.
.
.
... ดูกรพราหมณ์
กรรม ๔ ประการนี้ เรากระทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วประกาศให้ทราบ
๔ ประการเป็นไฉน
คือ กรรมดำมีวิบากดำก็มี
กรรมขาวมีวิบากขาวก็มี
กรรมทั้งดำทั้งขาวมีวิบากทั้งดำทั้งขาวก็มี
กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว
ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรมก็มี ฯ
ดูกรพราหมณ์ ก็กรรมดำมีวิบากดำเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อม
ปรุงแต่งกายสังขาร ... วจีสังขาร ... มโนสังขาร
อันมีความเบียดเบียน ... เขาอัน
ผัสสะที่มีความเบียดเบียนถูกต้องแล้ว ย่อมได้เสวยเวทนาอันมีความเบียดเบียน
เป็นทุกข์โดยส่วนเดียว เหมือนสัตว์นรก นี้เราเรียกว่ากรรมดำมีวิบากดำ ฯ
ดูกรพราหมณ์ ก็กรรมขาวมีวิบากขาวเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้
ปรุงแต่งกายสังขาร...วจีสังขาร...มโนสังขาร
อันไม่มีความเบียดเบียน...
เขาอันผัสสะที่ไม่มีความเบียดเบียนถูกต้องแล้ว ย่อมได้เสวยเวทนาอันไม่มีความ
เบียดเบียน เป็นสุขโดยส่วนเดียว เหมือนพวกเทพสุภกิณหะ นี้เราเรียกว่า
กรรมขาวมีวิบากขาว ฯ
ดูกรพราหมณ์ ก็กรรมทั้งดำทั้งขาว มีวิบากทั้งดำทั้งขาวเป็นไฉน บุคคล
บางคนในโลกนี้ ปรุงแต่งกายสังขาร...วจีสังขาร...มโนสังขารอันมีความ
เบียดเบียนบ้าง ไม่มีความเบียดเบียนบ้าง...เขาอันผัสสะอันมีความเบียดเบียน
บ้าง ไม่มีความเบียดเบียนบ้าง ถูกต้องแล้ว ย่อมได้เสวยเวทนาอันมีความ
เบียดเบียนบ้าง ไม่มีความเบียดเบียนบ้าง มีทั้งสุขและทุกข์ระคนกันเหมือน
มนุษย์ เทพบางพวก และวินิปาติกสัตว์บางพวก นี้เราเรียกว่ากรรมทั้งดำทั้งขาว
มีวิบากทั้งดำทั้งขาว ฯ
ดูกรพราหมณ์ ก็กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว ย่อมเป็นไป
เพื่อความสิ้นกรรม เป็นไฉน เจตนาใดเพื่อละกรรมดำมีวิบากดำในบรรดากรรม
เหล่านั้นก็ดี...นี้เราเรียกว่ากรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว ย่อมเป็นไป
เพื่อความสิ้นกรรม ดูกรพราหมณ์ กรรม ๔ ประการนี้แล เราทำให้แจ้งด้วย
ปัญญาอันยิ่งเองแล้วประกาศให้ทราบ ฯ
...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็
กรรมดำมีวิบากดำเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นผู้ฆ่ามารดา ฆ่าบิดา ฆ่าพระอรหันต์ มีจิตประทุษร้ายต่อพระตถาคต ยังพระ
โลหิตให้ห้อขึ้น ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน นี้เราเรียกว่ากรรมดำมีวิบากดำ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็
กรรมขาวมีวิบากขาวเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์
จากการลักทรัพย์
จากการประพฤติผิดในกาม
จากการพูดเท็จ
จากการพูดส่อเสียด
จากการพูดคำหยาบ
จากการพูดเพ้อเจ้อ
ไม่มากไปด้วยความเพ่งเล็ง
มีจิตไม่พยาบาท
มีความเห็นชอบ
นี้เราเรียกว่ากรรมขาว
มีวิบากขาว ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมทั้งดำทั้งขาว มีวิบากทั้งดำทั้งขาวเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร อันมีความเบียดเบียนบ้าง ไม่มี
ความเบียดเบียนบ้าง ฯลฯ นี้เราเรียกว่ากรรมทั้งดำทั้งขาว มีวิบากทั้งดำทั้งขาว ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็
กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว ย่อมเป็นไป
เพื่อความสิ้นกรรมเป็นไฉน
เจตนาใดเพื่อละกรรมดำอันมีวิบากดำในบรรดากรรม
เหล่านั้นก็ดี ฯลฯ นี้เราเรียกว่ากรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว ย่อมเป็น
ไปเพื่อความสิ้นกรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กรรม ๔ ประการนี้แล เรากระทำให้
แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วประกาศให้ทราบ ฯ
...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว ย่อมเป็น
ไปเพื่อความสิ้นกรรมเป็นไฉน
สัมมาทิฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นี้เราเรียกว่ากรรม
ไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว
ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม
ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย กรรม ๔ ประการนี้แล เราทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วประกาศ
ให้ทราบ ฯ
...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว ย่อมเป็นไป
เพื่อความสิ้นกรรมเป็นไฉน
สติสัมโพชฌงค์
ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์
วิริย-*สัมโพชฌงค์
ปีติสัมโพชฌงค์
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
สมาธิสัมโพชฌงค์
อุเบกขาสัมโพชฌงค์
นี้เราเรียกว่ากรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว ย่อม
เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กรรม ๔ ประการนี้แล เราทำ
ให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วประกาศให้ทราบ ฯ
**********
https://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=21&A=6195&Z=6386
**********
.
.
--- ศาสนาพุทธ แบ่ง การกระของคนตาม การทำดี การทำชั่ว การทำเพื่อความหลุดพ้น | ไม่แยก ตามการนับถือหรือไม่นับถือพุทธ
.
.
... ดูกรพราหมณ์
กรรม ๔ ประการนี้ เรากระทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วประกาศให้ทราบ
๔ ประการเป็นไฉน
คือ กรรมดำมีวิบากดำก็มี
กรรมขาวมีวิบากขาวก็มี
กรรมทั้งดำทั้งขาวมีวิบากทั้งดำทั้งขาวก็มี
กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว
ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรมก็มี ฯ
ดูกรพราหมณ์ ก็กรรมดำมีวิบากดำเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อม
ปรุงแต่งกายสังขาร ... วจีสังขาร ... มโนสังขารอันมีความเบียดเบียน ... เขาอัน
ผัสสะที่มีความเบียดเบียนถูกต้องแล้ว ย่อมได้เสวยเวทนาอันมีความเบียดเบียน
เป็นทุกข์โดยส่วนเดียว เหมือนสัตว์นรก นี้เราเรียกว่ากรรมดำมีวิบากดำ ฯ
ดูกรพราหมณ์ ก็กรรมขาวมีวิบากขาวเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้
ปรุงแต่งกายสังขาร...วจีสังขาร...มโนสังขาร อันไม่มีความเบียดเบียน...
เขาอันผัสสะที่ไม่มีความเบียดเบียนถูกต้องแล้ว ย่อมได้เสวยเวทนาอันไม่มีความ
เบียดเบียน เป็นสุขโดยส่วนเดียว เหมือนพวกเทพสุภกิณหะ นี้เราเรียกว่า
กรรมขาวมีวิบากขาว ฯ
ดูกรพราหมณ์ ก็กรรมทั้งดำทั้งขาว มีวิบากทั้งดำทั้งขาวเป็นไฉน บุคคล
บางคนในโลกนี้ ปรุงแต่งกายสังขาร...วจีสังขาร...มโนสังขารอันมีความ
เบียดเบียนบ้าง ไม่มีความเบียดเบียนบ้าง...เขาอันผัสสะอันมีความเบียดเบียน
บ้าง ไม่มีความเบียดเบียนบ้าง ถูกต้องแล้ว ย่อมได้เสวยเวทนาอันมีความ
เบียดเบียนบ้าง ไม่มีความเบียดเบียนบ้าง มีทั้งสุขและทุกข์ระคนกันเหมือน
มนุษย์ เทพบางพวก และวินิปาติกสัตว์บางพวก นี้เราเรียกว่ากรรมทั้งดำทั้งขาว
มีวิบากทั้งดำทั้งขาว ฯ
ดูกรพราหมณ์ ก็กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว ย่อมเป็นไป
เพื่อความสิ้นกรรม เป็นไฉน เจตนาใดเพื่อละกรรมดำมีวิบากดำในบรรดากรรม
เหล่านั้นก็ดี...นี้เราเรียกว่ากรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว ย่อมเป็นไป
เพื่อความสิ้นกรรม ดูกรพราหมณ์ กรรม ๔ ประการนี้แล เราทำให้แจ้งด้วย
ปัญญาอันยิ่งเองแล้วประกาศให้ทราบ ฯ
...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมดำมีวิบากดำเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นผู้ฆ่ามารดา ฆ่าบิดา ฆ่าพระอรหันต์ มีจิตประทุษร้ายต่อพระตถาคต ยังพระ
โลหิตให้ห้อขึ้น ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน นี้เราเรียกว่ากรรมดำมีวิบากดำ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมขาวมีวิบากขาวเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์
จากการลักทรัพย์
จากการประพฤติผิดในกาม
จากการพูดเท็จ
จากการพูดส่อเสียด
จากการพูดคำหยาบ
จากการพูดเพ้อเจ้อ
ไม่มากไปด้วยความเพ่งเล็ง
มีจิตไม่พยาบาท
มีความเห็นชอบ
นี้เราเรียกว่ากรรมขาว
มีวิบากขาว ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมทั้งดำทั้งขาว มีวิบากทั้งดำทั้งขาวเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร อันมีความเบียดเบียนบ้าง ไม่มี
ความเบียดเบียนบ้าง ฯลฯ นี้เราเรียกว่ากรรมทั้งดำทั้งขาว มีวิบากทั้งดำทั้งขาว ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว ย่อมเป็นไป
เพื่อความสิ้นกรรมเป็นไฉน
เจตนาใดเพื่อละกรรมดำอันมีวิบากดำในบรรดากรรม
เหล่านั้นก็ดี ฯลฯ นี้เราเรียกว่ากรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว ย่อมเป็น
ไปเพื่อความสิ้นกรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กรรม ๔ ประการนี้แล เรากระทำให้
แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วประกาศให้ทราบ ฯ
...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว ย่อมเป็น
ไปเพื่อความสิ้นกรรมเป็นไฉน
สัมมาทิฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นี้เราเรียกว่ากรรม
ไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว
ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม
ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย กรรม ๔ ประการนี้แล เราทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วประกาศ
ให้ทราบ ฯ
...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว ย่อมเป็นไป
เพื่อความสิ้นกรรมเป็นไฉน
สติสัมโพชฌงค์
ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์
วิริย-*สัมโพชฌงค์
ปีติสัมโพชฌงค์
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
สมาธิสัมโพชฌงค์
อุเบกขาสัมโพชฌงค์
นี้เราเรียกว่ากรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว ย่อม
เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กรรม ๔ ประการนี้แล เราทำ
ให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วประกาศให้ทราบ ฯ
**********
https://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=21&A=6195&Z=6386
**********
.
.