ย้อนไปเมื่อปีก่อน หลังเกิดสงคราม Russia-Ukraine ยุโรปต้องเจอกับปัญหาพลังงานขาดแคลนทั้งทวีป เพราะแต่เดิมพึ่งพาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียเป็นหลัก ทำให้ตอนนั้นยุโรปต้องเร่งหาน้ำมันและก๊าซจากประเทศอื่นมาทดแทนส่วนที่หายไปให้ทันก่อนหน้าหนาว เพราะต้องใช้ไฟฟ้าทำความร้อน
.
สิ่งที่เกิดขึ้นคือสมดุล Demand-Supply เรือขนน้ำมันพังทลาย เพราะยุโรปต้องนำเข้าน้ำมันจาก US และ ประเทศตะวันออกกลางแทน เรือขนน้ำมันเลยต้องวิ่งเข้าหายุโรปมากขึ้น ด้วยระยะทางที่ไกลขึ้น แถมจำนวนเรือที่ขนได้ตอนนั้นก็มีจำกัด เพราะไม่มีใครคิดว่าจะเกิดสงครามขึ้น
.
เราเลยเห็นค่าขนส่งน้ำมันทางเรือพุ่งกระฉูด สังเกตจาก Baltic Clean Tanker Index (BAIT) ที่สะท้อนค่าส่งน้ำมันกลั่นในทะเลบอลติกซึ่งอยู่ในยุโรป เพิ่มขึ้นกว่า 4-5 เท่าในเวลาไม่นาน (ค่าขนส่งทางเรือส่วนใหญ่คิดตามขนาด สินค้าที่ส่ง และระยะทางเดินเรือ)
.
หุ้น TORM (NASDAQ: TRMD) ที่ Howard Marks เข้าลงทุน คือหนึ่งในตัวอย่างหุ้นที่ได้ประโยชน์โดยตรงจากเรื่องนี้ เพราะเป็นบริษัทที่ขนส่งน้ำมันกลั่นโดยเฉพาะ พอน้ำมันและจำนวนเรือเกิด Shortage แถมเรือต้องเดินทางไกลขึ้น ค่าส่งของ TORM ที่ได้ราว 10,000 เหรียญต่อวัน ก็พุ่งกลายเป็น 40,000 - 50,000 เหรียญต่อวันตามตลาดทันที เราเลยเห็นกำไร TORM พุ่งกระฉูด ส่วนราคาหุ้นก็วิ่งตาม BAIT ไปอย่างบ้าคลั่ง (เส้นแดงและเขียวในรูปด้านล่าง)
.
การศึกษา Commodity รวมถึง Supply Chain เลยไม่พ้นเรื่องสำคัญที่สุดอย่าง Demand-Supply ถ้าเรารู้ว่าใครเป็น Net Importer และ Exporter ในสินค้าอะไร เมื่อเกิดเหตุการณ์คล้ายกันอีกจะช่วยให้เรารู้ได้ทันทีว่าผลกระทบจะมีมากหรือน้อย และอาจคาดการณ์ Move ถัดไปได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เหมือนในตัวอย่างนี้ที่ Europe ต้องหันไปพึ่งคนอื่นแทนท่อจาก Russia ส่งผลให้ Demand เรือสูงขึ้น
.
มองไปข้างหน้า TORM ยังเห็นว่า Growth Supply เรือน้ำมันจะมีแค่ 1% ขณะที่ Demand จะเพิ่ม 3% เป็นแบบนี้ไปอีก 1-2 ปี ทำให้กว่า Demand-Supply เรือจะกลับมา Balance อาจต้องรอถึงปี 2026 เพราะตอนนี้ Capacity อู่ต่อเรือเต็มหมด แต่บริษัทเรือ Order มาไม่หยุด ไม่ว่าจะเรือน้ำมัน เรือ LNG หรือเรือ Container ธรรมดา เราเลยมองว่าค่าขนส่งเรือน้ำมันน่าจะยังค้างสูงไปอีกสักพัก
.
BottomLiner - บทสรุปการลงทุน
[หุ้นต่างประเทศ] ทำไมหุ้นเรือส่งน้ำมันถึงเป็นหนึ่งในกลุ่มที่พุ่งแรงหลังยุโรปแบนนำเข้าน้ำมันรัสเซีย!
.
สิ่งที่เกิดขึ้นคือสมดุล Demand-Supply เรือขนน้ำมันพังทลาย เพราะยุโรปต้องนำเข้าน้ำมันจาก US และ ประเทศตะวันออกกลางแทน เรือขนน้ำมันเลยต้องวิ่งเข้าหายุโรปมากขึ้น ด้วยระยะทางที่ไกลขึ้น แถมจำนวนเรือที่ขนได้ตอนนั้นก็มีจำกัด เพราะไม่มีใครคิดว่าจะเกิดสงครามขึ้น
.
เราเลยเห็นค่าขนส่งน้ำมันทางเรือพุ่งกระฉูด สังเกตจาก Baltic Clean Tanker Index (BAIT) ที่สะท้อนค่าส่งน้ำมันกลั่นในทะเลบอลติกซึ่งอยู่ในยุโรป เพิ่มขึ้นกว่า 4-5 เท่าในเวลาไม่นาน (ค่าขนส่งทางเรือส่วนใหญ่คิดตามขนาด สินค้าที่ส่ง และระยะทางเดินเรือ)
.
หุ้น TORM (NASDAQ: TRMD) ที่ Howard Marks เข้าลงทุน คือหนึ่งในตัวอย่างหุ้นที่ได้ประโยชน์โดยตรงจากเรื่องนี้ เพราะเป็นบริษัทที่ขนส่งน้ำมันกลั่นโดยเฉพาะ พอน้ำมันและจำนวนเรือเกิด Shortage แถมเรือต้องเดินทางไกลขึ้น ค่าส่งของ TORM ที่ได้ราว 10,000 เหรียญต่อวัน ก็พุ่งกลายเป็น 40,000 - 50,000 เหรียญต่อวันตามตลาดทันที เราเลยเห็นกำไร TORM พุ่งกระฉูด ส่วนราคาหุ้นก็วิ่งตาม BAIT ไปอย่างบ้าคลั่ง (เส้นแดงและเขียวในรูปด้านล่าง)
.
การศึกษา Commodity รวมถึง Supply Chain เลยไม่พ้นเรื่องสำคัญที่สุดอย่าง Demand-Supply ถ้าเรารู้ว่าใครเป็น Net Importer และ Exporter ในสินค้าอะไร เมื่อเกิดเหตุการณ์คล้ายกันอีกจะช่วยให้เรารู้ได้ทันทีว่าผลกระทบจะมีมากหรือน้อย และอาจคาดการณ์ Move ถัดไปได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เหมือนในตัวอย่างนี้ที่ Europe ต้องหันไปพึ่งคนอื่นแทนท่อจาก Russia ส่งผลให้ Demand เรือสูงขึ้น
.
มองไปข้างหน้า TORM ยังเห็นว่า Growth Supply เรือน้ำมันจะมีแค่ 1% ขณะที่ Demand จะเพิ่ม 3% เป็นแบบนี้ไปอีก 1-2 ปี ทำให้กว่า Demand-Supply เรือจะกลับมา Balance อาจต้องรอถึงปี 2026 เพราะตอนนี้ Capacity อู่ต่อเรือเต็มหมด แต่บริษัทเรือ Order มาไม่หยุด ไม่ว่าจะเรือน้ำมัน เรือ LNG หรือเรือ Container ธรรมดา เราเลยมองว่าค่าขนส่งเรือน้ำมันน่าจะยังค้างสูงไปอีกสักพัก
.
BottomLiner - บทสรุปการลงทุน