ในกระทู้ก่อนคือ เมื่อมะเร็งมาเยี่ยมเยือน เราได้เล่าประสบการณ์การตรวจและรักษามะเร็งเต้านมจนจบคอร์สแล้ว ต่อไปจะมาแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ในการปฏิบัติตัวในกระทู้นี้ต่อนะคะ
หลังจากผ่านไปได้ 2 สัปดาห์ตอนนี้ผิวของเราแห้งเป็นขุยแล้วลักษณะคล้ายกับที่อาจารย์แพทย์บอกว่า เราสามารถขัดถูบริเวณที่ฉายแสงได้ แต่ว่าเราก็ยังปฏิบัติตัวตามเดิม คิดว่าจะรอไปอีกสักหน่อยเพื่อให้มั่นใจว่าผิวและแผลไม่เป็นไรจริงๆ ในช่วงนี้เรามีเวลามากขึ้นแล้วไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาลบ่อยๆ ก็จะได้ออกกำลังกายและทำโน่นทำนี่เพิ่มมากขึ้น
เราได้รับคำถามมาว่า เวลาเจ็บป่วยเป็นมะเร็งแล้วเราทำอะไรได้ด้วย ไม่ใช่ว่าต้องนอนอยู่แต่บนเตียงแล้วไม่มีแรงเหรอ? และยังมีเรื่องที่เขากังวลใจสงสัยต่างๆ ซึ่งบางข้อสงสัยก็เป็นสิ่งที่เราเคยสงสัยเหมือนกัน ความสงสัยหรือความไม่รู้เป็นเรื่องธรรมดามากๆเพราะว่าไม่มีใครทราบอะไรได้หมดทุกอย่าง และเมื่อมีความไม่รู้จึงทำให้เกิดความกลัวและความกังวลตามมา โดยเฉพาะผู้ที่แบกความรับผิดชอบเรื่องรอบๆตัวเอาไว้ แต่ว่าโรคนี้ต้องการความเข้มแข็งของภูมิคุ้มกันค่อนข้างมาก ดังนั้นความกังวลควรจะมีให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วเผชิญหน้ายอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เราเองก็มีความกังวลสงสัยอยู่เสมอซึ่งเป็นนิสัยส่วนตัวอยู่แล้ว แต่เราก็หาหนทางตัดความกังวลบางส่วนที่ใหญ่ๆไปให้ได้ แล้วเหลือแค่ความกังวลเล็กๆที่อาจเกิดขึ้นครั้งคราวซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาโลกของมนุษย์
ดังนั้นเราจึงคิดว่าจะเสนอทางปฏิบัติตัวระหว่างป่วยและรักษาในแบบฉบับของเราไว้ในที่นี้เผื่อว่าใครจะนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมสำหรับตนเองหรือญาติพี่น้องเพื่อนฝูงที่ป่วยเหมือนเรา โดยจะแบ่งเป็นหัวข้อย่อยๆดังต่อไปนี้
จะทำอย่างไร เมื่อได้รู้ว่าเป็นมะเร็ง
หลังจากผ่านไปได้ 2 สัปดาห์ตอนนี้ผิวของเราแห้งเป็นขุยแล้วลักษณะคล้ายกับที่อาจารย์แพทย์บอกว่า เราสามารถขัดถูบริเวณที่ฉายแสงได้ แต่ว่าเราก็ยังปฏิบัติตัวตามเดิม คิดว่าจะรอไปอีกสักหน่อยเพื่อให้มั่นใจว่าผิวและแผลไม่เป็นไรจริงๆ ในช่วงนี้เรามีเวลามากขึ้นแล้วไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาลบ่อยๆ ก็จะได้ออกกำลังกายและทำโน่นทำนี่เพิ่มมากขึ้น
เราได้รับคำถามมาว่า เวลาเจ็บป่วยเป็นมะเร็งแล้วเราทำอะไรได้ด้วย ไม่ใช่ว่าต้องนอนอยู่แต่บนเตียงแล้วไม่มีแรงเหรอ? และยังมีเรื่องที่เขากังวลใจสงสัยต่างๆ ซึ่งบางข้อสงสัยก็เป็นสิ่งที่เราเคยสงสัยเหมือนกัน ความสงสัยหรือความไม่รู้เป็นเรื่องธรรมดามากๆเพราะว่าไม่มีใครทราบอะไรได้หมดทุกอย่าง และเมื่อมีความไม่รู้จึงทำให้เกิดความกลัวและความกังวลตามมา โดยเฉพาะผู้ที่แบกความรับผิดชอบเรื่องรอบๆตัวเอาไว้ แต่ว่าโรคนี้ต้องการความเข้มแข็งของภูมิคุ้มกันค่อนข้างมาก ดังนั้นความกังวลควรจะมีให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วเผชิญหน้ายอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เราเองก็มีความกังวลสงสัยอยู่เสมอซึ่งเป็นนิสัยส่วนตัวอยู่แล้ว แต่เราก็หาหนทางตัดความกังวลบางส่วนที่ใหญ่ๆไปให้ได้ แล้วเหลือแค่ความกังวลเล็กๆที่อาจเกิดขึ้นครั้งคราวซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาโลกของมนุษย์
ดังนั้นเราจึงคิดว่าจะเสนอทางปฏิบัติตัวระหว่างป่วยและรักษาในแบบฉบับของเราไว้ในที่นี้เผื่อว่าใครจะนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมสำหรับตนเองหรือญาติพี่น้องเพื่อนฝูงที่ป่วยเหมือนเรา โดยจะแบ่งเป็นหัวข้อย่อยๆดังต่อไปนี้