เกริ่นนำ
——————-
สำหรับมนุษย์ออฟฟิศอย่างเรา คงหนีไม่พ้นกับการทำงานร่วมกับคนหลายแบบ แต่ที่รู้สึกอึดอัดคงจะเป็นมนุษย์อีโก้นี่ล่ะ
เพราะอะไรๆ ก็ไม่ได้ดั่งใจเรา เพราะเราก็เป็นมนุษย์อีโก้เหมือนกันไงล่ะ
จะว่าไปเราก็ร่วมงานกับมนุษย์อีโก้ผู้นี้มาได้จะสิบปีละ อยู่กันคนละแผนก แต่ต้องมีดีลงานกันตลอด
และด้วยที่ว่าอยู่กันคนละแผนก แน่นอน มีสิ่งที่เรารู้แต่นางไม่รู้ หรือนางรู้แต่เราไม่รู้เวลาคุยงานกัน
ช่วงแรกๆ ก็จะมีแลกเปลี่ยนความรู้กัน แต่ช่วงหลังๆ มันไม่ใช่แบบนั้นล่ะ
คำพูดและการกระทำที่เราสัมผัสได้ก็เช่น
- ไม่ใช่หน้าที่ ทำไมต้องรู้
- เวลาเราอธิบายปัญหาแบบละเอียด (เจตนาคือให้นางสื่อสารกับลูกค้า) นางจะตอบกลับมาว่า “รู้แล้ว”
- มีการเอาเรื่องส่วนตัวเราพูดจากระแทกแDกดันกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น
และด้วยความที่เราก็อีโก้กลับไปด้วยเช่นกัน หลังๆ งานที่ดีลกันเริ่มมีปัญหา เพราะตัวเราเองก็เบื่อที่จะสื่อสารกับนาง
สื่อสารกันทีไร เป็นต้องสาดความรู้ ความเห็นตัวเองกันเข้าไป และมันก็เกิดความขัดแย้งขึ้น
นี่เลยว่าไม่ได้ละ ต้องทำอะไรสักอย่าง เลยตัดสินใจทำอะไรบางอย่างนั่นคือ การลดระดับความสัมพันธ์กับนางลง
ไทม์ไลน์ความสัมพันธ์
——————-
ช่วง 1-2 ปีแรก เป็นช่วงปรับตัวเราเองให้เข้ากับบริษัท เลยต้องพยายามมีมนุษย์สัมพันธ์กับเเพื่อนร่วมงาน
ช่วงนี้จะมีการพบปะพูดคุยเรื่องส่วนตัวระดับนึง รวมถึงยังมีการแลกเปลี่ยนเรื่องงานในเรื่องใหม่ๆ กันบ้าง
3-5 ปี เป็นช่วงที่ความสัมพันธ์ส่วนตัวสนิทขั้นสุด มีการไปมาหาสู่ที่บ้าน ไปเที่ยวกันข้างนอก
ในขณะที่ความสัมพันธ์เรื่องการทำงานกลับแย่ลง เพราะต่างฝ่ายต่างสู้กันด้วยอีโก้
6 ปี ถึงปัจจุบัน ตัดสินใจวางตัวใหม่ ลดระดับความสัมพันธ์ ลดอีโก้ตัวเองลง (แต่นางยังมีอยู่)
จุดแตกหัก
——————-
การปะทะกันระหว่างเรากับนางนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นการโต้แย้งตามอีโก้ของตัวเองในเรื่องเนื้องาน
อันนี้คือต่างคนต่างมีความคิดของตัวเองในขอบเขตงานที่ตัวเองได้รับ และคิดว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูกต้อง อีกฝ่ายต้องทำตาม
เถียงกันไปเถียงกันมาไม่มีวันจบ บางเรื่องนางยอมเรา บางเรื่องเรายอมนาง สลับๆ กันไป ช่วงนั้นสงครามประสาทรายวันกันเลยทีเดียว
นอกจากนั้น สงครามของเราสองคน ส่งผลกระทบต่องาน เมื่อการสื่อสารไม่ได้เรื่อง งานที่ออกมามีข้อผิดพลาด เกิดความเสียหาย
รวมถึงปฏิกิริยาส่วนตัว เช่น เรื่องที่นางสู้เราไม่ได้ (เราถูก) นางก็แDกดัน จิกกัด เรื่องส่วนตัวเรากับเพื่อนร่วมงานคนอื่น
ออกแนวยกตนข่มท่าน พอเจอแบบนั้นบ่อยๆ เข้า จู้จี้รู้สึกเครียดสะสม เลยคิดละว่าจะทำยังไงดี
ทำความเข้าใจ
——————-
อันนี้เปิดตำราจิตวิทยากันเลยทีเดียว เค้าว่ากันว่า คนมีอีโก้ มักจะขาดความภาคภูมิใจในตัวเอง และต้องการยอมรับจากผู้อื่น
เลยต้องสร้างภาพออกมาในทางตรงกันข้าม
เราก็มองที่ตัวเองและตัวนาง ปมของเราเอง เมื่อเราทำความเข้าใจกับมัน นึกถึงผลเสียที่ได้รับ
ในกรณีที่ยังดึงดันทำมันต่อ ก็มีความคิดอยากจะแก้ไขตัวเองด้วยการจะพยายามลดอีโก้ตัวเองลง
ส่วนกรณีถ้านางยังคงอีโก้กลับมาหาเรา เราก็จะปล่อยวาง อยากทำอะไรทำไป ถ้ามันไม่ส่งผลกระทบต่อเรื่องงานมากนัก
เรื่องงานในส่วนของเรา ก็ต้องรักษามาตรฐานของตัวเองไว้ ไม่มีอะไรได้ดั่งใจ ก็ต้องทำเอง คิดซะว่าเป็นการเรียนรู้งานใหม่ๆ
ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวก็ลดลง เรียกได้ว่าไม่มีปฏิสัมพันธ์กันเลยทีเดียว คือไม่คุยเรื่องส่วนตัว ไม่ไปมาหาสู่กันอีกต่อไป
อันนี้คิดเอาเองว่า จะได้ลดเรื่องที่นางชอบเอาเรื่องส่วนตัวไปพูดแดกดันกับคนอื่น
ผลลัพธ์
——————-
หลังจากตัดสินใจลดอีโก้ตัวเองลง เวลาคุยกันเรื่องงานตัวเราเองก็ทำงานแบบรักษามาตรฐานของตัวเอง
จุกจิกยังไงก็เหมือนเดิม แต่คราวนี้ไปจ้ำจี้จ้ำไชนางละว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้
งานที่ออกมาปัญหาน้อยลง เพราะจุดไหนที่เราเห็นว่ามีปัญหาจะจัดการทำเอง (ในกรณีที่ทำได้ ไม่ได้ก็แจ้งนาย)
ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัว ก็ลดลงแทบไม่เหลือเลย ทุกวันนี้คือเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน
อีโก้ตัวเองที่มีก็ลดลงไม่ได้ทั้งหมด แต่ทุกวันนี้ยังพยายามให้มันเหลือน้อยที่สุด ไม่ใช่แค่เรื่องงาน แต่เป็นอีโก้เรื่องอื่นๆ ด้วย
บทสรุป
——————-
แก้ที่คนอื่นไม่ได้ ให้แก้ที่ตัวเราเอง
เอาเป็นว่าใครเคยมีปัญหาเรื่องเพื่อนร่วมงานที่มีอีโก้ เราลองมาแชร์ปัญหาและวิธีแก้ไขกันบ้างดีมั้ยคะ
ปล. บทความนี้เป็นบทความเก่าที่เราเคยลงไว้ในเพจเล็กๆ ถ้าใครเคยอ่านมาแล้วเป็นของเราเองค่า
อึดอัดกับเพื่อนร่วมงานที่มีอีโก้จัดๆ กันบ้างมั้ยคะ
——————-
สำหรับมนุษย์ออฟฟิศอย่างเรา คงหนีไม่พ้นกับการทำงานร่วมกับคนหลายแบบ แต่ที่รู้สึกอึดอัดคงจะเป็นมนุษย์อีโก้นี่ล่ะ
เพราะอะไรๆ ก็ไม่ได้ดั่งใจเรา เพราะเราก็เป็นมนุษย์อีโก้เหมือนกันไงล่ะ
จะว่าไปเราก็ร่วมงานกับมนุษย์อีโก้ผู้นี้มาได้จะสิบปีละ อยู่กันคนละแผนก แต่ต้องมีดีลงานกันตลอด
และด้วยที่ว่าอยู่กันคนละแผนก แน่นอน มีสิ่งที่เรารู้แต่นางไม่รู้ หรือนางรู้แต่เราไม่รู้เวลาคุยงานกัน
ช่วงแรกๆ ก็จะมีแลกเปลี่ยนความรู้กัน แต่ช่วงหลังๆ มันไม่ใช่แบบนั้นล่ะ
คำพูดและการกระทำที่เราสัมผัสได้ก็เช่น
- ไม่ใช่หน้าที่ ทำไมต้องรู้
- เวลาเราอธิบายปัญหาแบบละเอียด (เจตนาคือให้นางสื่อสารกับลูกค้า) นางจะตอบกลับมาว่า “รู้แล้ว”
- มีการเอาเรื่องส่วนตัวเราพูดจากระแทกแDกดันกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น
และด้วยความที่เราก็อีโก้กลับไปด้วยเช่นกัน หลังๆ งานที่ดีลกันเริ่มมีปัญหา เพราะตัวเราเองก็เบื่อที่จะสื่อสารกับนาง
สื่อสารกันทีไร เป็นต้องสาดความรู้ ความเห็นตัวเองกันเข้าไป และมันก็เกิดความขัดแย้งขึ้น
นี่เลยว่าไม่ได้ละ ต้องทำอะไรสักอย่าง เลยตัดสินใจทำอะไรบางอย่างนั่นคือ การลดระดับความสัมพันธ์กับนางลง
ไทม์ไลน์ความสัมพันธ์
——————-
ช่วง 1-2 ปีแรก เป็นช่วงปรับตัวเราเองให้เข้ากับบริษัท เลยต้องพยายามมีมนุษย์สัมพันธ์กับเเพื่อนร่วมงาน
ช่วงนี้จะมีการพบปะพูดคุยเรื่องส่วนตัวระดับนึง รวมถึงยังมีการแลกเปลี่ยนเรื่องงานในเรื่องใหม่ๆ กันบ้าง
3-5 ปี เป็นช่วงที่ความสัมพันธ์ส่วนตัวสนิทขั้นสุด มีการไปมาหาสู่ที่บ้าน ไปเที่ยวกันข้างนอก
ในขณะที่ความสัมพันธ์เรื่องการทำงานกลับแย่ลง เพราะต่างฝ่ายต่างสู้กันด้วยอีโก้
6 ปี ถึงปัจจุบัน ตัดสินใจวางตัวใหม่ ลดระดับความสัมพันธ์ ลดอีโก้ตัวเองลง (แต่นางยังมีอยู่)
จุดแตกหัก
——————-
การปะทะกันระหว่างเรากับนางนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นการโต้แย้งตามอีโก้ของตัวเองในเรื่องเนื้องาน
อันนี้คือต่างคนต่างมีความคิดของตัวเองในขอบเขตงานที่ตัวเองได้รับ และคิดว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูกต้อง อีกฝ่ายต้องทำตาม
เถียงกันไปเถียงกันมาไม่มีวันจบ บางเรื่องนางยอมเรา บางเรื่องเรายอมนาง สลับๆ กันไป ช่วงนั้นสงครามประสาทรายวันกันเลยทีเดียว
นอกจากนั้น สงครามของเราสองคน ส่งผลกระทบต่องาน เมื่อการสื่อสารไม่ได้เรื่อง งานที่ออกมามีข้อผิดพลาด เกิดความเสียหาย
รวมถึงปฏิกิริยาส่วนตัว เช่น เรื่องที่นางสู้เราไม่ได้ (เราถูก) นางก็แDกดัน จิกกัด เรื่องส่วนตัวเรากับเพื่อนร่วมงานคนอื่น
ออกแนวยกตนข่มท่าน พอเจอแบบนั้นบ่อยๆ เข้า จู้จี้รู้สึกเครียดสะสม เลยคิดละว่าจะทำยังไงดี
ทำความเข้าใจ
——————-
อันนี้เปิดตำราจิตวิทยากันเลยทีเดียว เค้าว่ากันว่า คนมีอีโก้ มักจะขาดความภาคภูมิใจในตัวเอง และต้องการยอมรับจากผู้อื่น
เลยต้องสร้างภาพออกมาในทางตรงกันข้าม
เราก็มองที่ตัวเองและตัวนาง ปมของเราเอง เมื่อเราทำความเข้าใจกับมัน นึกถึงผลเสียที่ได้รับ
ในกรณีที่ยังดึงดันทำมันต่อ ก็มีความคิดอยากจะแก้ไขตัวเองด้วยการจะพยายามลดอีโก้ตัวเองลง
ส่วนกรณีถ้านางยังคงอีโก้กลับมาหาเรา เราก็จะปล่อยวาง อยากทำอะไรทำไป ถ้ามันไม่ส่งผลกระทบต่อเรื่องงานมากนัก
เรื่องงานในส่วนของเรา ก็ต้องรักษามาตรฐานของตัวเองไว้ ไม่มีอะไรได้ดั่งใจ ก็ต้องทำเอง คิดซะว่าเป็นการเรียนรู้งานใหม่ๆ
ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวก็ลดลง เรียกได้ว่าไม่มีปฏิสัมพันธ์กันเลยทีเดียว คือไม่คุยเรื่องส่วนตัว ไม่ไปมาหาสู่กันอีกต่อไป
อันนี้คิดเอาเองว่า จะได้ลดเรื่องที่นางชอบเอาเรื่องส่วนตัวไปพูดแดกดันกับคนอื่น
ผลลัพธ์
——————-
หลังจากตัดสินใจลดอีโก้ตัวเองลง เวลาคุยกันเรื่องงานตัวเราเองก็ทำงานแบบรักษามาตรฐานของตัวเอง
จุกจิกยังไงก็เหมือนเดิม แต่คราวนี้ไปจ้ำจี้จ้ำไชนางละว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้
งานที่ออกมาปัญหาน้อยลง เพราะจุดไหนที่เราเห็นว่ามีปัญหาจะจัดการทำเอง (ในกรณีที่ทำได้ ไม่ได้ก็แจ้งนาย)
ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัว ก็ลดลงแทบไม่เหลือเลย ทุกวันนี้คือเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน
อีโก้ตัวเองที่มีก็ลดลงไม่ได้ทั้งหมด แต่ทุกวันนี้ยังพยายามให้มันเหลือน้อยที่สุด ไม่ใช่แค่เรื่องงาน แต่เป็นอีโก้เรื่องอื่นๆ ด้วย
บทสรุป
——————-
แก้ที่คนอื่นไม่ได้ ให้แก้ที่ตัวเราเอง
เอาเป็นว่าใครเคยมีปัญหาเรื่องเพื่อนร่วมงานที่มีอีโก้ เราลองมาแชร์ปัญหาและวิธีแก้ไขกันบ้างดีมั้ยคะ
ปล. บทความนี้เป็นบทความเก่าที่เราเคยลงไว้ในเพจเล็กๆ ถ้าใครเคยอ่านมาแล้วเป็นของเราเองค่า