ขอแนวคิดการใช้ชีวิตหลังเกษียณของคนทำงานบริษัทเอกชนด้วยค่ะ..ขอบคุณมากคะ

คนทำงานบริษัทเอกชน พอใกล้เกษียณนี่แอบเครียดอยู่น่ะ ว่าหลังเกษียณจะไปต่อยังไงดี?

...ซึ่งสำหรับคนทำราชการมีเงินบำนาญอยู่แล้วความกังวลใจอาจจะน้อยกว่า แต่คนทำเอกชนนี่ซิ..บอกเลยกังวลมาก!!
    ยิ่งในสภาวะที่เงินมีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตด้วยแล้ว รบกวนขอแชร์ไอเดียจากหลายๆท่านที่ใกล้เกษียณหรือท่านที่เกษียณไปแล้วและมีชีวิตที่ดีจากการวางแผนหลังเกษียณ ..ขอบคุณมากค่ะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 14
โดยปกติ คนทำงานส่ง ปกส. มาตั้งแต่ปี 2542 น่าจะมีบำำนาญใช้ขั้นต่ำประมาณ 5 พันบาททุกเดือนจนตาย บวกกับ เงินชนราภาพ 600 บาท และใช้สิทธ บัตรทอง แค่นี้ชีวิตอยู่ได้สบายแล้วครับ (ต้องมีบ้านปลอดภาระนะ)

ค่ากินทำอาหารทานเอง วันนึงไม่เกิน ร้อยบาท เดือนนึงก็ 3 พัน  ค่าไฟค่าน้ำ ค่าเนต รวม 1 พันต่อเดือน  ที่เหลือ ก็จิปาถะ

ผมเกษียณ ฝึกใช้ชีวิตมาแล้ว ประมาณนี้ สบายมาก ไปไหนมาไหนก็ขี่จักรยาน ไม่มีค่าน้ำมันเลย  แล้วก็มีปลูกผักผลไม้ เก็บกินลดต้นทุนชีวิตได้อีกเยอะเลยครับ

ใช้ชีวิตง่าย ๆ แบบนี้แหละชีวิตมีความสุขดี ไม่ต้องคิดอะไรมาก ถ้าอยากมีรายได้เพิ่ม ก็แค่ลองไปค้าขายในตลาด หรือ หาอาชีพเสริม ก็เท่านั้นเอง ชีวิตทำให้ง่ายมันก็ง่าย  แต่ถ้าจะเอาแบบฟุ้งเฟ้อ หรูหรา มันก็ยาก  ทุกอย่างอยู่ที่เรา ว่าจะเลือกชีวิตแบบไหนต่างหากครับ
ความคิดเห็นที่ 43
ทำงานเอกชนวางแผนสร้าง passive income ตอนอายุประมาณ 40 ปี ตามอุปนิสัยตนเอง 1.เป็นคนประหยัด 2.สันโดดสมถะหน่อย 3.อยู่อย่างจนกว่ารายได้ได้ ผ่อนอสังหาริมทรัพย์(เหลือเท่าใดกินให้พอเพียงเท่านั้นแต่ละเดือน ไม่ยอมเป็นหนี้เพื่อนนำเงินมากินมาใช้) ก็เริ่มมาจาก 0 หรือติดลบมาก่อนเช่นกัน ไม่มีมรดกมีแต่เรียนจบ ป.ตรี

    จึงยอมผ่อนบ้านหลังที่ 2 คือผ่อนหลังแรกอยู่อาศัย ประมาณ 5-6 ปี อายุก็เข้าใกล้ 50 ปี  เมื่อเงินเดือนสูงขึ้น ก็ซื้อผ่อนหลังที่ 2 ที่ใหญ่ขึ้นเป็นบ้านเดียว แล้วหลังแรกก็ปล่อยให้เช่า คิดว่าได้ค่าเช่าเดือนละ 3 พันบาทหลังเกษียณเราก็อยู่ได้แล้ว กลายเป็นการแบกผ่อนบ้าน 3 หลัง เพราะมีบ้านชั้นเดียวของการเคหะที่ภรรยาผ่อนมาก่อนแล้ว เลยเกิดสภาวะตึงมือไปหน่อย จึงขายหลังชั้นเดียวการเคหะได้เงินมาโปะเพิ่มให้กับบ้านทาวส์เฮ้า 2 ช้น จึงคลายความตึงเครียดในครอบครัวไปหน่อยหนึ่ง

    แล้วโชคดีหน่อยหนึ่งที่บริษัทให้รถมาใช้ฟรี เติมแค่น้ำมันอย่างเดียว (ไม่ใช่ตำแหน่งเชล) เมื่อผ่อนบ้านทาวส์เฮ้าใกล้หมดหนี้(ผ่อนบ้านทาวส์เฮ้าน้อยลงเพราะมีค่าเช่าบ้านมาช่วยระดับหนึ่ง) ก็เอาบ้านทาวส์เฮ้าเข้าแบ็งใหม่ ได้เงินก้อนมา ซื้อที่ดิน 2 แปลงคือโฉนด 1 แปลง และ พปท.5 อีก 1 แปลง แต่แปลง พบท.5 โดนโกงไปหายให้กับมิจฉาชีพ

      จะเห็นว่าทุกอย่างที่ได้มา จากครอบครัวติดลบหรือเริ่มจาก 0 อย่างช้าๆ แล้วค่อยดีขึ้นไปตามลำดับ บ้านแต่ละหลังที่จะผ่อนได้ก็ผ่านการอยู่อาศัยเอง บ้านการเคหะชั้นเดียวอยู่ 8 ปี จึงพอผ่อนบ้านทาวส์เฮ้า 2 ชั้นอยู่อีก 5 ปี จึงพอมีกำลังผ่อนบ้านเดียว 2 ชั้น 51 ตรว. ไม่ใช่ได้มาแบบรวดเร็วเลย และยอมสละตนเองโดยส่วนตัวมีเงินเก็บแต่ละเดือนเป็น 0 บาท เพื่อให้ครอบครัว 4 คนไม่ตึงเครียดมากเพราะประหยัดเกินไป ผมอยู่ในสภาวะมีเงินเก็บเพิ่มเป็น 0 เป็นเวลาเกือบ 10 ปี และในปลายปี 2542 ทางประกันสังคมเก็บเงินเพื่อบำนาญชราภาพ ก็อุ่นใจในระดับหนึ่งว่า...

       หลังเกษียนผมก็จะมีเงินแบบ passive income ค่าเช่า 3.000 ค่าบำนาญชราภาพอีกประมาณ 4 พัน และเงินคนแก่เมื่อ 60 ปีอีก 600 ก็ได้ประมาณ 7-8 พันต่อเดือน จึงบอกเด็ดขาดกับภรรยาและลูกว่า ผมจะไม่ผ่อนซื้อบ้านเพิ่มอีกแล้ว จะเริ่มเก็บเงิน และก็ได้ประเมินแล้วว่าผมเกษียณ 60 ปี ผมจะมีเงินเก็บส่วนตัวประมาณ 2 ล้านบาท. และจะมี passive income เป็น 8-9 พันบาทต่อเดือน เพราะได้ค่าเช่าบ้านเพิ่มขึ้นตามสภาวะเงินเฟ้อได้บ้าง.

        แต่แผนเก็บเงินไม่ได้ตามเป้า เพราะแม่ผมเกิดติดเตียง เมื่อประเมินแล้วผมต้องจ่ายให้แม่ประมาณล้านบาทขึ้นไปแน่ เมื่อเห็นแล้วว่าผมจะมีเงินเก็บส่วนตัวไม่ถึงล้านและมี  passive income ประมาณ 8-9 ต่อเดือนไม่ดีแน่ อายุก็ 56 ปีแล้ว และได้ซื้อที่ดินเพิ่มอีก 1 แปลงชานขอบ กทม.  ตอนนั้นบ้านและที่ดินได้เริ่มปลดหนี้เป็น 0 แล้ว ผมและภรรยาจึงตัดสินใจซื้อผ่อนคอนโดติดรถไฟฟ้า ในราคาไม่เกิน 1 ล้าน(ตอนนั้นราคานี้ยังหาได้อยู่ หลังจากนั้นไม่มีอีกแล้ว)  เพื่อให้ผมมี  passive income ประมาณ 1.2-1.5 หมื่นบาทต่อเดือน  เพราะภรรยาเขาก็จะมีบำนาญข้าราชการอยู่เมื่อยามเกษียณหรือลาออกก่อนอายุ 60 ปี (2.5 - 3.8 หมื่นบาทต่อเดือน)

     ก็ดำเนินไปตามเป้าหมายทุกอย่างเมื่อผมเกษียณ 60 ปี ปลดหนี้เป็น 0 ทั้งบ้าน รถ ที่ดิน มีรายได้แบบไม่ต้องทำงาน 1.2-1.5 หมื่นบาทต่อเดือน มีเงินเก็บแค่ 5-7 แสนบาท รวมเงินค่าเกษียณแล้ว หลังจากแชรกับภรรยาซื้อรถมือสองราคาเกือบ 4 แสนให้ลูกชายที่เรียนจบ ป.ตรี(เกียรตินิยม) ใช้ 1 คัน.

       แต่ผมเกษียณแล้วบริษัทยังให้ผมทำงานต่อแบบคนแก่หรือ  freelance อีกเกือบ 2 ปี ผมก็เก็บเงินส่วนตัวได้ 1 ล้านแรกของชีวิต อายุก็ 62 ปีแล้ว ต่อมาผมก็ยกงานให้ลูกชายคนเล็กที่เจอวิกฤตโควิทไปทำแทน ผมเหลือแค่ 2 วันต่อเดือนเพียงเป็นที่ปรึกษา  ก็มีรายได้แบบทำงานน้อยมากต่อเดือนเกือบ 2 หมื่นบาท บวกกับลูกคนโตให้อีกรวมเป็น 2.6 หมื่นบาท

       เมื่อผม 64 ย่าง 65 ปีภรรยเสีย ผมกลัวเหงาเกินไปจึงรับงานจากบริษัทเพื่อนที่ขอให้ช่วยนานแล้ว จึงไปช่าย 4 วันต่อเดือนได้อีก 1 หมื่นบาท รวมแล้วปัจจุบันผมมีรายได้แบบทำงานน้อยมาก 6 วันต่อเดือน + passive income + อื่นๆ ถึง  3.6 หมื่นบาทต่อเดือน ไม่ต้องเอาเงินเก็บมากินใช่ไม่ต้องขายทรัพย์สินที่สร้างมา มูลค่าหลายล้านเพื่อเอามากินใช้ ก็จะตกไปถึงลูกและหลาน

         จึงเห็นว่า ปัญญาและความรู้ความสามารถ เปรียบดังอาวุธ(เครื่องมือ) สามารถนำใช้ให้ก่อเกิดรายได้มากินไช้ไม่หมดสิ้น.
ความคิดเห็นที่ 8
ดูแลสุขภาพให้ดี  หมั่นออกกำลังกาย  ควบคุมน้ำหนัก  อย่าหลงเชื่ออาหารเสริม   ใช้จ่ายประหยัด
ความคิดเห็นที่ 19
ข้าราชการเปรียบเสมือนหมาเฝ้าบ้าน ต่อให้แก่แล้ว เค้าก็ยังเลี้ยง ยังให้ข้าวให้น้ำ

แต่พนักงานบริษัทเอกชนเปรียบเสมือนหมาล่าเนื้อ  พอแก่แล้ว หมดเขี้ยวหมดแรงแล้ว ล่าเนื้อต่อไปไม่ได้แล้ว  เค้าก็ไม่เลี้ยงแล้ว
ความคิดเห็นที่ 2
นอกจาก passive income เท่าที่จะทำได้แล้ว คุณต้องมีแผนว่าจะทำอะไรเพื่อไม่ให้เหงาอีกด้วยนะ

บางทีมีแต่เงิน แต่ใช้เงินไปวันๆแบบไม่มีเป็นหมาย ก็กลายเป็นซึมเศร้าได้เหมือนกัน ต้องคิดเผื่อเรื่องนี้ด้วยค่ะ

แนะนำว่าควรหา second job ตั้งแต่วันนี้เลย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่