นักลงทุนประชาชนรายย่อยไทย เสียหายหลายแสนคนหรืออาจถึงล้าน สามารถฟ้องรัฐ -รัฐมนตรี 157 ได้หรือไม่ ถ้าขัดรัฐธรรมนูญ เรื่องการค้าเสรีที่เป็นธรรมราคพลังงาน น้ำมัน-ไฟฟ้า แทรกแซงบิดเบือนกลไกลตลาดจนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจชาติ เสียวินัยการคลัง
นักลงทุนไทยรายย่อย มีช่องทางร้องเรียน ฟ้องมาตราใด ได้บ้าง เพื่อเอาผิดหรือให้เกิดการแก้ไขให้ถูกต้องและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
มีนักลงทุนรายย่อยจำนวนมาก บาดเจ็บ พรอตการลงทุนเสียหาย จากน้ำมือนโยบายรัฐ ที่ไม่เป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
ถ้าเป็นการทำธุรกิจที่เสียหายปกติ จากดีมาน-ซัปพาย และการแข่งขัน พอยอมรับกันได้ แต่นี่เกิดจากน้ำมือคนของรัฐ-ฝ่ายการเมือง ที่เข้าไปบิดเบือนกลไกลตลาด สร้างกระแสผิดๆ ประชานิยมสุดโต่ง ระยะยาวย่อมสร้างผลเสียต่อเศรษฐกิจชาติให้อ่อนแอลงๆ
ที่ผ่านมาฝ่ายการเมือง ที่เข้ามาใช้อำนาจรัฐใช้นโยบาย ประชานิยม กดราคาค่าไฟฟ้า-น้ำมันถูกกว่าความเป็นจริง นอกจากสูญงบประมาณรัฐมหาศาล จนต้องกู้เพิ่มเป็นหนี้สาธารณะไว้เป็นภาระภาษีประชาชนลูกหลานในอนาคตภาคหน้าต่อไปแล้ว ยังอาจสร้างความไม่เป็นธรรม ( อาจขัดต่อหลักความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย ) เช่นมีการเอาเงินภาษีและเงินกองทุน จากผู้ใช้เบนซิน ไปอุ้มผู้ใช้ดีเซล เป็นต้น หรืออื่นๆ ยังทำลายเศรษฐกิจชาติ ตัวเอง ตลอดหลายปี 7-8ทีผ่านมา เศรษฐกิจไทย ทรงๆ ทรุดไม่ไปไหน ตลาดทุนที่ต่างชาติ ทะยอยขาย ตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET ) ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดสุขภาพเศรษฐกิจชาติ ก็ย่ำแย่ๆ ทรงๆ ทรุดๆ ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ชาวบ้านเค้าขึ้นกันไปเกือบ 40-100% แต่ของไทยเหมือนติดกับดักอยู่คนเดียว อาจเป็นเพราะนะโยบายที่ไม่สอดรับกับโลกที่เป็นจริง ไม่เป็นมิตรกับบริษัทใหญ่ในตลาดหุ้นไทย ไปเบียดเบียนเอาจากเอกชน ผู้ประกอบการ
บริษัทพลังงาน ไฟฟ้า และ น้ำมัน มีขนาดสัดส่วนสูง ต่อ GDP ไทย
ดังนั้นการ บิดเบือนราคา ไปแทรกแทรง จึงสร้างความเสียหายให้ ภาคในประเทศเศรษฐกิจชาติ โดยรวม ดังที่เห็น ดังที่เห็น
เศรษฐกิจชาติโดยรวมเสีย ธุรกิจต่างๆในตลาดหุ้น ย่ำแย่ ย่อมสร้างความเสียหายต่อนักลงทุนประชาชนไทยรายย่อย นับล้านคน นอกจากเม็ดภาษีที่รัฐจะได้น้อยลงจากภาคธุรกิจที่แย่ลง และรายย่อยที่เสียหายตลาดหุ้นไทย จำนวนมากกำลังซื้อบริโภค กระตุ้นเศรษฐกิจชาติ ก็ย่ำแต่ตาม บริษัทใหญ่ๆเสีย การจ้างแรงงาน และ รายได้ประชาชนและปากท้อง ก็จะเสียหายตามกระทบเป็นโดมิโน
บริษัทน้ำมัน ต่างชาติ ทยอยขายกิจการในไทย ทิ้ง เพราะลงสูง เสี่ยงสูง ต้นทุน ต่างๆปรับขึ้น ดอกเบี้ยปรับขึ้น แต่รัฐบาลกลับแทรกแซง กดค่าการตลาดแทบจะต่ำที่สุดในโลก
ปั้ม JET (สหรัฐ )มาลงทุนตามคำเชิญชวนรัฐบาลไทย แต่สุดท้ายการขายน้ำมันในไทยที่กำไรต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ก็ต้องตัดสินใจขายทิ้ง และ ปตท. PTT ที่ถือหุ้นใหญ่โดยรัฐ ก็ประมูลได้ป
และ ยังมี ปั้มปิโตรนาส (มาเลเซีย ) ที่มาลงทุนในไทย ก็เจอแบบเดียวกัน ต้องม้วนเสื่อขายกิจการทิ้ง
และ ล่า สุด ESSO ขายกิจการในไทยให้ ปั้มบางจากของไทย เอสโซ่ปั้มน้ำมันบริษัทในเครือเอ๊กซอนโมบิล EXXONสหรัฐ ใหญ่สุดๆระดับโลก (มีกำไร มากกว่าปตท PTT ของไทย ราว20เท่า ( กำไรปี65 2ล้านล้านบาท )
ในไทย มันเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายหรือไม่ รัฐ-ผู้ประกอบการ-ผู้ประบริโภค
จะบังคับไม่ให้ประกอบการ มีค่าการตลาดเกิน 1% แต่ถ้าต้นทุน ราคาตลาดโลกผันผวน เกิดสงคราม ต้นทุนน้ำมันพุ่ง ขาดทุนไครจะรับผิดชอบ
ไปนั่งแกะงบ ปตท.OR ปี65 สรุปบรรทัดสุดได้ว่า
ไทยบริโภค 151ล้านลิตรต่อวัน 55,100ล้านลิตร แต่ปตท.มีส่วนแบ่งการตลาดราว38% ((หรือ ราว 20,000ล้านลิตร )
ในฐานะผู้ประกอบการ แบกรับความเสี่ยงต่างๆ แต่ต้นทุนสูง อาคาร-เครื่องจักร เครื่องมือ เทคโนโลยี ดอกเบี้ยขึ้น และค่าแรงเพิ่มทุกปี ต้นทุนที่ผันราคาตลาดโลก
แต่ขายน้ำมัน1ลิตร ได้กำไรสุทธิเพียง ราวลิตรละ ไม่กี่สตางค์ (ไม่เต็มบาท)
ในขณะที่รัฐบาลได้ภาษี+เงินกองทุนราว 7-15บาทต่อลิตร (หรือเฉลี่ยราว 45%)
จริงไหมที่มีคำกล่าวว่า “ ถ้าได้นักราชการบริหารประเทศ จะไม่ค่อยเก่งเศรษฐกิจชาติ (ไม่ถนัดหาเงิน ถนัดแต่ใช้เงิน) ถนัดแต่เพิ่มภาระภาษีประชาชน มักอ้างคำโก้สวยหรูว่าเพื่อปากท้องประชาชน จึงใช้ “ประชานิยม แจกเงิน ลดราคาน้ำมัน-ไฟฟ้า หวังซื้อใจประชาชน “ แต่ตลอดที่ผ่านมาหลายปี ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศก็ลำบากเสียเปรียบเหมือนเดิม รายได้เงินเดือนประชาชนรากหญ้าเฉลี่ย ต่ำกว่า ราชการระดับสูงๆหลายเท่าตัว
ซึ่งเงินเดือนราชการ ค่าใช้จ่ายกระทรวงต่างๆ ปรับขึ้นทุกๆปี เงินจากภาษีต่างๆที่ประชาชนทุกคนจ่าย ผ่านสินค้าและทางอ้อมอื่นๆ (ยิ่งคนจนคนรากหญ้าส่วนใหญ่ยิ่งจ่ายภาษีให้รัฐเป็นสัดส่วนที่สูงมากแบบไม่รู้ตัว ผ่านสินค้าเหล้ายาปลาปิ้ง เครื่องดื่มของใช้ น้ำมัน ของนำเข้า ซึ่งแอบเก็บภาษีไปในราคา สินค้า บางอย่างสูงถึง 40-50% หรือสินค้านำเข้า บางอย่าง เก็บภาษี เกิน100% และ แน่นอนประชาชนไทยทุกคนผู้ซื้อคือคนที่ต้องรับภาระไป และงบราว 2.5-3ล้านล้านบาท ที่รัฐได้จากการเก็บภาษีประชาชน ก็มักจะไม่พอ รัฐใช้เกินทุกปี งบขาดดุล จนต้องกู้เป็นหนี้ สาธารณะ ให้คนไทยต้องรับภาระในอนาคตแน่นอน สังเกตุได้ “ยามใดที่นักข้าราชการเข้ามามีอำนาจรัฐ กฏหมายเก็บภาษีเพิ่มจะคลอดออกมาเพียบ “
ต่างกับประเทศ ที่รัฐบาลเก่งทางด้านเศรษฐกิจและการลงทุนหาเงินได้เองเยอะ และมีระบบราชการที่มีประสิทธิภาพ ไม่รั่วไหล ไม่คอรัปชั่นสูง ก็ไม่จำเป็นต้องเก็บภาษีจากประชาชนเยอะเหมือนในไทย
นักลงทุนประชาชนรายย่อยหุ้นไทยเสียหายหลายแสนคนหรืออาจถึงล้าน ฟ้องรัฐ -รัฐมนตรีได้หรือไม่ ถ้าขัดรัฐธรรมนูญ บิดเบือนราคา
นักลงทุนไทยรายย่อย มีช่องทางร้องเรียน ฟ้องมาตราใด ได้บ้าง เพื่อเอาผิดหรือให้เกิดการแก้ไขให้ถูกต้องและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
มีนักลงทุนรายย่อยจำนวนมาก บาดเจ็บ พรอตการลงทุนเสียหาย จากน้ำมือนโยบายรัฐ ที่ไม่เป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
ถ้าเป็นการทำธุรกิจที่เสียหายปกติ จากดีมาน-ซัปพาย และการแข่งขัน พอยอมรับกันได้ แต่นี่เกิดจากน้ำมือคนของรัฐ-ฝ่ายการเมือง ที่เข้าไปบิดเบือนกลไกลตลาด สร้างกระแสผิดๆ ประชานิยมสุดโต่ง ระยะยาวย่อมสร้างผลเสียต่อเศรษฐกิจชาติให้อ่อนแอลงๆ
ที่ผ่านมาฝ่ายการเมือง ที่เข้ามาใช้อำนาจรัฐใช้นโยบาย ประชานิยม กดราคาค่าไฟฟ้า-น้ำมันถูกกว่าความเป็นจริง นอกจากสูญงบประมาณรัฐมหาศาล จนต้องกู้เพิ่มเป็นหนี้สาธารณะไว้เป็นภาระภาษีประชาชนลูกหลานในอนาคตภาคหน้าต่อไปแล้ว ยังอาจสร้างความไม่เป็นธรรม ( อาจขัดต่อหลักความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย ) เช่นมีการเอาเงินภาษีและเงินกองทุน จากผู้ใช้เบนซิน ไปอุ้มผู้ใช้ดีเซล เป็นต้น หรืออื่นๆ ยังทำลายเศรษฐกิจชาติ ตัวเอง ตลอดหลายปี 7-8ทีผ่านมา เศรษฐกิจไทย ทรงๆ ทรุดไม่ไปไหน ตลาดทุนที่ต่างชาติ ทะยอยขาย ตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET ) ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดสุขภาพเศรษฐกิจชาติ ก็ย่ำแย่ๆ ทรงๆ ทรุดๆ ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ชาวบ้านเค้าขึ้นกันไปเกือบ 40-100% แต่ของไทยเหมือนติดกับดักอยู่คนเดียว อาจเป็นเพราะนะโยบายที่ไม่สอดรับกับโลกที่เป็นจริง ไม่เป็นมิตรกับบริษัทใหญ่ในตลาดหุ้นไทย ไปเบียดเบียนเอาจากเอกชน ผู้ประกอบการ
บริษัทพลังงาน ไฟฟ้า และ น้ำมัน มีขนาดสัดส่วนสูง ต่อ GDP ไทย
ดังนั้นการ บิดเบือนราคา ไปแทรกแทรง จึงสร้างความเสียหายให้ ภาคในประเทศเศรษฐกิจชาติ โดยรวม ดังที่เห็น ดังที่เห็น
เศรษฐกิจชาติโดยรวมเสีย ธุรกิจต่างๆในตลาดหุ้น ย่ำแย่ ย่อมสร้างความเสียหายต่อนักลงทุนประชาชนไทยรายย่อย นับล้านคน นอกจากเม็ดภาษีที่รัฐจะได้น้อยลงจากภาคธุรกิจที่แย่ลง และรายย่อยที่เสียหายตลาดหุ้นไทย จำนวนมากกำลังซื้อบริโภค กระตุ้นเศรษฐกิจชาติ ก็ย่ำแต่ตาม บริษัทใหญ่ๆเสีย การจ้างแรงงาน และ รายได้ประชาชนและปากท้อง ก็จะเสียหายตามกระทบเป็นโดมิโน
บริษัทน้ำมัน ต่างชาติ ทยอยขายกิจการในไทย ทิ้ง เพราะลงสูง เสี่ยงสูง ต้นทุน ต่างๆปรับขึ้น ดอกเบี้ยปรับขึ้น แต่รัฐบาลกลับแทรกแซง กดค่าการตลาดแทบจะต่ำที่สุดในโลก
ปั้ม JET (สหรัฐ )มาลงทุนตามคำเชิญชวนรัฐบาลไทย แต่สุดท้ายการขายน้ำมันในไทยที่กำไรต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ก็ต้องตัดสินใจขายทิ้ง และ ปตท. PTT ที่ถือหุ้นใหญ่โดยรัฐ ก็ประมูลได้ป
และ ยังมี ปั้มปิโตรนาส (มาเลเซีย ) ที่มาลงทุนในไทย ก็เจอแบบเดียวกัน ต้องม้วนเสื่อขายกิจการทิ้ง
และ ล่า สุด ESSO ขายกิจการในไทยให้ ปั้มบางจากของไทย เอสโซ่ปั้มน้ำมันบริษัทในเครือเอ๊กซอนโมบิล EXXONสหรัฐ ใหญ่สุดๆระดับโลก (มีกำไร มากกว่าปตท PTT ของไทย ราว20เท่า ( กำไรปี65 2ล้านล้านบาท )
ในไทย มันเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายหรือไม่ รัฐ-ผู้ประกอบการ-ผู้ประบริโภค
จะบังคับไม่ให้ประกอบการ มีค่าการตลาดเกิน 1% แต่ถ้าต้นทุน ราคาตลาดโลกผันผวน เกิดสงคราม ต้นทุนน้ำมันพุ่ง ขาดทุนไครจะรับผิดชอบ
ไปนั่งแกะงบ ปตท.OR ปี65 สรุปบรรทัดสุดได้ว่า
ไทยบริโภค 151ล้านลิตรต่อวัน 55,100ล้านลิตร แต่ปตท.มีส่วนแบ่งการตลาดราว38% ((หรือ ราว 20,000ล้านลิตร )
ในฐานะผู้ประกอบการ แบกรับความเสี่ยงต่างๆ แต่ต้นทุนสูง อาคาร-เครื่องจักร เครื่องมือ เทคโนโลยี ดอกเบี้ยขึ้น และค่าแรงเพิ่มทุกปี ต้นทุนที่ผันราคาตลาดโลก
แต่ขายน้ำมัน1ลิตร ได้กำไรสุทธิเพียง ราวลิตรละ ไม่กี่สตางค์ (ไม่เต็มบาท)
ในขณะที่รัฐบาลได้ภาษี+เงินกองทุนราว 7-15บาทต่อลิตร (หรือเฉลี่ยราว 45%)
จริงไหมที่มีคำกล่าวว่า “ ถ้าได้นักราชการบริหารประเทศ จะไม่ค่อยเก่งเศรษฐกิจชาติ (ไม่ถนัดหาเงิน ถนัดแต่ใช้เงิน) ถนัดแต่เพิ่มภาระภาษีประชาชน มักอ้างคำโก้สวยหรูว่าเพื่อปากท้องประชาชน จึงใช้ “ประชานิยม แจกเงิน ลดราคาน้ำมัน-ไฟฟ้า หวังซื้อใจประชาชน “ แต่ตลอดที่ผ่านมาหลายปี ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศก็ลำบากเสียเปรียบเหมือนเดิม รายได้เงินเดือนประชาชนรากหญ้าเฉลี่ย ต่ำกว่า ราชการระดับสูงๆหลายเท่าตัว
ซึ่งเงินเดือนราชการ ค่าใช้จ่ายกระทรวงต่างๆ ปรับขึ้นทุกๆปี เงินจากภาษีต่างๆที่ประชาชนทุกคนจ่าย ผ่านสินค้าและทางอ้อมอื่นๆ (ยิ่งคนจนคนรากหญ้าส่วนใหญ่ยิ่งจ่ายภาษีให้รัฐเป็นสัดส่วนที่สูงมากแบบไม่รู้ตัว ผ่านสินค้าเหล้ายาปลาปิ้ง เครื่องดื่มของใช้ น้ำมัน ของนำเข้า ซึ่งแอบเก็บภาษีไปในราคา สินค้า บางอย่างสูงถึง 40-50% หรือสินค้านำเข้า บางอย่าง เก็บภาษี เกิน100% และ แน่นอนประชาชนไทยทุกคนผู้ซื้อคือคนที่ต้องรับภาระไป และงบราว 2.5-3ล้านล้านบาท ที่รัฐได้จากการเก็บภาษีประชาชน ก็มักจะไม่พอ รัฐใช้เกินทุกปี งบขาดดุล จนต้องกู้เป็นหนี้ สาธารณะ ให้คนไทยต้องรับภาระในอนาคตแน่นอน สังเกตุได้ “ยามใดที่นักข้าราชการเข้ามามีอำนาจรัฐ กฏหมายเก็บภาษีเพิ่มจะคลอดออกมาเพียบ “
ต่างกับประเทศ ที่รัฐบาลเก่งทางด้านเศรษฐกิจและการลงทุนหาเงินได้เองเยอะ และมีระบบราชการที่มีประสิทธิภาพ ไม่รั่วไหล ไม่คอรัปชั่นสูง ก็ไม่จำเป็นต้องเก็บภาษีจากประชาชนเยอะเหมือนในไทย