปีก่อน ๆ และก่อนโควิดจะลง ก็คิดว่าชัวร์มากๆ ละ ไม่มีข้อมูลใหม่ๆในหัวเลย เดี๋ยวค่อยขอใกล้ ๆ วันเดินทางก่อน หาตั๋วเครื่องบินให้แน่นอนก่อน ....ไม่จบนะมีการเมล์มาหากันเรื่อย ๆ หลายรอบอยู่ จนกระทั่งแน่ใจละว่าตั๋วชัวร์เดินทาง 17-27 ตค. เราก็เลยเคาะวันไปทำวีซ่าในวันที่ 3 ตค. เดินเข้าไปเลย (ตามความเข้าใจที่มีอยู่ในหัว) ด้วยเอกสารที่คิดว่าพร้อมมากๆ ไปแต่เช้าเลย มั่นหน้าสุดๆ สุดท้ายสิ่งที่ได้คือคำตอบที่ว่าเราไม่มีคิว และคิวเต็มถึงวันที่ 20 ซึ่งเลยวันเดินทางไปแล้ว...อ้าว ทีนี้ว้าวุ่นเลย........ทำไงละ
โทรหานายหน้าโน้นนี่นั่นไม่ได้ผล ใจเย็น......ถอดใจละแผนสองในใจเริ่มมาไปไม่ได้เราไปคามิโคจิ ดีกว่าไหม วีซ่าไม่ต้องขอ นั่นคำถามตามมารัว ๆ นั่นก็หมายความว่า เราต้องได้ตั๋วรถไฟ หรืออะไรก็ตามที่ญี่ปุ่นก่อนสิ้นเดือนนี้ด้วยราคาเดิมที่ยังไม่ปรับขึ้นในเดือนหน้า ไม่งั้นจะเสียโอกาส (อันนี้แอบลุ้มแผนนี้..เพราะในใจอยากไปมาก) ลุงก็เริ่มโมโห กลับมานั่งหาข้อมูลใหม่ สุดท้ายก็กดได้คิวทำวีซ่าที่หลุดมา ในวันที่ 9 ตค. โอเค ตามนั้น(ก่อนไปทำวีซ่าเราก็มาลุ้นกันว่าถ้าขอวีซ่าวันที่ 9 นับไปอีก 4 วันทำการเพื่อรับวีซ่าจะทันการเดินทางไหม เพราะวันที่ 13 เป็นวันหยุดราชการ) รับได้พอถึงวันที่ 9 จริง ๆนัดรับเล่มวันที่ 12 เรื่องนี้โล่งอกไป เอ่อ........ในระหว่างรอก็ยังไม่วายมีปัญหาอีก สายการบินส่งเมล์มายกเลิกเที่ยวบิน เชียงใหม่-ฉางชา โอแม่เจ้า..... ว้าวุ่นดับเบิลเลยทีนี้ แชทไหม้เลยสิ ทีนี้ คำตอบที่ได้จากเขาคือคุณก็ของเงินคืนหรือเปลี่ยนเที่ยวบิน เอ้า...เอ้า ..เราทำไปหมดแล้วอะ อิหยังวะ ใครจะรับผิดชอบเถียงกันไปยาว..พอไม่เหงาจนกระทั่งขอคุยกับหัวหน้าคุณ ร้อนถึงขั้นนึกนะว่าจะร้อง ศคบ. (แอบคิดนะว่าจะมีสักกี่คนที่ถูกเท..ที่เชียงใหม่ แล้วพวกเขาจะทำยังไงกัน) ในที่สุดเรื่องนี้ก็ลงตัวในที่สุดและคิดว่าเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ดีที่สุดสำหรับพวกเราคือเดินทางวันที่ 17 แหละแต่ต้องไปขึ้นเครื่องที่ กทม. ดังนั้นก็หมายความว่าสายการบินต้องจัดการให้เรา ตั้งแต่ตั๋ว ชม.-กทม.-ฉางชา-กทม.-ชม. โดยวันกลับวันที่29 แต่ถึง กทม. ตอนตี 2 ต้องนอนแกร่วในสนามบินเพื่อเดินทางกลับ ชม. เที่ยวแรกของ วันที่ 30 เอาไงได้ไม่มีทางเลือกและเลือกไม่ได้แล้วนี่นะ (จิตตกตลอดเวลา) นามนั้นแล้วกัน
เอกสารในการทำวีซ่า เขาให้มา 20 วัน คือเอกสารการของพี่พัก (ซึ่งพวกเรายังไม่ได้จ่ายตังเลยสักที่ เพราะตอนนั้นยังไม่แน่ใจการได้วีซ่าและตั๋วเครื่องบิน) อยู่ไม่สุขอีกละ เนื่องจากไปนานถ้าไปฉางชาอย่างเดียวก็เบื่อสิ เป้าหมายหลัก ๆคือพื้นที่อุทยาน งดช๊อปปิ้งและเมืองโบราณต่าง ๆ แต่เวลาเหลือเยอะเกิน แอบปันใจให้ปักกิ่งบ้าง ทำแผนการเดินทางใหม่แล้วกัน
วันที่ 17 ตุลาคม 2566
เป็นวันเดินทางถึงฉางชาค่อนข้างดึกสำหรับเรา ผ่าน ตม. ไม่ยากนะแต่นาน คิวยาว เพราะมีเจ้าหน้าที่ทำงานไม่มาก ตอนเราเช็คอินที่ กทม. น้องเขาแนะนำให้สแกน qr code เพื่อลงทะเบียนเข้าเมืองจีน
เข้าท่าพอไปถึงที่โน้นก็สแกนเลย อุ้ยต๊าย ตาย รูดปึ้ด......แต่เนื่องจากลุงกะป้าออกมาเป็นคนแรก ถูกหวยถูกสุ่มตรวจโควิดซะงั้น ตอนแรกก็ตกใจ เอาแล้วไหมละ น้องคนไทยที่ตามเรามา ก็โดนเหมือนกัน นี่คือข้อเสียของการออกมาก่อน เพราะพอเขามาวุ่นวายกับเราคนหลัง ๆ ที่ออกมาไม่เห็นโดนตรวจ (อยู่บ้านหลับละ) ด้วยข้อมูลที่มีคือจะนั่งรถบัสออกสนามบิน (แต่.....ความจริงคือมันถูกยกเลิกไปแล้ว...................ข้อมูลล่าสุดที่เจอมา) โบกแท็กซี่แล้วกันเหนื่อยละ ราคาตั้งแต่ข้างในสนามบินถึงถนนหน้าสนามบอนราคา 100-80-50-30 หยวน แล้วแต่เลย กว่าจะถึงโรงแรม นอนใกล้สนามบินแล้วกัน
วันที่ 18 ตุลาคม 2566
เดินทางไปปักกิ่งด้วยสายการบินหูหนานเที่ยวเช้า โปกแท็กซี่หน้าโรงแรม เขาคิด 10 หยวน (เวนนนนนละเมื่อคืนเราถูกหลอกหรือนี่ คิดเรา 30 หยวน) มีอาหารให้ด้วยประมาณนี้
พอไปถึงที่สนามบินปักกิ่งสิ่งแรกที่ต้องไปหาซื้อคือ บัตรรถไฟ เราเลือกใช้บัตรอี้ข่าทง
โดยออกจากสนามบินไปตามทางสีน้ำเงินไปเอาพาสปอร์ตยื่นด้วยทุกครั้งเราเอา 2 ใบเติมเงินในนั้นคนละ 100 หยวน (ถามว่าถ้าใช้หมดแล้วไม่พอทำไง...ณ ตอนนี้ยังไม่รู้ไว้หมดแล้วค่อยถามเขา 555!) เราเลือกที่จะพักชานเมืองเพราะค่าที่พักจะถูกกว่าในปักกิ่งจริงๆ ใช้วิธีนั่งรถไปให้เนียนไปกับคนปักกิ่งแล้วกัน) ขอบอกอีกว่า....เส้นเดินทางรถไม่ยากเหมือนญี่ปุ่นเส้นทางไม่ซับซ้อน ใหม่กว่า ราคาถูกกว่าและถึงจะเบียดกันบางสถานีแต่ไม่แน่นโคตรเหมือนญี่ปุ่น ถึงที่พักก็บ่ายกว่า ๆ เราเลือกเป็น Airbnb เพราะเรามีเป้คนละใบเท่านั้นต้องซักผ้า ก็เลยเลือกวิธีนี้ มีห้องครัวด้วยขอบอกว่าถูกใจตั้งแต่เจ้าของนางพูดอังกฤษไม่ได้เลย แต่นางพยายามมากมีโทรศัพท์ให้แปลไม่เป็นปัญหาใดๆ (ความจริงเราจองไว้ 2 คืน พอเห็นแล้วถูกใจเลยถามว่าถ้าเราพักต่อมีคนจองไหม นางบอกไม่มีอยู่ได้ยาว ๆ งั้นเราจองตลอดทริปที่อยู่ปักกิ่งนี่แล้วกัน พักต่อคืนละ 200 หยวน คือมันดีอะ) นอนคุยกันเลยทีนี้ และที่พักประมาณว่ามี 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ อุปกรณ์ครบทุกอย่างมีเตาอบเท่านั้นที่นางบอกว่าเสีย อารมณ์ลงจากสถานีมาแวะซุปเปอร์มาเก็ตข้างสถานีแล้วก็เดิน 300 เมตรถึงที่พักเลย อุปกรณ์อื่น ๆ ผ้าเช็ดตัว ผืนใหญ่-เล็กนางมีให้เป็นตู้ ผ้าห่มเหลือเฟือ ส่วนตัวสุด ๆ
วันที่ 19 ตุลาคม 2566
วันนี้ต้อนรับด้วยการไปเดินกำแพงเมืองจีน จริง ๆ ที่เลือกไปด่านนี้แม้คนจะเยอะ เพราะไปง่าย สะดวกทุก ๆ อย่าง เยอะเขาก็เยอะเราแหละนะ มันเป็นที่เที่ยวของมหาชนน่านะ....เริ่มด้วยการนั่งรถไฟจากที่พักไปต่อรถไฟ 2-3 สาย กว่าจะถึงท่ารถบัสที่ป้อม Deshengmen
ขนาดไปเช้าต่อแถวกันยาวละแต่รอไม่นานรถเยอะ มีรถ 2 สายให้เลือก คือ 877 และ 919 หรือเปล่าไม่ค่อยแน่ใจ แต่รู้ว่านั่ง 877 ไม่จอดถึงเลย เราใช้บัตรอี้ข่าทงในการสแกนขึ้นรถขาไปได้ส่วนลดจ่ายครึ่งราคาเพียง 6 หยวน บนรถมีไกด์คอยช่วยเหลือด้วย เขาพูดอะไรไม่รู้เรื่องหรอก (ฟังไม่ออกสักคำแต่ดูเขาก็แอบสังเกตเราและพร้อมจะให้ความช่วยเหลือนะ) ทุกครั้งเวลาซื้อตั๋วจะต้องใช้พาสปอร์ตนะคะ ถ้าไปทัวร์เลือกดี ๆ บางเจ้าไม่ได้ไปจอดข้างในต้องเดินไกลหน่อย ส่วนรถบัส 877 จะจอดใกล้ ๆ ตรงที่ขายตั๋วจะขึ้นกระเช้าเลย เราเลือกเดินไปเองไม่ขึ้นกระเช้า ก็เดินตามเขาไปเรื่อย ๆ แหละ เที่ยวได้ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน
อาจจะแออัดหน่อยตรงทางขึ้นและตอนแรก ๆ ไหนจะเด็กนักเรียน ตั้งแต่วันกะเตาะยันวัยใสทั้งเด็กจีนและอินเตอร์ เยอะมากกว่าจะฝ่าด่านนี้ได้เดินไปยาว ๆ ก็จะไม่มีพวกทัวร์ ด้วยวิธีการเดินและศักยภาพของแต่ละคนคนก็จะน้อนลงเรื่อยจนไปถึงจุดหมายของแต่ละคนไหวก็ไปต่อ และต้องเข้าใจด้วยว่ามันเป็นที่ของมหาชน ทำใจได้ก็จะเที่ยวสนุก ถ้าถามถึงวิว อากาศไม่ต้องพูดถึง คือมีร้อยให้ล้านแหละ รถกลับเยอะแยะเด้อพี่น้อง
***เตรียมน้ำอาหารขึ้นไปทานได้ข้างบนชิลล์มากมายมีเวลาทั้งวัน
ลุงกะป้าพายายแฝดเที่ยว : พาไปหลงในดงจีน 17-29 ตุลาคม 2566 ตอนที่ 1
โทรหานายหน้าโน้นนี่นั่นไม่ได้ผล ใจเย็น......ถอดใจละแผนสองในใจเริ่มมาไปไม่ได้เราไปคามิโคจิ ดีกว่าไหม วีซ่าไม่ต้องขอ นั่นคำถามตามมารัว ๆ นั่นก็หมายความว่า เราต้องได้ตั๋วรถไฟ หรืออะไรก็ตามที่ญี่ปุ่นก่อนสิ้นเดือนนี้ด้วยราคาเดิมที่ยังไม่ปรับขึ้นในเดือนหน้า ไม่งั้นจะเสียโอกาส (อันนี้แอบลุ้มแผนนี้..เพราะในใจอยากไปมาก) ลุงก็เริ่มโมโห กลับมานั่งหาข้อมูลใหม่ สุดท้ายก็กดได้คิวทำวีซ่าที่หลุดมา ในวันที่ 9 ตค. โอเค ตามนั้น(ก่อนไปทำวีซ่าเราก็มาลุ้นกันว่าถ้าขอวีซ่าวันที่ 9 นับไปอีก 4 วันทำการเพื่อรับวีซ่าจะทันการเดินทางไหม เพราะวันที่ 13 เป็นวันหยุดราชการ) รับได้พอถึงวันที่ 9 จริง ๆนัดรับเล่มวันที่ 12 เรื่องนี้โล่งอกไป เอ่อ........ในระหว่างรอก็ยังไม่วายมีปัญหาอีก สายการบินส่งเมล์มายกเลิกเที่ยวบิน เชียงใหม่-ฉางชา โอแม่เจ้า..... ว้าวุ่นดับเบิลเลยทีนี้ แชทไหม้เลยสิ ทีนี้ คำตอบที่ได้จากเขาคือคุณก็ของเงินคืนหรือเปลี่ยนเที่ยวบิน เอ้า...เอ้า ..เราทำไปหมดแล้วอะ อิหยังวะ ใครจะรับผิดชอบเถียงกันไปยาว..พอไม่เหงาจนกระทั่งขอคุยกับหัวหน้าคุณ ร้อนถึงขั้นนึกนะว่าจะร้อง ศคบ. (แอบคิดนะว่าจะมีสักกี่คนที่ถูกเท..ที่เชียงใหม่ แล้วพวกเขาจะทำยังไงกัน) ในที่สุดเรื่องนี้ก็ลงตัวในที่สุดและคิดว่าเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ดีที่สุดสำหรับพวกเราคือเดินทางวันที่ 17 แหละแต่ต้องไปขึ้นเครื่องที่ กทม. ดังนั้นก็หมายความว่าสายการบินต้องจัดการให้เรา ตั้งแต่ตั๋ว ชม.-กทม.-ฉางชา-กทม.-ชม. โดยวันกลับวันที่29 แต่ถึง กทม. ตอนตี 2 ต้องนอนแกร่วในสนามบินเพื่อเดินทางกลับ ชม. เที่ยวแรกของ วันที่ 30 เอาไงได้ไม่มีทางเลือกและเลือกไม่ได้แล้วนี่นะ (จิตตกตลอดเวลา) นามนั้นแล้วกัน
เอกสารในการทำวีซ่า เขาให้มา 20 วัน คือเอกสารการของพี่พัก (ซึ่งพวกเรายังไม่ได้จ่ายตังเลยสักที่ เพราะตอนนั้นยังไม่แน่ใจการได้วีซ่าและตั๋วเครื่องบิน) อยู่ไม่สุขอีกละ เนื่องจากไปนานถ้าไปฉางชาอย่างเดียวก็เบื่อสิ เป้าหมายหลัก ๆคือพื้นที่อุทยาน งดช๊อปปิ้งและเมืองโบราณต่าง ๆ แต่เวลาเหลือเยอะเกิน แอบปันใจให้ปักกิ่งบ้าง ทำแผนการเดินทางใหม่แล้วกัน
วันที่ 17 ตุลาคม 2566
เป็นวันเดินทางถึงฉางชาค่อนข้างดึกสำหรับเรา ผ่าน ตม. ไม่ยากนะแต่นาน คิวยาว เพราะมีเจ้าหน้าที่ทำงานไม่มาก ตอนเราเช็คอินที่ กทม. น้องเขาแนะนำให้สแกน qr code เพื่อลงทะเบียนเข้าเมืองจีน
เข้าท่าพอไปถึงที่โน้นก็สแกนเลย อุ้ยต๊าย ตาย รูดปึ้ด......แต่เนื่องจากลุงกะป้าออกมาเป็นคนแรก ถูกหวยถูกสุ่มตรวจโควิดซะงั้น ตอนแรกก็ตกใจ เอาแล้วไหมละ น้องคนไทยที่ตามเรามา ก็โดนเหมือนกัน นี่คือข้อเสียของการออกมาก่อน เพราะพอเขามาวุ่นวายกับเราคนหลัง ๆ ที่ออกมาไม่เห็นโดนตรวจ (อยู่บ้านหลับละ) ด้วยข้อมูลที่มีคือจะนั่งรถบัสออกสนามบิน (แต่.....ความจริงคือมันถูกยกเลิกไปแล้ว...................ข้อมูลล่าสุดที่เจอมา) โบกแท็กซี่แล้วกันเหนื่อยละ ราคาตั้งแต่ข้างในสนามบินถึงถนนหน้าสนามบอนราคา 100-80-50-30 หยวน แล้วแต่เลย กว่าจะถึงโรงแรม นอนใกล้สนามบินแล้วกัน
วันที่ 18 ตุลาคม 2566
เดินทางไปปักกิ่งด้วยสายการบินหูหนานเที่ยวเช้า โปกแท็กซี่หน้าโรงแรม เขาคิด 10 หยวน (เวนนนนนละเมื่อคืนเราถูกหลอกหรือนี่ คิดเรา 30 หยวน) มีอาหารให้ด้วยประมาณนี้
พอไปถึงที่สนามบินปักกิ่งสิ่งแรกที่ต้องไปหาซื้อคือ บัตรรถไฟ เราเลือกใช้บัตรอี้ข่าทง
โดยออกจากสนามบินไปตามทางสีน้ำเงินไปเอาพาสปอร์ตยื่นด้วยทุกครั้งเราเอา 2 ใบเติมเงินในนั้นคนละ 100 หยวน (ถามว่าถ้าใช้หมดแล้วไม่พอทำไง...ณ ตอนนี้ยังไม่รู้ไว้หมดแล้วค่อยถามเขา 555!) เราเลือกที่จะพักชานเมืองเพราะค่าที่พักจะถูกกว่าในปักกิ่งจริงๆ ใช้วิธีนั่งรถไปให้เนียนไปกับคนปักกิ่งแล้วกัน) ขอบอกอีกว่า....เส้นเดินทางรถไม่ยากเหมือนญี่ปุ่นเส้นทางไม่ซับซ้อน ใหม่กว่า ราคาถูกกว่าและถึงจะเบียดกันบางสถานีแต่ไม่แน่นโคตรเหมือนญี่ปุ่น ถึงที่พักก็บ่ายกว่า ๆ เราเลือกเป็น Airbnb เพราะเรามีเป้คนละใบเท่านั้นต้องซักผ้า ก็เลยเลือกวิธีนี้ มีห้องครัวด้วยขอบอกว่าถูกใจตั้งแต่เจ้าของนางพูดอังกฤษไม่ได้เลย แต่นางพยายามมากมีโทรศัพท์ให้แปลไม่เป็นปัญหาใดๆ (ความจริงเราจองไว้ 2 คืน พอเห็นแล้วถูกใจเลยถามว่าถ้าเราพักต่อมีคนจองไหม นางบอกไม่มีอยู่ได้ยาว ๆ งั้นเราจองตลอดทริปที่อยู่ปักกิ่งนี่แล้วกัน พักต่อคืนละ 200 หยวน คือมันดีอะ) นอนคุยกันเลยทีนี้ และที่พักประมาณว่ามี 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ อุปกรณ์ครบทุกอย่างมีเตาอบเท่านั้นที่นางบอกว่าเสีย อารมณ์ลงจากสถานีมาแวะซุปเปอร์มาเก็ตข้างสถานีแล้วก็เดิน 300 เมตรถึงที่พักเลย อุปกรณ์อื่น ๆ ผ้าเช็ดตัว ผืนใหญ่-เล็กนางมีให้เป็นตู้ ผ้าห่มเหลือเฟือ ส่วนตัวสุด ๆ
วันที่ 19 ตุลาคม 2566
วันนี้ต้อนรับด้วยการไปเดินกำแพงเมืองจีน จริง ๆ ที่เลือกไปด่านนี้แม้คนจะเยอะ เพราะไปง่าย สะดวกทุก ๆ อย่าง เยอะเขาก็เยอะเราแหละนะ มันเป็นที่เที่ยวของมหาชนน่านะ....เริ่มด้วยการนั่งรถไฟจากที่พักไปต่อรถไฟ 2-3 สาย กว่าจะถึงท่ารถบัสที่ป้อม Deshengmen
ขนาดไปเช้าต่อแถวกันยาวละแต่รอไม่นานรถเยอะ มีรถ 2 สายให้เลือก คือ 877 และ 919 หรือเปล่าไม่ค่อยแน่ใจ แต่รู้ว่านั่ง 877 ไม่จอดถึงเลย เราใช้บัตรอี้ข่าทงในการสแกนขึ้นรถขาไปได้ส่วนลดจ่ายครึ่งราคาเพียง 6 หยวน บนรถมีไกด์คอยช่วยเหลือด้วย เขาพูดอะไรไม่รู้เรื่องหรอก (ฟังไม่ออกสักคำแต่ดูเขาก็แอบสังเกตเราและพร้อมจะให้ความช่วยเหลือนะ) ทุกครั้งเวลาซื้อตั๋วจะต้องใช้พาสปอร์ตนะคะ ถ้าไปทัวร์เลือกดี ๆ บางเจ้าไม่ได้ไปจอดข้างในต้องเดินไกลหน่อย ส่วนรถบัส 877 จะจอดใกล้ ๆ ตรงที่ขายตั๋วจะขึ้นกระเช้าเลย เราเลือกเดินไปเองไม่ขึ้นกระเช้า ก็เดินตามเขาไปเรื่อย ๆ แหละ เที่ยวได้ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน
อาจจะแออัดหน่อยตรงทางขึ้นและตอนแรก ๆ ไหนจะเด็กนักเรียน ตั้งแต่วันกะเตาะยันวัยใสทั้งเด็กจีนและอินเตอร์ เยอะมากกว่าจะฝ่าด่านนี้ได้เดินไปยาว ๆ ก็จะไม่มีพวกทัวร์ ด้วยวิธีการเดินและศักยภาพของแต่ละคนคนก็จะน้อนลงเรื่อยจนไปถึงจุดหมายของแต่ละคนไหวก็ไปต่อ และต้องเข้าใจด้วยว่ามันเป็นที่ของมหาชน ทำใจได้ก็จะเที่ยวสนุก ถ้าถามถึงวิว อากาศไม่ต้องพูดถึง คือมีร้อยให้ล้านแหละ รถกลับเยอะแยะเด้อพี่น้อง
***เตรียมน้ำอาหารขึ้นไปทานได้ข้างบนชิลล์มากมายมีเวลาทั้งวัน