พระพุทธเจ้าตรัสว่าลมหายใจไม่มีใน 1.ทารกในครรภ์มารดา 2.คนกำลังดำน้ำ 3. อสัญญีสัตว์ (พรหมมีรูปไม่มีสัญญา) 4.คนตาย 5.ผู้เข้าจตุตถฌาน (ฌาน 4) ขึ้นไปจนถึงอรูปฌาน
จริงอยู่ ภิกษุนั้นรู้ว่ากรรมฐานไม่ปรากฏ ควรพิจารณาสำเหนียกอย่างนี้ว่า ชื่อว่าลมหายใจเข้าและหายใจออกนี้ มีอยู่ในที่ไหน? ไม่มีในที่ไหน? ของใครมี? ของใครไม่มี?
ภายหลัง เมื่อภิกษุนั้นพิจารณาดูอยู่อย่างนี้ก็รู้ได้ว่า ลมหายใจเข้าและหายใจออกนี้ (ของทารกผู้อยู่) ภายในท้องของมารดา ไม่มี, พวกชนผู้ดำน้ำก็ไม่มี, พวกอสัญญีสัตว์ คนตายแล้ว ผู้เข้าจตุตถฌาน ท่านผู้พร้อมเพรียงด้วยรูปภพและอรูปภพ ท่านผู้เข้านิโรธ ก็ไม่มีเหมือนกัน แล้วพึงตักเตือนตนด้วยตนเองอย่างนี้ว่า
แน่ะบัณฑิต! ตัวเธอไม่ใช่ผู้อยู่ในท้องของมารดา ไม่ใช่ผู้ดำน้ำ ไม่ใช่เป็นอสัญญีสัตว์ ไม่ใช่คนตาย ไม่ใช่ผู้เข้าจตุตถฌาน ไม่ใช่ผู้พร้อมเพรียงด้วยรูปภพและอรูปภพ ไม่ใช่ผู้เข้านิโรธ มิใช่หรือ? ตัวเธอยังมีลมหายใจเข้าและหายใจออกอยู่แท้ๆ แต่ตัวเธอก็ไม่สามารถจะกำหนดได้ เพราะยังมีปัญญาอ่อน.
ภายหลัง เธอนั่นควรตั้งจิตไว้ด้วยอำนาจที่ลมถูกต้องโดยปกตินั่นเอง ให้มนสิการเป็นไป. จริงอยู่ ลมหายใจเข้าและหายใจออกนี้กระทบโครงจมูกของผู้มีจมูกยาวผ่านไป, กระทบริมฝีปากข้างบนของผู้มีจมูกสั้นผ่านไป. เพราะฉะนั้น เธอนั่นจึงควรตั้งนิมิตไว้ว่า ลมหายใจเข้าและหายใจออกย่อมกระทบฐานชื่อนี้.
ความจริง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล จึงตรัสว่า๑-
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เราไม่กล่าวการเจริญอานาปานัสสติ แก่ภิกษุผู้หลงลืมสติ ไม่รู้สึกตัวอยู่.
พระพุทธเจ้าตรัสว่าลมหายใจไม่มีใน 1.ทารกในครรภ์มารดา 2.คนกำลังดำน้ำ 3. อสัญญีสัตว์ (พรหมมีรูปไม่มีสัญญา) 4.คนตาย 5.ฌาน4
จริงอยู่ ภิกษุนั้นรู้ว่ากรรมฐานไม่ปรากฏ ควรพิจารณาสำเหนียกอย่างนี้ว่า ชื่อว่าลมหายใจเข้าและหายใจออกนี้ มีอยู่ในที่ไหน? ไม่มีในที่ไหน? ของใครมี? ของใครไม่มี?
ภายหลัง เมื่อภิกษุนั้นพิจารณาดูอยู่อย่างนี้ก็รู้ได้ว่า ลมหายใจเข้าและหายใจออกนี้ (ของทารกผู้อยู่) ภายในท้องของมารดา ไม่มี, พวกชนผู้ดำน้ำก็ไม่มี, พวกอสัญญีสัตว์ คนตายแล้ว ผู้เข้าจตุตถฌาน ท่านผู้พร้อมเพรียงด้วยรูปภพและอรูปภพ ท่านผู้เข้านิโรธ ก็ไม่มีเหมือนกัน แล้วพึงตักเตือนตนด้วยตนเองอย่างนี้ว่า
แน่ะบัณฑิต! ตัวเธอไม่ใช่ผู้อยู่ในท้องของมารดา ไม่ใช่ผู้ดำน้ำ ไม่ใช่เป็นอสัญญีสัตว์ ไม่ใช่คนตาย ไม่ใช่ผู้เข้าจตุตถฌาน ไม่ใช่ผู้พร้อมเพรียงด้วยรูปภพและอรูปภพ ไม่ใช่ผู้เข้านิโรธ มิใช่หรือ? ตัวเธอยังมีลมหายใจเข้าและหายใจออกอยู่แท้ๆ แต่ตัวเธอก็ไม่สามารถจะกำหนดได้ เพราะยังมีปัญญาอ่อน.
ภายหลัง เธอนั่นควรตั้งจิตไว้ด้วยอำนาจที่ลมถูกต้องโดยปกตินั่นเอง ให้มนสิการเป็นไป. จริงอยู่ ลมหายใจเข้าและหายใจออกนี้กระทบโครงจมูกของผู้มีจมูกยาวผ่านไป, กระทบริมฝีปากข้างบนของผู้มีจมูกสั้นผ่านไป. เพราะฉะนั้น เธอนั่นจึงควรตั้งนิมิตไว้ว่า ลมหายใจเข้าและหายใจออกย่อมกระทบฐานชื่อนี้.
ความจริง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล จึงตรัสว่า๑-
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เราไม่กล่าวการเจริญอานาปานัสสติ แก่ภิกษุผู้หลงลืมสติ ไม่รู้สึกตัวอยู่.