[CR] ์No.67 Killers of the Flower Moon : เหล่าจันทราดับแสงบุปผา


- เพิ่งดูเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา หลังจากดูจบชอบมาก ประทับใจ ติด 1 ใน List หนังที่ชอบในปีนี้ไปอีกเรื่องเรียบร้อย เป็นการดูหนัง 3 ชั่วโมง 26 นาทีที่สนุก ตื่นเต้น ทรงพลัง ครบเครื่องเรื่องความรู้เหมือนนั่งเรียนวิชาประวัติศาสตร์ของอเมริกาบนรถไฟใน Topic ชนเผ่าพื้นเมืองอินเดียนแดงจบรวบยอดใน Class โดยไม่รู้สึกค้างคาใจกับ Story และเหนื่อยจากการเดินทางแต่อย่างใด แม้ว่าจะเทน้ำหนักไปทางบทสนทนาเป็นส่วนใหญ่ก็ไม่รู้สึกน่าเบื่อเลยซักนิด เพราะสาระสำคัญมันอยู่ใน Dialogue ที่ถูกพรรณนาเหล่านี้ให้คนดูทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในขณะนั้นแล้วนึกภาพตามเลยทำให้เราต้องมีสมาธิในการดูทุก ๆ Shot ด้วยความที่สร้างจากหนังสือและเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมันจริงมาก่อนทำให้ Details ทุกอย่างถูกถ่ายทอดออกมาด้วยความสมสัตย์จริงโดยไม่ต้องหาความซับซ้อนอะไรกับปมปริศนาให้ปวดกบาล ถึงแม้ว่าบางอย่างจะมีการแทรกความบันเทิงจากการปรุงแต่งส่วนตัวของปู่ Martin ลงไปเล่นเพื่อเพิ่มอรรถรสของความสนุกขึ้นมาบ้าง แต่ไม่กระทบต่อ Timeline ที่ถูกบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์มากเท่าไหร่นัก ซึ่งองค์ประกอบทุกอย่างยังคงต้องการความ Classic สไตล์คนทำหนังยุค 60-70 ‘s ให้เด็กมันดูว่าสมัยหนุ่ม ๆ กูมีวิธีการทำหนังอย่างไรให้คนดูชื่นชอบในผลงานของกูได้ยาวนานมาจนถึงวันนี้ แม้กระทั่งภาพ Poster ที่ใจนึงมองแล้วรู้สึกว่าทำไมฝ่าย Art ถึงออกแบบแต่ละภาพได้เชยสนิทแต่พอลองมาคิดวิเคราะห์ในมุมของตนเองแล้วเข้าใจตัวปู่ที่ต้องการคาราวะในอุตสาหกรรมภาพยนตร์สำหรับคนที่รักการดูหนังที่เน้นความสุนทรียไม่เน้นเฉพาะความบันเทิงอย่างผมจะอินไปกับเรื่องราวได้ง่าย แม้จะไม่เคยอ่านหนังสือเรื่องนี้มาก่อนจนไม่ติดใจในเรื่อง Poster อีกต่อไป

-  การเล่าเรื่องอย่างที่กล่าวไปข้างต้นคือหนังจะเรียงลำดับเหตุการณ์ไป 1-2-3 ตามหน้าที่ถูกบันทึกด้วยความสงบ นิ่ง เรียบ ไหลไปข้างหน้าอย่างซื่อตรงค่อย ๆ ให้เราซึมซับกับบรรยากาศและเก็บ Details ที่ปู่หว่านลงข้างทางไปทีละนิด ซึ่งถ้าคนที่ชอบอะไร Slow ๆ Burn ๆ อย่างนี้จะถูกใจเป็นพิเศษ เปิดเรื่องมาถึงมีการเท้าความถึงชนกลุ่มอินเดียนแดงกำลังทำพิธีกรรมอะไรบางอย่างในกระท่อมจากนั้นจู่ ๆ น้ำมันก็ได้พุ่งออกมาจากพื้นดินแล้วชาวอินเดียนแดงต่างกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ จากนั้นภาพก็ปรากฎเป็นรถไฟกำลังวิ่งบนขบวนแล้วจอดที่ชานชาลาแห่งเมืองโอเสจกระทั่งมีชายคนหนึ่งลงจากรถไฟนั่นก็คือ Ernest หลังจากนั้นหนังก็จะเล่าเรื่องราวตระกูล Burkhart ที่มี William Hale มหาเศรษฐีคนขาวคุมดินแดนที่คนอินเดียนแดงอาศัยอยู่ถูกดำรงในสถานะทาสและทรัพย์สินเคลื่อนที่มีค่ามหาศาลให้คนขาวเลี้ยงดูปูเสื่อรอผลิดอกงอกเงยแล้วค่อยกำจัดทีหลัง ซึ่งเมื่อ Ernest กลับมาถึงก็ได้พบกับลุง Hale นั่งเม้ามอยถามไถ่สารทุกข์พร้อมกับกรอกหูด้วยการเล่าประวัติความเป็นมาของชนเผ่าโอเสจของอินเดียนแดงแล้วป้ายยาต่อด้วยการให้หนังสือต้นกำเนิดของเผ่าโอเสจให้อ่านจนสำเร็จ ต่อมาตัว Ernest ได้รู้จักกับ Mollie สาวชาวอินเดียนแดงจู๋จี๋กันก่อนที่จะแต่งงานมีลูกกันตามมา ซึ่งดูแค่นี้เรารู้อยู่แล้วว่าใครดีใครเลวแต่สิ่งที่หนังอยากจะสื่อมากกว่านั้นคือการสำรวจจิตใจของคนที่หยั่งลึกและซับซ้อนเกินกว่าจะรู้ เมื่อความอยากได้อยากมีอยู่เหนือกว่าการควบคุมจิตสำนึก ใจของคนก็พร้อมจะเปลี่ยนเป็นปีศาจร้ายเข่นฆ่าคนเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ถึงแม้ว่าสิ่งที่ทำไปมันเป็นสิ่งที่ผิดต่อศีลธรรมก็ตาม ซึ่งหนังใช้เวลาในการเล่าเรื่องส่วนนี้นานมาก ๆ แต่ความนานที่เต็มใจให้มาทำให้เรายินดีซึมซับกับบรรดาสภาพแวดล้อมบ้านเมืองในสมัยนั้นพร้อมกับภาพความโหดร้ายจากสงคราม การใช้ระบบศาลเตี้ยตัดสิน หรือการแย่งชิงทรัพยากรด้วยน้ำมือมนุษย์ ซึ่งปู่สามารถตีแผ่ประเด็นในส่วนนี้ได้สะเทือนใจมาก ๆ จนอยากจะร้องไห้ออกมา โดยเฉพาะ Scene ที่หญิงสาวคนหนึ่งยืนอุ้มลูกตรงหน้าบ้านกระทั่งมีชายคนหนึ่งโผล่จากหน้าต่างชักปืนยิงใส่ผู้หญิงจนหัวกระจุยล้มลงกับพื้น เดินไปวางปืนที่ยิงใส่มือของเธอแล้วอุ้มลูกเข้าไปในบ้านหรือกระทั่ง Scene ที่ Ernest กำลังจะนอนบนเตียงกับ Mollie จู่ ๆ มีเสียงระเบิดดังขึ้นจนกระจกที่หน้าต่างแตกกระจุย โอโห้ ผมนี้ทั้งตกใจกับเสียงปืนและเสียงระเบิดที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวแล้วยังสตั๊นท์กับความป่าเถื่อนของคนที่สามารถกระทำอะไรก็ได้ ไม่พอใจใครก็ชักปืนยิงใส่ปั๊ง ๆ เพียงแค่ไม่ได้ดั่งใจตนเองหรือเพื่อผลประโยชน์จากคนอื่นได้ลงคอ โคตรบ้านป่าเมืองเถื่อนชิปหาย 

- ระหว่างทางก็มีการแทรกภาพถ่ายขาว-ดำปรากฎทีละเฟรมคั่นไว้เป็นระยะ นอกจากจะอ้างอิงเหตุการณ์ได้ว่าเคยเกิดขึ้นขณะนั้นแล้วถึงทั้งเพิ่มให้ข้อมูลมีน้ำหนักที่น่าเชื่อถือขึ้นไปอีกจนกระทั่งการมาเยือนของ Tom White ที่รับบทโดย Jesse Plemons เจ้าหน้าที่ตำรวจจากวอชิงตันเดินทางมาสืบคดีด้วยตนเองจากการได้รับแจ้งข่าวการฆาตกรรมชาวอินเดียนแดงในเมืองโอเสจจาก Mollie ภรรยาของ Ernest ในช่วงนี้ผมจึงเริ่มเห็นแสงสว่างขึ้นมาทันทีหลังจากที่ก่อนหน้านี้หนังมาโทนนิ่งแต่อบอวลด้วยความหดหู่แทบจะไม่ไหวติง 

-  ขณะดูยอมรับว่าหาวบ้างเป็นระยะเพราะผลจากการนั่งอยู่กับที่นาน ๆ บวกแช่แอร์เย็น ๆ เลยเข้าไปทำปฎิกิริยาในร่างกายให้แสดง Effect ออกมาอย่างนั้นแต่ไม่วูบหลับและไม่รู้สึกปวดฉี่แม้แต่นิดเดียว ก็เพราะ Details ทุกอย่างที่ถูกถ่ายทอดออกมาโดยเฉพาะเรื่องราวของอินเดียนแดงที่ส่วนมากจะเป็นเรื่องที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนปู่ก็บริการความรู้ให้เต็มที่จนรู้สึกว่ามากเกินไปจนเก็บไว้ไม่หมด แม้ว่า Scene Action ที่แทบไม่มีหรือจังหวะการเล่าที่ไม่ได้มุทะลุประตูลิ่มเหมือนเรื่องก่อน ๆ โน้นแต่ไม่ลืมลายเซ็นความเป็น Gangster ตามสไตล์ของปู่ที่คนเคยติดตามผลงานของปู่เรื่องก่อน ๆ จะรู้กันดีเสิร์ฟเข้ามาน้อยแต่มาทีเดือด ๆ เน้น ๆ 

- ทั้งด้านการแสดงของเฮีย Leo ตอนนั่งดูผมนึกถึง Character ตอนเฮียเรื่อง The Wolf of Wall Street (2013) เข้ามาในหัวตรงทีตัวละครมีความซื่อ ความโลภ และทะเยอทะยาน เริ่มจากคนที่ไม่มีอะไรขึ้นไปสู่ตำแหน่งสูงสุดมีอำนาจในมือ แตกต่างกันที่เรื่องนี้มีความบื้อเข้าไป รักตัวกลัวเป็นในฐานะหัวหน้าครอบครัว สามีและลูก ๆ ของเขาจนทำให้เราสัมผัสได้ถึงความเป็นมนุษย์ได้มากกว่าความฉลาด เจ้าเล่ห์ เอาตัวรอดเก่งเหมือนกับเรื่องนั้นจนงี่เง่าให้ลุง Hale ตามดุด่าว่ากล่าวบ่อย ๆ จนผมคิดกับตนเองว่าตกลงเป็นลุงหรือพ่อกันแน่วะ เอาดี ๆ กับ ลุง Robert ที่พกประสบการณ์จากการเป็นผู้มีอำนาจทุกรูปแบบคราวนี้มาในมาดที่คุ้นเคยอย่างมาเฟียในคราบผู้ปกครองและผู้ (เส) สร้างนำใจชาวเมืองด้วยความเลื่อมใสและยำเกรง ทั้ง 2 คนนี้เชื่อใจในฝีมือจากที่เคยร่วมงานกันมาอยู่แล้วรวมถึงการคว้ารางวัลออสการ์เป็นเครื่องการันตี แต่ที่ Surprise คือการแสดงของนางเอก Lily Gladstone ที่ชวนดึงดูดสะกดใจให้ผมติดตาม Story ความเป็นไปของเธอที่ยืนอยู่บนเส้นด้ายบาง ๆ ท่ามกลางดงสิงห์สาราสัตว์ในร่างคนขาวตั้งแต่ต้นจนจบแถมยังสามารถเทียบชั้น 2 คนนั้นได้อย่างสง่าผ่าเผยโดยไม่ถูกกลบแสงไปอีกด้วย หลังจากดูจบสมควรอย่างยิ่งที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมปีหน้าแล้วก็เชียร์อยากให้ได้มากจริง ๆ 

- ที่ติก็มีอยู่ 2 อย่างคือใน Part สืบสวนของฝั่งตำรวจ กับ Part ในศาลยังไม่ค่อยเข้มข้นเท่าไหร่ การติดตามสืบสวนหรือแผนการจับกุมคนร้ายหรือการไต่สวนพิจารณาคดีคือนำเสนอไปอย่างรวบง่ายไปหน่อยให้พอเป็นพิธีว่ากูลงพื้นที่หาวัตถุพยานแล้วนะ กูสอบถามพยานในที่เกิดเหตุแล้วนะ แถมกูจับคนร้ายให้พวกดูได้แล้วนะ แต่ไม่ได้เจาะลึกถึงตอนชิงไหวชิงพริบของฝั่งคนร้ายกับตำรวจให้เห็นกันตรง ๆ เลยขาดความตื่นเต้นในส่วนนี้ที่ควรจะมีในหนังประเภทนี้ไปอย่างน่าเสียดายนิด ๆ คือรู้อยู่ว่าใครเป็นคนทำแต่อยากให้เพิ่ม Scene ไล่ล่าระหว่างฝั่งคนขาวกับฝั่งตำรวจลงไปมากกว่าหน่อยผมว่ามันจะเพิ่มทิศทางในการเล่าให้มีชั้นเชิงขึ้นและกระชากอารมณ์ของคนดูให้พีคไปอีกขั้น อย่างเช่นเรื่อง Heat (1995) เป็นต้น อีกทั้งแม้ว่าจะได้พลังการแสดงของเฮีย Brandon Fraser ที่รับบทเป็น W.S. Hamilton ทนายความของ William Hale เหมือนเฮียยังติดลมจาก The Whale (2022) อยู่เลย โผล่มาปุ๊ปเฮียแกใส่อารมณ์ชุดใหญ่ไฟกะพริบจนทำให้ Scene นั้นมีความดุดันไม่เกรงใครขึ้นมาทันที ถึงแม้จะมาไม่มากเท่าคนอื่นนัก ถ้าเทียบกับความถ่อยของพวกคนขาวที่กระทำต่อคนอินเดียนแดงอย่างอุกอาจแต่ละครั้งนี้เรียกว่าโหดสุดตีนจนไม่น่าเชื่อว่านี่คือการกระทำของคนที่บอกกับเพื่อนว่าตนเองเป็นประเทศแห่งเสรีภาพ

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ ติดตามช่องทาง Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
ชื่อสินค้า:   Review By EMCONCEPT
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่