- ภาพรวมเลยคือรู้สึกไปทางสายกลาง คือ ไม่ได้ชอบที่สุดและไม่ได้แย่จนเกินเหตุ เพราะ ตลอดทั้งเรื่องที่ดูไปมันถูกปกคลุมด้วยความเนิบ ๆ เนือย ๆ ขายบรรยากาศในความเป็นสภาพแวดล้อมของเยอรมันเป็นหลักบวกกับสไตล์ในการเล่าเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์ของหนังฝั่งยุโรปที่ซื่อสัตย์ต่อ Concept ที่คุ้นเคยดีอยู่แล้วจึงตอกย้ำอัตลักษณ์ตัวตนความเป็นเยอรมันสูงในแง่ของการถ่ายทอดผ่านบทสนทนาของคนอาชีพเดียวกันและคนละ Gens ในแต่ละ Dialogue ของตัวละครที่เยอะแต่ลึกซึ้ง ไม่ว่าทั้ง วัฒนธรรม , วิถีชีวิต , ประวัติศาสตร์ , การเมืองกระทั่งเรื่องที่ผ่านไปนานแล้วยังก็ถูกนำมาหยิบยกพูดถึงกันได้ทุกยุคทุกสมัยโดยไม่ต้องมาพะวงเหมือนบ้าเราว่าไอ้นี่ห้ามพูดไอ้นั้นห้ามถาม แถม Details บางคำบางอย่างมันเอื้อให้ขยี้ประเด็นลงไปให้ลึกกว่านี้อยู่รอมร่อ แต่ผู้กำกับก็ขอเลือกที่จะอมพะนำไม่แสดงความโฉ่งฉ่างออกมาตรง ๆ ปล่อยให้ไหลไปกับสายลมและแสงแดด ทำให้ระหว่างที่ดูไปผมรู้สึกถึงความคลุมเครือเหล่านั้นจนแอบหงุดหงิดขึ้นมานิด ๆ ว่าจะ Slow Life กันไปถึงไหน
- แต่ยังดีที่สามารถสัมผัสความรู้สึกที่พรรณนาเมื่อกี๊ได้ตั้งแต่เปิดเรื่องหลังจากที่ Clara ได้เปิดห้องกินตับนักศึกษาชายใน Class แล้วเดินออกจากห้องไปอย่างสง่าผ่าเผย ต่อมาหนังก็เล่าใน Story ของตัว Clara เลยว่าเธอเป็นใคร ทำงานอะไร ซึ่งในส่วนนี้เราจะเห็นเธอในแง่มุมนั้นไปซึ่งก็ดูมีอะไรน่าค้นหาบ้างแต่พอเลยมา 10 กว่านาทีรู้สึกว่าหนังยังอยู่ในช่วงแนะนำตัวยังไม่เสร็จเรียบร้อยทีเหมือนมันยืดออกไปจนเชื่องช้าด้วยเลยพอถึงตอนช่วงที่นางเอก Clara ออกไปดินเนอร์กับเพื่อนมหาลัยที่ร้านอาหารผมบอกกับตนเองว่ากูไม่ไหวแระเลยขอชิ่งวูบหลับไปเลยเพื่อพักฟื้นสายตาและปรับอารมณ์ไปพร้อมกันจนกระทั่งตื่นขึ้นมาตอนที่ Clara กลับเข้ามาในห้องแล้วเดินไปหยิบขนมจากตัวของ Farash แฟนหนุ่มคนปัจจุบันที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงยัดเข้าปาก ความรู้สึกก็เลยสร่างตาขึ้นมาหลังจากนั้นจึงไม่หลับอีกต่อไป
- ถึงแม้ว่าระยะเวลาในหนังที่ให้มามี 1 ชั่วโมง 29 นาทีที่ถือว่าไม่ยาวเกินไปแต่ขณะที่ดูแอบมีความรู้สึกว่าการเล่าเรื่องในหนังมันอืดอาดยืดยาวไปถึง 2 ชั่วโมงกว่า ๆ จนหาวไปเป็นระยะ แต่ดีที่ Parts ในเรื่องมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเล่าในเมืองที่เป็นบ้านและที่ทำงานกับในชนบทที่เคยเป็นบ้านเกิดผ่านตัว Clara ที่เป็นปมให้เธอเดินทางกลับไป ทำให้ Timeline ถูกร่นเวลาให้สั้นลงรวมถึงทำให้เราสามารถจัดระเบียบความคิด ประติดประต่อและเรียบเรียง Story แต่ละเฟรมที่เดินตรงไปข้างหน้าได้ง่ายขึ้น แต่ส่วนที่ไม่ได้รู้สึกมีอารมณ์ร่วมเลยคือตัวละครใกล้ตัวของ Clara อย่าง แม่ , ลูกสาว , ยาย , ตา , ญาติพี่น้อง , เพื่อนบ้าน รวมถึง แฟนเก่าที่เคยแต่งงานและแฟนเก่าเป็นเจ้าของบาร์ที่บ้านนาที่ไม่รู้ไปเอากันตอนไหนเลยซักนิด เหมือนหนังนำเสนอต่อหน้าคนดูว่าคนนี้เป็นใครมากกว่าที่จะเจาะลึกลงใน Story ของแต่ละคนว่าคนนี้มีที่มาอย่างไรให้เราเห็นภาพได้ชัดขึ้นแถมบางคนโผล่มาไม่กี่วิแล้วหายไปจากสารระบบ ไม่ทันให้เตรียมใจทำความรู้จักกันก่อนเลยส่งผลงให้ตัวผม Blank ขึ้นมาซะงั้น กระทั่ง Scene ที่ Clara โบกมือลาแม่กับยาย ก็ไม่ได้รู้สึก Impact กับความรู้สึกเลย แต่เข้าใจได้เพราะถ้าใส่ลงไปคงจะพร่ำเพรื่อโดยใช่เหตุแถมมีเวลาที่จำกัด ถ้าเทียบกับที่ทำงานในมหาลัยผมรู้สึกชอบใน Parts นี้มากกว่าถึงแม้ว่าตัวละครแต่ละคนจะไม่ค่อยมีความสัมพันธ์ให้จูนติดเหมือนกันแต่ในแง่ของการทำงาน ไหนจะเตรียมตัวการสอนหรือเตรียมนำเสนอบทความวิจัยทางวิชาการมันมีเรื่องของการแข่งขันกับเพื่อนร่วมงานให้ผมได้เห็นในมุมที่จริงจังของเธอให้ลุ้นได้ติดตามบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ
- แต่ความที่ผมไม่อินในความสัมพันธ์ของบรรดาตัวละครสมทบกลับกลายเป็นว่ามันมีข้อดีตามมาคือพวกเขาแต่ละคนเป็นส่วนประกอบที่ดีที่เข้ามาเติมเต็มให้บทของ Clara มีเสน่ห์ มีความเป็นมนุษย์ที่จับต้องได้มากขึ้น หลังจากดูจบคือไม่รู้สึกหมั่นไส้หรือมีอคติอะไรกับเธอเลย แม้ว่าบางเรื่องของเธอจะทำตัวไม่น่ารักสมกับฐานะเอาซะเลย โดยเฉพาะ Lifestyle ยามว่างที่เธอชอบเป็นแม่เสือสาวเล่นน้ำเต้าปูปลากับชายหนุ่มไม่ซ้ำหน้าสารพัด ทั้ง ๆ ที่เธอเองก็เคยแต่งงาน , มีสามี , มีแฟนคนปัจจุบัน กระทั่งมีลูกสาวอยู่แล้วก็ยังทำตัวแซ่บไม่เว้นแม้วันมามาก
- ในส่วนของ Details ที่ทำให้ผมประทับใจจนเก็บนำไปคิดตามได้ไม่น้อย คือ Scene ที่ Clara ถามกับแม่ว่าต่อไปข้างหน้าวางแผนจะทำอะไร ? ซึ่งเป็น Scene ที่ชอบและตั้งคำถามได้น่าสนใจมาก นอกจากมันสมจริงกับความเป็นจริงแล้ว มันทำให้เรามองเห็นมุมมองของคน 2 วัยที่มีคำถามเดียวกันแต่คิดเห็นไม่เหมือนกัน ฝั่งของ Clara ที่เธอเป็นทั้งลูกสาวและนักวิชาการก็จะมองในมุมของหลักการและเหตุผลถามเพื่อเป็นห่วง อยากให้มีการตั้งคำถามกับตนเองบ้าง เข้าใจถึงแก่นสารแต่ละอย่างในชีวิตว่าควรมีเป้าหมายอย่างไร ไม่ใช่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ส่วนฝั่งแม่ก็มองในมุมของคนบ้าน ๆ ผ่านโลกมาเยอะจะมองว่า กูอายุปูนนี้แล้วจะเลือกงานได้เยอะเหมือนตอนสาวอีก มีอะไรก็ทำ ๆ ไป วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็ปล่อยให้เป็นไปตามมีตามเกิด แล้วพอมีเรื่องของความอาวุโสก็ดันอีโก้สำรับต่อว่า เฮ้ย ! กูเป็นแม่นะ จะถามกูทำมะเขืออะไร ? ซึ่งพอลองตีความดูแล้วมันก็ไป Link กันกับบทสรุปที่สื่อตรงตามชื่อเรื่องเลยเหมือนกัน อีกทั้งโทนหนังมันไม่ได้เน้นไปทาง Dark สลดหดหู่ และ Comedy ขายขำโปกฮา ด้วยเลยไม่ได้ในมุมที่ว่าไปสุดทางที่อยากจะให้เป็นอยู่ ไอ้ตอนที่ทั้งคู่ปะทะคารมในประโยคที่กล่าวไป หรือ Scene ที่เธอพูดกับแม่ว่า ทำไมต้องถามแต่เรื่องสภาพอากาศ หรือ ถามประโยคทั่วไปซ้ำ ๆ ว่า กินข้าวหรือยัง ? สบายดีมั้ย ? เพื่อให้ตอบกลับแค่นั้นจบโดยไม่มีการถามต่อหรือพูดเรื่องอื่นที่มันมีอะไรให้พูดมากกว่าคำพวกนี้ นี้แหล่ะผมว่าถ้าขยี้เอาให้หนักกว่านี้คงได้วางมวยศึกวันทรงชัยมั่งล่ะคราวนี้
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ ติดตามช่องทาง Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.68 Taking about the Weather By Goethe-Institut Thailand : KINOFEST 2023
- ภาพรวมเลยคือรู้สึกไปทางสายกลาง คือ ไม่ได้ชอบที่สุดและไม่ได้แย่จนเกินเหตุ เพราะ ตลอดทั้งเรื่องที่ดูไปมันถูกปกคลุมด้วยความเนิบ ๆ เนือย ๆ ขายบรรยากาศในความเป็นสภาพแวดล้อมของเยอรมันเป็นหลักบวกกับสไตล์ในการเล่าเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์ของหนังฝั่งยุโรปที่ซื่อสัตย์ต่อ Concept ที่คุ้นเคยดีอยู่แล้วจึงตอกย้ำอัตลักษณ์ตัวตนความเป็นเยอรมันสูงในแง่ของการถ่ายทอดผ่านบทสนทนาของคนอาชีพเดียวกันและคนละ Gens ในแต่ละ Dialogue ของตัวละครที่เยอะแต่ลึกซึ้ง ไม่ว่าทั้ง วัฒนธรรม , วิถีชีวิต , ประวัติศาสตร์ , การเมืองกระทั่งเรื่องที่ผ่านไปนานแล้วยังก็ถูกนำมาหยิบยกพูดถึงกันได้ทุกยุคทุกสมัยโดยไม่ต้องมาพะวงเหมือนบ้าเราว่าไอ้นี่ห้ามพูดไอ้นั้นห้ามถาม แถม Details บางคำบางอย่างมันเอื้อให้ขยี้ประเด็นลงไปให้ลึกกว่านี้อยู่รอมร่อ แต่ผู้กำกับก็ขอเลือกที่จะอมพะนำไม่แสดงความโฉ่งฉ่างออกมาตรง ๆ ปล่อยให้ไหลไปกับสายลมและแสงแดด ทำให้ระหว่างที่ดูไปผมรู้สึกถึงความคลุมเครือเหล่านั้นจนแอบหงุดหงิดขึ้นมานิด ๆ ว่าจะ Slow Life กันไปถึงไหน
- แต่ยังดีที่สามารถสัมผัสความรู้สึกที่พรรณนาเมื่อกี๊ได้ตั้งแต่เปิดเรื่องหลังจากที่ Clara ได้เปิดห้องกินตับนักศึกษาชายใน Class แล้วเดินออกจากห้องไปอย่างสง่าผ่าเผย ต่อมาหนังก็เล่าใน Story ของตัว Clara เลยว่าเธอเป็นใคร ทำงานอะไร ซึ่งในส่วนนี้เราจะเห็นเธอในแง่มุมนั้นไปซึ่งก็ดูมีอะไรน่าค้นหาบ้างแต่พอเลยมา 10 กว่านาทีรู้สึกว่าหนังยังอยู่ในช่วงแนะนำตัวยังไม่เสร็จเรียบร้อยทีเหมือนมันยืดออกไปจนเชื่องช้าด้วยเลยพอถึงตอนช่วงที่นางเอก Clara ออกไปดินเนอร์กับเพื่อนมหาลัยที่ร้านอาหารผมบอกกับตนเองว่ากูไม่ไหวแระเลยขอชิ่งวูบหลับไปเลยเพื่อพักฟื้นสายตาและปรับอารมณ์ไปพร้อมกันจนกระทั่งตื่นขึ้นมาตอนที่ Clara กลับเข้ามาในห้องแล้วเดินไปหยิบขนมจากตัวของ Farash แฟนหนุ่มคนปัจจุบันที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงยัดเข้าปาก ความรู้สึกก็เลยสร่างตาขึ้นมาหลังจากนั้นจึงไม่หลับอีกต่อไป
- ถึงแม้ว่าระยะเวลาในหนังที่ให้มามี 1 ชั่วโมง 29 นาทีที่ถือว่าไม่ยาวเกินไปแต่ขณะที่ดูแอบมีความรู้สึกว่าการเล่าเรื่องในหนังมันอืดอาดยืดยาวไปถึง 2 ชั่วโมงกว่า ๆ จนหาวไปเป็นระยะ แต่ดีที่ Parts ในเรื่องมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเล่าในเมืองที่เป็นบ้านและที่ทำงานกับในชนบทที่เคยเป็นบ้านเกิดผ่านตัว Clara ที่เป็นปมให้เธอเดินทางกลับไป ทำให้ Timeline ถูกร่นเวลาให้สั้นลงรวมถึงทำให้เราสามารถจัดระเบียบความคิด ประติดประต่อและเรียบเรียง Story แต่ละเฟรมที่เดินตรงไปข้างหน้าได้ง่ายขึ้น แต่ส่วนที่ไม่ได้รู้สึกมีอารมณ์ร่วมเลยคือตัวละครใกล้ตัวของ Clara อย่าง แม่ , ลูกสาว , ยาย , ตา , ญาติพี่น้อง , เพื่อนบ้าน รวมถึง แฟนเก่าที่เคยแต่งงานและแฟนเก่าเป็นเจ้าของบาร์ที่บ้านนาที่ไม่รู้ไปเอากันตอนไหนเลยซักนิด เหมือนหนังนำเสนอต่อหน้าคนดูว่าคนนี้เป็นใครมากกว่าที่จะเจาะลึกลงใน Story ของแต่ละคนว่าคนนี้มีที่มาอย่างไรให้เราเห็นภาพได้ชัดขึ้นแถมบางคนโผล่มาไม่กี่วิแล้วหายไปจากสารระบบ ไม่ทันให้เตรียมใจทำความรู้จักกันก่อนเลยส่งผลงให้ตัวผม Blank ขึ้นมาซะงั้น กระทั่ง Scene ที่ Clara โบกมือลาแม่กับยาย ก็ไม่ได้รู้สึก Impact กับความรู้สึกเลย แต่เข้าใจได้เพราะถ้าใส่ลงไปคงจะพร่ำเพรื่อโดยใช่เหตุแถมมีเวลาที่จำกัด ถ้าเทียบกับที่ทำงานในมหาลัยผมรู้สึกชอบใน Parts นี้มากกว่าถึงแม้ว่าตัวละครแต่ละคนจะไม่ค่อยมีความสัมพันธ์ให้จูนติดเหมือนกันแต่ในแง่ของการทำงาน ไหนจะเตรียมตัวการสอนหรือเตรียมนำเสนอบทความวิจัยทางวิชาการมันมีเรื่องของการแข่งขันกับเพื่อนร่วมงานให้ผมได้เห็นในมุมที่จริงจังของเธอให้ลุ้นได้ติดตามบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ
- แต่ความที่ผมไม่อินในความสัมพันธ์ของบรรดาตัวละครสมทบกลับกลายเป็นว่ามันมีข้อดีตามมาคือพวกเขาแต่ละคนเป็นส่วนประกอบที่ดีที่เข้ามาเติมเต็มให้บทของ Clara มีเสน่ห์ มีความเป็นมนุษย์ที่จับต้องได้มากขึ้น หลังจากดูจบคือไม่รู้สึกหมั่นไส้หรือมีอคติอะไรกับเธอเลย แม้ว่าบางเรื่องของเธอจะทำตัวไม่น่ารักสมกับฐานะเอาซะเลย โดยเฉพาะ Lifestyle ยามว่างที่เธอชอบเป็นแม่เสือสาวเล่นน้ำเต้าปูปลากับชายหนุ่มไม่ซ้ำหน้าสารพัด ทั้ง ๆ ที่เธอเองก็เคยแต่งงาน , มีสามี , มีแฟนคนปัจจุบัน กระทั่งมีลูกสาวอยู่แล้วก็ยังทำตัวแซ่บไม่เว้นแม้วันมามาก
- ในส่วนของ Details ที่ทำให้ผมประทับใจจนเก็บนำไปคิดตามได้ไม่น้อย คือ Scene ที่ Clara ถามกับแม่ว่าต่อไปข้างหน้าวางแผนจะทำอะไร ? ซึ่งเป็น Scene ที่ชอบและตั้งคำถามได้น่าสนใจมาก นอกจากมันสมจริงกับความเป็นจริงแล้ว มันทำให้เรามองเห็นมุมมองของคน 2 วัยที่มีคำถามเดียวกันแต่คิดเห็นไม่เหมือนกัน ฝั่งของ Clara ที่เธอเป็นทั้งลูกสาวและนักวิชาการก็จะมองในมุมของหลักการและเหตุผลถามเพื่อเป็นห่วง อยากให้มีการตั้งคำถามกับตนเองบ้าง เข้าใจถึงแก่นสารแต่ละอย่างในชีวิตว่าควรมีเป้าหมายอย่างไร ไม่ใช่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ส่วนฝั่งแม่ก็มองในมุมของคนบ้าน ๆ ผ่านโลกมาเยอะจะมองว่า กูอายุปูนนี้แล้วจะเลือกงานได้เยอะเหมือนตอนสาวอีก มีอะไรก็ทำ ๆ ไป วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็ปล่อยให้เป็นไปตามมีตามเกิด แล้วพอมีเรื่องของความอาวุโสก็ดันอีโก้สำรับต่อว่า เฮ้ย ! กูเป็นแม่นะ จะถามกูทำมะเขืออะไร ? ซึ่งพอลองตีความดูแล้วมันก็ไป Link กันกับบทสรุปที่สื่อตรงตามชื่อเรื่องเลยเหมือนกัน อีกทั้งโทนหนังมันไม่ได้เน้นไปทาง Dark สลดหดหู่ และ Comedy ขายขำโปกฮา ด้วยเลยไม่ได้ในมุมที่ว่าไปสุดทางที่อยากจะให้เป็นอยู่ ไอ้ตอนที่ทั้งคู่ปะทะคารมในประโยคที่กล่าวไป หรือ Scene ที่เธอพูดกับแม่ว่า ทำไมต้องถามแต่เรื่องสภาพอากาศ หรือ ถามประโยคทั่วไปซ้ำ ๆ ว่า กินข้าวหรือยัง ? สบายดีมั้ย ? เพื่อให้ตอบกลับแค่นั้นจบโดยไม่มีการถามต่อหรือพูดเรื่องอื่นที่มันมีอะไรให้พูดมากกว่าคำพวกนี้ นี้แหล่ะผมว่าถ้าขยี้เอาให้หนักกว่านี้คงได้วางมวยศึกวันทรงชัยมั่งล่ะคราวนี้
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ ติดตามช่องทาง Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้