หลายวันก่อนอ่านกระทู้ของผู้หญิงคนหนึ่ง คุณแม่เธอเป็นคุณมะเร็ง เธอไม่เข้าใจว่าทำไมคุณแม่ที่ร่าเริงและแสนดี
ถึงเปลี่ยนไปเป็นคนหงุดหงิด อารมณ์เสียโดยไม่มีเหตุผล ฉันเลยอยากเล่าประสบการณ์ของตัวเองบ้าง
หมอ รพ.ที่ฉันตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี เพิ่งคลำเจอก้อน แล้วถึงได้สั่งให้ไปทำแมมโมแกรม แต่คิวนานมาก
ฉันให้ลูกสาวพาไป รพ.ชื่อดังของรัฐใน กทม. คุณหมอคลำที่หน้าอก ท่านบอกว่า คิดว่าใช่ ขอเจาะเนื้อเยื้อ
และให้ไปทำแมมโมแกรมวันนั้นเลย อีก 5 วันมาฟังผล ตอนนั้นฉันฟังแล้วรู้สึกเฉยๆ เพราะฉันเชื่อว่าฉันไม่เป็นแน่นอน
ฉันและลูกสาวไปตามนัด (คลินิกนอกเวลา) ระหว่างรอคุณหมอ ฉันอ่านโปสเตอร์ที่อยู่หน้าห้องตรวจ เป็นเรื่องเกี่ยวกับมะเร็ง
ส่วนต่างๆ ฉันสนใจอ่านมะเร็งเต้านม ทำให้มีความรู้มากขึ้นมานิดนึง พอถึงคิวฉันก็เข้าไปพบคุณหมอคนเดิม
เข้าไปคนเดียว คุณหมอเชิญนั่งแล้วบอกฉันว่า “คุณเป็นมะเร็งนะ” ฉันนั่งนิ่งไปเลย ก่อนหน้าที่จะเข้ามา
ฉันมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า ฉันเป็นแค่ก้อนเนื้อธรรมดา ที่มาฟังก็เพื่อความสบายใจว่าได้มาตรวจแล้ว พอคุณหมอ
บอกอย่างนั้น ช็อคไปเลยค่ะ ฉันพูดไม่ออก คุณหมอพูดอะไรอีกยาว ฉันจำไม่ได้ไม่หมด
ตอนนั้นสมองฉันคงหยุดการทำงานด้านการรับฟังไปชั่วคราว แต่พอจะจับใจความได้ว่าฉันต้องผ่าตัดและเข้ารับการรักษา
อย่างต่อเนื่อง ท่านให้ฉันเลือกว่าจะผ่าตัดที่นี่ หรือที่ รพ.ตจว. ฉันยังมึนไม่หาย คิดอะไรไม่ออก ท่านคงเห็นสภาพแบบนี้บ่อย
ท่านบอกว่า ไปปรึกษากันก่อนแล้วค่อยมาบอกหมอ
นั่นแหละสมองฉันเพิ่งกลับมาทำงานอีกครั้ง ฉันถามว่า ฉันเป็นระยะไหน ท่านตอบทันทีว่าระยะ 2 ไป 3 ในหัวสมองฉันเห็นภาพ
โปสเตอร์หน้าห้องตรวจลอยเข้ามาในความคิดเลยค่ะ มะเร็งมี 4 ระยะ ระยะแรกมีก้อน 1-3 ซม. ระยะ 2 ก้อน 3 ซม.ขึ้นไป ระยะ 3
ก้อน 3 ซม.ขึ้นไปและไปที่ต่อมน้ำเหลืองบางส่วน ระยะ 4 กระจายไปทั่ว ฉันเหลืออีกระยะเดียวฉันก็จะตายแล้ว สมองฉันคิดได้แค่นั้น
ฉันออกมาหาลูกสาวที่นั่งรออยู่ เขาถามฉันว่าผลเป็นอย่างไร ฉันเข้าไปกอดเขา ปกติที่บ้านเราจะกอดและหอมแก้มกันเป็นประจำ
จนเป็นความเคยชิน ครั้งนี้ฉันคงกอดเขาแน่นกว่าปกติ เขารู้สึกผิดปกติและมองหน้าฉัน ตอนนั้นฉันต้องรวบรวมสติที่ไม่รู้มันหาย
ไปไหนให้กับมา เสียงที่จะพูดมันเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอ ทำให้พูดไม่ออก เขาเขย่าตัวฉันแล้วถาม พอฉันตอบไปว่าฉันเป็นมะเร็ง
เขาร้อง “แม่” เสียงดังจนคนทั้งห้องหันมามอง เขากอดฉันแน่น แล้วร้องไห้เสียงดังไม่อายใคร ฉันรู้ว่าลูกตกใจและเสียขวัญ
ฉันเองก็ไม่ต่างจากลูก ฉันอยากร้องไห้ออกมาดังๆ อยากตะโกน อยากระบายสิ่งที่อยู่ในใจ แต่สิ่งที่ฉันทำได้ตอนนั้นคือกอดลูก
และเป็นฝ่ายปลอบลูกเอง ฉันโทรหาสามีที่อยู่ ตจว. เขาช็อคไป แล้วเราตกลงกันว่าให้ฉันรักษาตัวที่ รพ.นี้
ฉันและลูกสาวที่ร้องไห้ไม่ยอมหยุดนั่งแท็กซี่กลับห้องพัก ลูกชายรออยู่ที่ห้อง พอเห็นอาการตาแดงของพี่สาว เขาถาม ฉันยังพูดไม่ออก
มันยังติดอยู่ที่คอ ลูกสาวตอบแทน เขาตกใจมากเข้ามากอดและร้องไห้ เท่านั้นน้ำตาที่ฉันต้องกักเก็บเอาไว้ตั้งแต่รู้จากปากคุณหมอ
ก็ไหลออกมาแบบกั้นไว้ไม่ไหว เราสามคนแม่ลูกกอดกันร้องไห้ สามีโทรมาถามว่า ฉันและลูกถึงห้องพักหรือยัง เสียงที่ได้ยินตามสาย
บอกให้รู้ว่าเขาผ่านการร้องไห้มาแล้ว
คืนนั้นทั้งคืนฉันไม่ได้นอนเลย มันนอนไม่หลับ ในสมองมีแต่เรื่องมะเร็ง ภาพโปสเตอร์ที่เห็นหน้าห้องตรวจ ความคิดเกี่ยวกับมะเร็ง
ที่พอจะมีอยู่บ้าง (ฟังเขาเล่ามา ไม่ได้อ่านหรือศึกษา เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว) มีแต่ในทางลบ ฉันรู้ว่าลูกสาวก็นอนไม่หลับ
ส่วนลูกชายกว่าจะหลับก็ดึกมากแล้ว ก่อนนอนลูกชายเขาขอกลับไปเรียนที่ ตจว.เพื่ออยู่กับฉัน เขาเพิ่งเข้าเรียน รร.ใหม่ได้ 2 วันเอง
มันเป็นเรื่องที่ฉันยอมไม่ได้ (ฉันได้เห็นความพยายามและความมุ่งมั่นของเขา กว่าเขาจะได้เข้ามาเรียน ม.ปลายใน รร.ที่เป็น รร.
อันดับหนึ่งของประเทศ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เขาทุ่มเทและมุ่งมั่นอ่านและฝึกทำข้อสอบย้อนหลังไปเป็นสิบปี ทำหลายรอบ ไม่เคยเข้ามา
เรียนพิเศษหรือติวที่ กทม.เลย) เราพูดกันอยู่นาน ลูกสาวที่ทำงานแล้วและกำลังเรียนต่ออยู่ บอกน้องชายว่าเขาจะกลับไปดูแลแม่เอง
ให้น้องอยู่ กทม.คนเดียวและตั้งใจเรียน เขาจึงยอมตกลง
ชีวิตฉันและครอบครัวกำลังมีความสุข สามีมีหน้าที่การงานสูงอย่างที่เขาตั้งใจและได้ย้ายเข้ามาใกล้บ้าน ลูกสาวคนโตได้ทำงาน
ในคณะที่เขารัก (อาจารย์ผู้ช่วย ม.ชื่อดังของรัฐ)กำลังจะเข้ารับปริญญา ด้วยคะแนนเกียรตินิยม คณะที่เป็นคณะที่หนึ่งของ ม.อันดับหนึ่ง
ของประเทศ ลูกชายคนเล็กกำลังเรียน ม.ปลายของ รร.อันดับหนึ่งของประเทศเหมือนกัน ครอบครัวเราเป็นครอบครัวที่หลายคนแอบอิจฉา แล้วมาเกิดเรื่องเลวร้ายอย่างนี้ได้ยังไง
ชีวิตครอบครัวฉันกำลังไปได้สวย ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้กับฉันและครอบครัว มันเหมือนฉันกำลังยืนมองปราสาททราย
ที่ก่อเสร็จเรียบร้อยแล้วด้วยความชื่นชม ภาคภูมิใจ และมีความสุข ฉันรู้ว่าการก่อปราสาทด้วยทรายมีความเสี่ยงที่จะพังได้สูง จากทั้ง
คลื่นลมและพายุ ฉันสู้อุตส่าห์สร้างมันให้ไกลจากคลื่นไม่ว่าลูกเล็กหรือใหญ่ และคอยเฝ้ามองดูพายุและหาทางป้องกัน ไม่ให้มันผ่าน
เข้ามาทำลายปราสาทของฉันได้ แต่ฉันลืมไปอีกอย่าง คือ ฝนที่ตกโดยไม่มีเค้าเมฆฝน อยู่ๆ มันก็ตกลงมาทันที โดยที่ฉันไม่เคยคิด
และไม่มีอะไรที่จะไปป้องกันมันได้ ปราสาทที่ฉันและครอบครัวร่วมกันสร้างขึ้นอย่างสวยงามด้วยความรัก พังลงต่อหน้าในพริบตา
ทุกคนในครอบครัวมีแต่ความทุกข์ใจ เรา 4 คน เคยมีความสุข ความสนุก และร่วมกันทำกิจกรรมทุกๆ อาทิตย์เมื่ออยู่พร้อมหน้า
แต่ตั้งแต่มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น ทุกคนเหี่ยวเฉาเหมือนต้นไม้ในกระถางที่ไม่ได้รดน้ำ แต่คงไม่มีใครทุกข์มากไปกว่าฉัน(ความคิด
ของฉันตอนนั้น) ทุกวันและเวลา เสียงของคนรอบข้างหรือแม้แต่คนที่ฉันรัก ก็เหมือนเสียงลมที่พัดผ่านไป มันไม่ได้เข้าไปในสมอง
ของฉันเลย สิ่งที่พวกเขาพูดหรือทำเพื่อฉัน ฉันไม่มีจิตใจที่จะรับรู้หรือใส่ใจ ฉันใส่ใจแต่ความคิดของฉันคนเดียว จนบ้างครั้งก็แสดง
ความหงุดหงิด หรืออารมณ์เสียในเรื่องไม่เป็นเรื่อง โดยไม่มีเหตุผล บ้างเรื่องถ้าฉันปกติฉันไม่เคยดุหรือว่าลูก แต่เวลานั้นมันเห็นอะไร
ก็หงุดหงิด ขวางหูขวางตาไปหมด อยากจะพูดฉันก็พูด อยากว่าใครก็ทำ ไม่สนใจความรู้สึกของใคร ซึ่งมันไม่ใช่นิสัยของฉันเลย
2 อาทิตย์เต็มๆ ที่ฉันอยู่ในสภาพนั้น ในสมองวกวนแต่เรื่องมะเร็ง ถ้าผ่าตัดฉันต้องเจ็บปวดมากแน่ๆ (ฉันไม่เคยผ่าตัดเลย ลูก 2
คนคลอดเอง ฉันกลัวการผ่าตัดมาก) ผ่าตัดแล้วฉันจะหายไหม ให้คีโมแล้วฉันจะแพ้อย่างที่มีคนเขาเล่าให้ฟังไหม ฉันจะทนได้
หรือเปล่า แล้วสุดท้ายฉันจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่เดือนกี่วัน ในสมองคิดวนเวียนแต่เรื่องเหล่านี้ หลับตาลงมองเห็นแต่ภาพคนที่แย่ลง
หรือที่เสียชีวิตด้วยโรคนี้ คิดแต่ในทางร้ายๆ ไม่มีภาพของคนที่ดีขึ้นหรือหายได้เลย และคิดไม่ตกว่าจะต้องทำอย่างไรกับตัวเอง
ทุกคนในบ้านเครียดกันไปหมด ฉันทานน้อยลง (ไม่ทานเนื้อสัตว์ ทานไข่ ผัก และผลไม้) น้ำหนักลดลงไป 3 กิโลภายใน 1 อาทิตย์
ลูกสาวลาออกจากงานที่เขารักมาอยู่กับฉันตั้งแต่วันที่รู้ผล ฉันห้ามเขาไม่ฟัง เขาบอกฉันว่า เรื่องงานเรื่องเรียนเขาจะทำเมื่อไรก็ได้
เขามีแม่คนเดียว เขาจะทำทุกอย่างเพื่อแม่ ณ เวลานี้ที่ยังมีแม่อยู่ให้ทำ ก่อนที่จะมาคิดเสียใจภายหลังเมื่อไม่มีแม่แล้ว สามีก็ไม่ห้าม
เขาให้เหตุผลที่ฉันไม่สามารถคัดค้านได้ คือ เรื่องงานเขาเองก็ยังไม่อยากให้ลูกทำ อยากให้ลูกเรียนต่อให้จบก่อน และการเรียนที่ว่า
ก็ไม่ต้องเข้าเรียนก็ได้ อ่านหนังสือเองแล้วไปสอบ ซึ่งลูกสาวก็เห็นดีไปพ่อเขาด้วย เป็นอันว่าฉันต้องยอมแพ้
การที่ฉันจมอยู่กับความทุกข์โดยไม่สนใจคนรอบข้าง ไม่รับรู้ว่าพวกเขาก็ทุกข์ไม่แพ้ฉันเหมือนกัน และที่สำคัญเขาทุกข์ตรงที่
ไม่รู้จะช่วยฉันได้อย่างไร เขาทำได้แค่เอาใจใส่และให้กำลังใจฉัน กว่าฉันจะเริ่มคิดได้ก็ผ่านไป 2 อาทิตย์ เย็นวันนั้นลูกสาวเปิดทีวี
เป็นรายการที่พระกำลังเทศน์ ฉันไม่ได้สนใจ จนเทศน์ถึงการดับทุกข์ ฉันจึงหันมาตั้งใจฟังจนจบ
คืนนั้น ฉันเริ่มมาคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉัน คิดถึงความรู้สึกของสามีและลูกๆ ที่เฝ้ามองฉันแย่ลงทุกวัน โดยที่พวกเขาช่วยอะไร
ฉันไม่ได้ ฉันเคยแอบได้ยินลูกสาวร้องไห้กับพ่อเขา ที่เห็นฉันไม่ดีขึ้นเลย ทั้งที่พวกเขาพยามแล้ว พวกเขาไม่แสดงอาการโกรธหรือ
หงุดหงิดใส่ฉันให้เห็น ไม่ว่าฉันแสดงสิ่งไม่ดีต่อพวกเขา เขายังทำเพื่อฉันต่อไปอย่างปกติ (ลูกสาวบอกตอนฉันอารมณ์ดีแล้วว่า
เขาคิดว่าทีคนอื่นเขายังทนได้ เขามีแม่คนเดียว แม่กำลังไม่สบาย เรื่องแค่นี้เขาทนได้ เพราะเขารักฉัน
อยากให้ฉันสู้และอยู่กับพวกเขาไปนานๆ) เมื่อฉันมาคิดดู อะไรนะถึงทำให้ฉัน คนที่เคยเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ที่รักลูกมากคนหนึ่ง
เป็นไปได้ถึงเพียงนี้ และคิดได้ว่าฉันโชคดีมากแค่ไหนที่มีสามีที่ดีและและลูกที่น่ารักได้อย่างใจทั้ง 2 คน พวกเขาทุกข์ใจไม่น้อย
ไปกว่าฉัน ตอนนั้นฉันไม่คิดจะสนใจหรือมองพวกเขาเอง มัวแต่มองตัวเอง และคิดว่า “ใครไม่มาเป็นอย่างฉัน ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นยังไง”
ฉันทำให้ครอบครัวไม่มีความสุข แถมสิ่งที่ฉันทำยังเพิ่มความทุกข์ให้พวกเขาอีก มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่ฉันมาใช้อารมณ์
เพื่อระบายใส่พวกเขา ไม่มีอะไรดีขึ้นมีแต่ทุกคนแย่ลง ทุกคนรัก หวังดี และพยามช่วยฉันต่อสู้ถึงขนาดนี้ หากฉันไม่ลุกขึ้นมาสู้
สิ่งที่พวกเขาทำก็สูญเปล่าไม่มีประโยชน์อะไรเลย
วันรุ่งขึ้นฉันตื่นแต่เช้าลุกไปทำกับข้าวเพื่อใส่บาตร ลูกสาวลุกมาช่วย แล้วเราก็เดินไปปากซอยเพื่อใสบาตรด้วยกัน พอเข้าบ้านลูกสาว
เข้ามากอด เขาบอกรักฉันและดีใจที่เห็นฉันลุกออกมาจากกองทุกข์ที่ฉันสร้างมันขึ้นมา เขาโทรบอกพ่อ โทรบอกน้อง ทุกคนดีใจ
กับสิ่งที่ฉันทำ เท่านั้นความสุขที่เราเคยมีด้วยกันก็กลับมาอีกครั้ง และครั้งนี้ฉันจะไม่ให้มีความผิดพลาดอย่างคราวที่แล้วอีก
หากฉันโชคร้ายอีกครั้ง ฉันรู้วิธีรับมือเพราะฉันมีบทเรียนมาแล้ว
ตั้งแต่วันนั้นมา ครอบครัวเราร่วมกันต่อสู้ และรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉัน ช่วยทำทุกอย่างที่เขาทำได้ และที่สำคัญคือ กำลังใจของ
สามีและลูกๆ ที่มีให้กับฉัน มันคือยาที่วิเศษกว่ายาอื่นใด บวกกับยาและการรักษาของคุณหมอ ทำให้ครอบครัวเราผ่านช่วงเวลา
นั้นมาด้วยดี
ทุกวันนี้ฉันมีเวลาที่ดูแลซ่อมแซมปราสาททรายที่มันพังไปเมื่อครั้งก่อน ให้กลับมาดีดังเดิม ด้วยความภาคภูมใจและมีความสุข
คราวนี้ฉันสร้างเครื่องป้องกันอย่างดี ด้วยภูมิคุ้มกันจากสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งที่แล้ว หากจะมีเหตุอะไรเกิดขึ้นอีก ฉันจะถือว่ามัน
เป็นเหตุสุดวิสัย ที่เกินความสามารถของฉัน ฉันและครอบครัวเตรียมความพร้อมที่จะรับมือกับมันตลอดเวลา
เราจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุขและมีสติ
ที่เล่ามาทั้งหมด อยากให้ท่านที่อ่านซึ่งต้องดูแลผู้ป่วยเข้าใจคนที่ป่วยว่าเขามีความรู้สึกอย่างไร หรือถ้าผู้ป่วยได้อ่านก็อยากให้
ทุกท่านเข้มแข็ง ลุกขึ้นมาสู้และเอาชนะสิ่งที่เกิดขึ้น อย่าปล่อยเวลาให้เนิ่นนาน มันไม่ดีต่อทั้งตัวผู้ป่วยเองและคนดูแล
คนที่เรารักและรักเรา ก็มีความรู้สึกไม่ต่างจากเรา เรามาร่วมกันสู้กับโรค แล้วชัยชนะก็จะเป็นของเรา ดีกว่ามาใช้อารมณ์ต่อกัน
มีแต่ทำให้ทุกอย่างแย่ลง
ด้วยความปรารถนาดี
ปล. วันนี้ไม่มีเมนูไข่มาฝาก (ลูกสาวขอเวลาไปพักสมองหน่อย)
อ่านกระทู้เก่าได้ที่...
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนที่ 1 >>
http://ppantip.com/topic/30414596
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนที่ 2 >>
http://ppantip.com/topic/30418215
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนที่ 3 >>
http://ppantip.com/topic/30426153
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนที่ 4 >>
http://ppantip.com/topic/30430450
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนที่ 5 >>
http://ppantip.com/topic/30433744
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนที่ 6 >>
http://ppantip.com/topic/30445429
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนที่ 7 >>
http://ppantip.com/topic/30449086
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนที่ 8 >>
http://ppantip.com/topic/30453280
เมื่อผู้ป่วยมะเร็งไม่ยอมทานไข่ จะเกิดอะไรขึ้น >>
http://ppantip.com/topic/30474654
คุณจะทำอย่างไรเมื่อคุณหมอบอกว่า "คุณเป็นมะเร็งนะ"
ถึงเปลี่ยนไปเป็นคนหงุดหงิด อารมณ์เสียโดยไม่มีเหตุผล ฉันเลยอยากเล่าประสบการณ์ของตัวเองบ้าง
หมอ รพ.ที่ฉันตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี เพิ่งคลำเจอก้อน แล้วถึงได้สั่งให้ไปทำแมมโมแกรม แต่คิวนานมาก
ฉันให้ลูกสาวพาไป รพ.ชื่อดังของรัฐใน กทม. คุณหมอคลำที่หน้าอก ท่านบอกว่า คิดว่าใช่ ขอเจาะเนื้อเยื้อ
และให้ไปทำแมมโมแกรมวันนั้นเลย อีก 5 วันมาฟังผล ตอนนั้นฉันฟังแล้วรู้สึกเฉยๆ เพราะฉันเชื่อว่าฉันไม่เป็นแน่นอน
ฉันและลูกสาวไปตามนัด (คลินิกนอกเวลา) ระหว่างรอคุณหมอ ฉันอ่านโปสเตอร์ที่อยู่หน้าห้องตรวจ เป็นเรื่องเกี่ยวกับมะเร็ง
ส่วนต่างๆ ฉันสนใจอ่านมะเร็งเต้านม ทำให้มีความรู้มากขึ้นมานิดนึง พอถึงคิวฉันก็เข้าไปพบคุณหมอคนเดิม
เข้าไปคนเดียว คุณหมอเชิญนั่งแล้วบอกฉันว่า “คุณเป็นมะเร็งนะ” ฉันนั่งนิ่งไปเลย ก่อนหน้าที่จะเข้ามา
ฉันมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า ฉันเป็นแค่ก้อนเนื้อธรรมดา ที่มาฟังก็เพื่อความสบายใจว่าได้มาตรวจแล้ว พอคุณหมอ
บอกอย่างนั้น ช็อคไปเลยค่ะ ฉันพูดไม่ออก คุณหมอพูดอะไรอีกยาว ฉันจำไม่ได้ไม่หมด
ตอนนั้นสมองฉันคงหยุดการทำงานด้านการรับฟังไปชั่วคราว แต่พอจะจับใจความได้ว่าฉันต้องผ่าตัดและเข้ารับการรักษา
อย่างต่อเนื่อง ท่านให้ฉันเลือกว่าจะผ่าตัดที่นี่ หรือที่ รพ.ตจว. ฉันยังมึนไม่หาย คิดอะไรไม่ออก ท่านคงเห็นสภาพแบบนี้บ่อย
ท่านบอกว่า ไปปรึกษากันก่อนแล้วค่อยมาบอกหมอ
นั่นแหละสมองฉันเพิ่งกลับมาทำงานอีกครั้ง ฉันถามว่า ฉันเป็นระยะไหน ท่านตอบทันทีว่าระยะ 2 ไป 3 ในหัวสมองฉันเห็นภาพ
โปสเตอร์หน้าห้องตรวจลอยเข้ามาในความคิดเลยค่ะ มะเร็งมี 4 ระยะ ระยะแรกมีก้อน 1-3 ซม. ระยะ 2 ก้อน 3 ซม.ขึ้นไป ระยะ 3
ก้อน 3 ซม.ขึ้นไปและไปที่ต่อมน้ำเหลืองบางส่วน ระยะ 4 กระจายไปทั่ว ฉันเหลืออีกระยะเดียวฉันก็จะตายแล้ว สมองฉันคิดได้แค่นั้น
ฉันออกมาหาลูกสาวที่นั่งรออยู่ เขาถามฉันว่าผลเป็นอย่างไร ฉันเข้าไปกอดเขา ปกติที่บ้านเราจะกอดและหอมแก้มกันเป็นประจำ
จนเป็นความเคยชิน ครั้งนี้ฉันคงกอดเขาแน่นกว่าปกติ เขารู้สึกผิดปกติและมองหน้าฉัน ตอนนั้นฉันต้องรวบรวมสติที่ไม่รู้มันหาย
ไปไหนให้กับมา เสียงที่จะพูดมันเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอ ทำให้พูดไม่ออก เขาเขย่าตัวฉันแล้วถาม พอฉันตอบไปว่าฉันเป็นมะเร็ง
เขาร้อง “แม่” เสียงดังจนคนทั้งห้องหันมามอง เขากอดฉันแน่น แล้วร้องไห้เสียงดังไม่อายใคร ฉันรู้ว่าลูกตกใจและเสียขวัญ
ฉันเองก็ไม่ต่างจากลูก ฉันอยากร้องไห้ออกมาดังๆ อยากตะโกน อยากระบายสิ่งที่อยู่ในใจ แต่สิ่งที่ฉันทำได้ตอนนั้นคือกอดลูก
และเป็นฝ่ายปลอบลูกเอง ฉันโทรหาสามีที่อยู่ ตจว. เขาช็อคไป แล้วเราตกลงกันว่าให้ฉันรักษาตัวที่ รพ.นี้
ฉันและลูกสาวที่ร้องไห้ไม่ยอมหยุดนั่งแท็กซี่กลับห้องพัก ลูกชายรออยู่ที่ห้อง พอเห็นอาการตาแดงของพี่สาว เขาถาม ฉันยังพูดไม่ออก
มันยังติดอยู่ที่คอ ลูกสาวตอบแทน เขาตกใจมากเข้ามากอดและร้องไห้ เท่านั้นน้ำตาที่ฉันต้องกักเก็บเอาไว้ตั้งแต่รู้จากปากคุณหมอ
ก็ไหลออกมาแบบกั้นไว้ไม่ไหว เราสามคนแม่ลูกกอดกันร้องไห้ สามีโทรมาถามว่า ฉันและลูกถึงห้องพักหรือยัง เสียงที่ได้ยินตามสาย
บอกให้รู้ว่าเขาผ่านการร้องไห้มาแล้ว
คืนนั้นทั้งคืนฉันไม่ได้นอนเลย มันนอนไม่หลับ ในสมองมีแต่เรื่องมะเร็ง ภาพโปสเตอร์ที่เห็นหน้าห้องตรวจ ความคิดเกี่ยวกับมะเร็ง
ที่พอจะมีอยู่บ้าง (ฟังเขาเล่ามา ไม่ได้อ่านหรือศึกษา เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว) มีแต่ในทางลบ ฉันรู้ว่าลูกสาวก็นอนไม่หลับ
ส่วนลูกชายกว่าจะหลับก็ดึกมากแล้ว ก่อนนอนลูกชายเขาขอกลับไปเรียนที่ ตจว.เพื่ออยู่กับฉัน เขาเพิ่งเข้าเรียน รร.ใหม่ได้ 2 วันเอง
มันเป็นเรื่องที่ฉันยอมไม่ได้ (ฉันได้เห็นความพยายามและความมุ่งมั่นของเขา กว่าเขาจะได้เข้ามาเรียน ม.ปลายใน รร.ที่เป็น รร.
อันดับหนึ่งของประเทศ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เขาทุ่มเทและมุ่งมั่นอ่านและฝึกทำข้อสอบย้อนหลังไปเป็นสิบปี ทำหลายรอบ ไม่เคยเข้ามา
เรียนพิเศษหรือติวที่ กทม.เลย) เราพูดกันอยู่นาน ลูกสาวที่ทำงานแล้วและกำลังเรียนต่ออยู่ บอกน้องชายว่าเขาจะกลับไปดูแลแม่เอง
ให้น้องอยู่ กทม.คนเดียวและตั้งใจเรียน เขาจึงยอมตกลง
ชีวิตฉันและครอบครัวกำลังมีความสุข สามีมีหน้าที่การงานสูงอย่างที่เขาตั้งใจและได้ย้ายเข้ามาใกล้บ้าน ลูกสาวคนโตได้ทำงาน
ในคณะที่เขารัก (อาจารย์ผู้ช่วย ม.ชื่อดังของรัฐ)กำลังจะเข้ารับปริญญา ด้วยคะแนนเกียรตินิยม คณะที่เป็นคณะที่หนึ่งของ ม.อันดับหนึ่ง
ของประเทศ ลูกชายคนเล็กกำลังเรียน ม.ปลายของ รร.อันดับหนึ่งของประเทศเหมือนกัน ครอบครัวเราเป็นครอบครัวที่หลายคนแอบอิจฉา แล้วมาเกิดเรื่องเลวร้ายอย่างนี้ได้ยังไง
ชีวิตครอบครัวฉันกำลังไปได้สวย ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้กับฉันและครอบครัว มันเหมือนฉันกำลังยืนมองปราสาททราย
ที่ก่อเสร็จเรียบร้อยแล้วด้วยความชื่นชม ภาคภูมิใจ และมีความสุข ฉันรู้ว่าการก่อปราสาทด้วยทรายมีความเสี่ยงที่จะพังได้สูง จากทั้ง
คลื่นลมและพายุ ฉันสู้อุตส่าห์สร้างมันให้ไกลจากคลื่นไม่ว่าลูกเล็กหรือใหญ่ และคอยเฝ้ามองดูพายุและหาทางป้องกัน ไม่ให้มันผ่าน
เข้ามาทำลายปราสาทของฉันได้ แต่ฉันลืมไปอีกอย่าง คือ ฝนที่ตกโดยไม่มีเค้าเมฆฝน อยู่ๆ มันก็ตกลงมาทันที โดยที่ฉันไม่เคยคิด
และไม่มีอะไรที่จะไปป้องกันมันได้ ปราสาทที่ฉันและครอบครัวร่วมกันสร้างขึ้นอย่างสวยงามด้วยความรัก พังลงต่อหน้าในพริบตา
ทุกคนในครอบครัวมีแต่ความทุกข์ใจ เรา 4 คน เคยมีความสุข ความสนุก และร่วมกันทำกิจกรรมทุกๆ อาทิตย์เมื่ออยู่พร้อมหน้า
แต่ตั้งแต่มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น ทุกคนเหี่ยวเฉาเหมือนต้นไม้ในกระถางที่ไม่ได้รดน้ำ แต่คงไม่มีใครทุกข์มากไปกว่าฉัน(ความคิด
ของฉันตอนนั้น) ทุกวันและเวลา เสียงของคนรอบข้างหรือแม้แต่คนที่ฉันรัก ก็เหมือนเสียงลมที่พัดผ่านไป มันไม่ได้เข้าไปในสมอง
ของฉันเลย สิ่งที่พวกเขาพูดหรือทำเพื่อฉัน ฉันไม่มีจิตใจที่จะรับรู้หรือใส่ใจ ฉันใส่ใจแต่ความคิดของฉันคนเดียว จนบ้างครั้งก็แสดง
ความหงุดหงิด หรืออารมณ์เสียในเรื่องไม่เป็นเรื่อง โดยไม่มีเหตุผล บ้างเรื่องถ้าฉันปกติฉันไม่เคยดุหรือว่าลูก แต่เวลานั้นมันเห็นอะไร
ก็หงุดหงิด ขวางหูขวางตาไปหมด อยากจะพูดฉันก็พูด อยากว่าใครก็ทำ ไม่สนใจความรู้สึกของใคร ซึ่งมันไม่ใช่นิสัยของฉันเลย
2 อาทิตย์เต็มๆ ที่ฉันอยู่ในสภาพนั้น ในสมองวกวนแต่เรื่องมะเร็ง ถ้าผ่าตัดฉันต้องเจ็บปวดมากแน่ๆ (ฉันไม่เคยผ่าตัดเลย ลูก 2
คนคลอดเอง ฉันกลัวการผ่าตัดมาก) ผ่าตัดแล้วฉันจะหายไหม ให้คีโมแล้วฉันจะแพ้อย่างที่มีคนเขาเล่าให้ฟังไหม ฉันจะทนได้
หรือเปล่า แล้วสุดท้ายฉันจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่เดือนกี่วัน ในสมองคิดวนเวียนแต่เรื่องเหล่านี้ หลับตาลงมองเห็นแต่ภาพคนที่แย่ลง
หรือที่เสียชีวิตด้วยโรคนี้ คิดแต่ในทางร้ายๆ ไม่มีภาพของคนที่ดีขึ้นหรือหายได้เลย และคิดไม่ตกว่าจะต้องทำอย่างไรกับตัวเอง
ทุกคนในบ้านเครียดกันไปหมด ฉันทานน้อยลง (ไม่ทานเนื้อสัตว์ ทานไข่ ผัก และผลไม้) น้ำหนักลดลงไป 3 กิโลภายใน 1 อาทิตย์
ลูกสาวลาออกจากงานที่เขารักมาอยู่กับฉันตั้งแต่วันที่รู้ผล ฉันห้ามเขาไม่ฟัง เขาบอกฉันว่า เรื่องงานเรื่องเรียนเขาจะทำเมื่อไรก็ได้
เขามีแม่คนเดียว เขาจะทำทุกอย่างเพื่อแม่ ณ เวลานี้ที่ยังมีแม่อยู่ให้ทำ ก่อนที่จะมาคิดเสียใจภายหลังเมื่อไม่มีแม่แล้ว สามีก็ไม่ห้าม
เขาให้เหตุผลที่ฉันไม่สามารถคัดค้านได้ คือ เรื่องงานเขาเองก็ยังไม่อยากให้ลูกทำ อยากให้ลูกเรียนต่อให้จบก่อน และการเรียนที่ว่า
ก็ไม่ต้องเข้าเรียนก็ได้ อ่านหนังสือเองแล้วไปสอบ ซึ่งลูกสาวก็เห็นดีไปพ่อเขาด้วย เป็นอันว่าฉันต้องยอมแพ้
การที่ฉันจมอยู่กับความทุกข์โดยไม่สนใจคนรอบข้าง ไม่รับรู้ว่าพวกเขาก็ทุกข์ไม่แพ้ฉันเหมือนกัน และที่สำคัญเขาทุกข์ตรงที่
ไม่รู้จะช่วยฉันได้อย่างไร เขาทำได้แค่เอาใจใส่และให้กำลังใจฉัน กว่าฉันจะเริ่มคิดได้ก็ผ่านไป 2 อาทิตย์ เย็นวันนั้นลูกสาวเปิดทีวี
เป็นรายการที่พระกำลังเทศน์ ฉันไม่ได้สนใจ จนเทศน์ถึงการดับทุกข์ ฉันจึงหันมาตั้งใจฟังจนจบ
คืนนั้น ฉันเริ่มมาคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉัน คิดถึงความรู้สึกของสามีและลูกๆ ที่เฝ้ามองฉันแย่ลงทุกวัน โดยที่พวกเขาช่วยอะไร
ฉันไม่ได้ ฉันเคยแอบได้ยินลูกสาวร้องไห้กับพ่อเขา ที่เห็นฉันไม่ดีขึ้นเลย ทั้งที่พวกเขาพยามแล้ว พวกเขาไม่แสดงอาการโกรธหรือ
หงุดหงิดใส่ฉันให้เห็น ไม่ว่าฉันแสดงสิ่งไม่ดีต่อพวกเขา เขายังทำเพื่อฉันต่อไปอย่างปกติ (ลูกสาวบอกตอนฉันอารมณ์ดีแล้วว่า
เขาคิดว่าทีคนอื่นเขายังทนได้ เขามีแม่คนเดียว แม่กำลังไม่สบาย เรื่องแค่นี้เขาทนได้ เพราะเขารักฉัน
อยากให้ฉันสู้และอยู่กับพวกเขาไปนานๆ) เมื่อฉันมาคิดดู อะไรนะถึงทำให้ฉัน คนที่เคยเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ที่รักลูกมากคนหนึ่ง
เป็นไปได้ถึงเพียงนี้ และคิดได้ว่าฉันโชคดีมากแค่ไหนที่มีสามีที่ดีและและลูกที่น่ารักได้อย่างใจทั้ง 2 คน พวกเขาทุกข์ใจไม่น้อย
ไปกว่าฉัน ตอนนั้นฉันไม่คิดจะสนใจหรือมองพวกเขาเอง มัวแต่มองตัวเอง และคิดว่า “ใครไม่มาเป็นอย่างฉัน ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นยังไง”
ฉันทำให้ครอบครัวไม่มีความสุข แถมสิ่งที่ฉันทำยังเพิ่มความทุกข์ให้พวกเขาอีก มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่ฉันมาใช้อารมณ์
เพื่อระบายใส่พวกเขา ไม่มีอะไรดีขึ้นมีแต่ทุกคนแย่ลง ทุกคนรัก หวังดี และพยามช่วยฉันต่อสู้ถึงขนาดนี้ หากฉันไม่ลุกขึ้นมาสู้
สิ่งที่พวกเขาทำก็สูญเปล่าไม่มีประโยชน์อะไรเลย
วันรุ่งขึ้นฉันตื่นแต่เช้าลุกไปทำกับข้าวเพื่อใส่บาตร ลูกสาวลุกมาช่วย แล้วเราก็เดินไปปากซอยเพื่อใสบาตรด้วยกัน พอเข้าบ้านลูกสาว
เข้ามากอด เขาบอกรักฉันและดีใจที่เห็นฉันลุกออกมาจากกองทุกข์ที่ฉันสร้างมันขึ้นมา เขาโทรบอกพ่อ โทรบอกน้อง ทุกคนดีใจ
กับสิ่งที่ฉันทำ เท่านั้นความสุขที่เราเคยมีด้วยกันก็กลับมาอีกครั้ง และครั้งนี้ฉันจะไม่ให้มีความผิดพลาดอย่างคราวที่แล้วอีก
หากฉันโชคร้ายอีกครั้ง ฉันรู้วิธีรับมือเพราะฉันมีบทเรียนมาแล้ว
ตั้งแต่วันนั้นมา ครอบครัวเราร่วมกันต่อสู้ และรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉัน ช่วยทำทุกอย่างที่เขาทำได้ และที่สำคัญคือ กำลังใจของ
สามีและลูกๆ ที่มีให้กับฉัน มันคือยาที่วิเศษกว่ายาอื่นใด บวกกับยาและการรักษาของคุณหมอ ทำให้ครอบครัวเราผ่านช่วงเวลา
นั้นมาด้วยดี
ทุกวันนี้ฉันมีเวลาที่ดูแลซ่อมแซมปราสาททรายที่มันพังไปเมื่อครั้งก่อน ให้กลับมาดีดังเดิม ด้วยความภาคภูมใจและมีความสุข
คราวนี้ฉันสร้างเครื่องป้องกันอย่างดี ด้วยภูมิคุ้มกันจากสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งที่แล้ว หากจะมีเหตุอะไรเกิดขึ้นอีก ฉันจะถือว่ามัน
เป็นเหตุสุดวิสัย ที่เกินความสามารถของฉัน ฉันและครอบครัวเตรียมความพร้อมที่จะรับมือกับมันตลอดเวลา
เราจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุขและมีสติ
ที่เล่ามาทั้งหมด อยากให้ท่านที่อ่านซึ่งต้องดูแลผู้ป่วยเข้าใจคนที่ป่วยว่าเขามีความรู้สึกอย่างไร หรือถ้าผู้ป่วยได้อ่านก็อยากให้
ทุกท่านเข้มแข็ง ลุกขึ้นมาสู้และเอาชนะสิ่งที่เกิดขึ้น อย่าปล่อยเวลาให้เนิ่นนาน มันไม่ดีต่อทั้งตัวผู้ป่วยเองและคนดูแล
คนที่เรารักและรักเรา ก็มีความรู้สึกไม่ต่างจากเรา เรามาร่วมกันสู้กับโรค แล้วชัยชนะก็จะเป็นของเรา ดีกว่ามาใช้อารมณ์ต่อกัน
มีแต่ทำให้ทุกอย่างแย่ลง
ด้วยความปรารถนาดี
ปล. วันนี้ไม่มีเมนูไข่มาฝาก (ลูกสาวขอเวลาไปพักสมองหน่อย)
อ่านกระทู้เก่าได้ที่...
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนที่ 1 >>http://ppantip.com/topic/30414596
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนที่ 2 >>http://ppantip.com/topic/30418215
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนที่ 3 >>http://ppantip.com/topic/30426153
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนที่ 4 >>http://ppantip.com/topic/30430450
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนที่ 5 >>http://ppantip.com/topic/30433744
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนที่ 6 >>http://ppantip.com/topic/30445429
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนที่ 7 >>http://ppantip.com/topic/30449086
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนที่ 8 >>http://ppantip.com/topic/30453280
เมื่อผู้ป่วยมะเร็งไม่ยอมทานไข่ จะเกิดอะไรขึ้น >>http://ppantip.com/topic/30474654