อิสราเอลลุยถล่มฮามาสต่อเนื่อง ยอดดับพุ่ง 1,900 ปาเลสไตน์พลัดถิ่นกว่า 2 แสน
https://www.matichon.co.th/foreign/news_4225653
อิสราเอลลุยถล่มฮามาสต่อเนื่อง ยอดดับพุ่ง 1,900 ปาเลสไตน์พลัดถิ่นกว่า 2 แสน
สถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซายังคงไม่มีทีท่าว่าจะยุติ ล่าสุดอิสราเอลได้ทำการยิงถล่มพื้นที่ฉนวนกาซาอย่างหนักเพื่อเป็นการลงโทษกลุ่มฮามาส
หลังเหตุโจมตีของกลุ่มฮามาสผ่านไป 4 วัน กองทัพอิสราเอลยังคงเดินหน้าทิ้งระเบิดใส่ฉนวนกาซา โดยล่าสุดสามารถสังหารเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกลุ่มฮามาสไปได้ 2 ราย
ในเวลาเดียวกันชาวเมืองอัชเคลอนทางตอนใต้ของอิสราเอลได้รับคำสั่งให้หาที่หลบภัย หลังมีรายงานว่ากลุ่มติดอาวุธฮามาสจำนวนมากได้เดินทางข้ามพรมแดนจากฉนวนกาซาเข้ามาในอิสราเอลอีก หลังเปิดฉากยิงจรวดใส่อิสราเอลก่อนหน้านี้
ขณะที่หลายประเทศได้เสนอตัวที่จะเข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยเพื่อให้มีการยุติการสู้รบ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 1,900 ราย โดยเป็นยอดผู้เสียชีวิตในอิสราเอล 1,000 ราย และในกาซามากกว่า 900 ราย
ทั้งนี้ คาดว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจะเพิ่มสูงขึ้นอีก เนื่องจากอิสราเอลได้ถล่มฉนวนกาซาอย่างหนัก ทำให้ชาวปาเลสไตน์พากันหลบหนีเข้าไปพักพิงอยู่ในที่พักพิงของสหประชาชาติ
กระทรวงสาธารณสุขกาซาระบุว่า ขณะนี้มีผู้เสียชีวิตในฉนวนกาซาอันเนื่องมาจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลแล้ว 900 ราย ซึ่งในจำนวนนี้เป็นเด็ก 260 คน และผู้หญิง 230 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 4,500 คน
กระทรวงสาธารณสุขกาซายังแจ้งอีกว่า การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลไปยังพื้นที่พักอาศัยของชาวปาเลสไตน์ยังทำให้พลเมืองปาเลสไตน์กลายเป็นผู้พลัดถิ่นภายในดินแดนของตนเอง 140,000 คน โดยพวกเขาหลบหนีไปอยู่ในที่พักพิงของสหประชาชาติและในโรงพยาบาล
ขณะที่สหประชาชาติระบุว่า ตัวเลขของพลเมืองปาเลสไตน์ที่กลายเป็นผู้พลัดถิ่นในขณะนี้มีจำนวนอย่างน้อย 200,000 คน
กระทรวงสาธารณสุขกาซาบอกด้วยว่า การโจมตีของอิสราเอลพุ่งเป้าไปยังหน่วยงานทางด้านสาธารณสุข 9 แห่ง ซึ่งรวมถึงอาคารของกระทรวงสาธารณสุข คลินิก ศูนย์โรคสายตา ไปจนถึงรถพยาบาล
สถานการณ์ในฉนวนกาซายิ่งประสบปัญหาซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากขาดแคลนพลังงานและกระแสไฟฟ้า หลังจากรัฐบาลอิสราเอลประกาศปิดล้อมกาซาอย่างสมบูรณ์โดยไม่ให้มีการส่ง อาหาร พลังงานรวมถึงเวชภัณฑ์เข้าไปในพื้นที่
“สมชัย” โพสต์ แก้รธน.ฉบับเพื่อไทยเรื่องง่ายทำให้วุ่นวายว่ายาก
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_625828/
“สมชัย”โพสต์ แก้รัฐธรรมนูญฉบับเพื่อไทย เรื่องง่าย ทำให้วุ่นวายว่ายาก ศึกษาว่าต้องทำประชามติกี่ครั้ง ยังใช้เวลา 3 เดือน
นาย
สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง และอดีตผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเสรีรวมไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว “
สมชัย ศรีสุทธิยากร” ในหัวข้อ
แก้รัฐธรรมนูญฉบับเพื่อไทยเรื่องง่าย ทำให้วุ่นวายว่ายาก” โดยระบุว่า
รัฐบาลแถลงนโยบายเร่งด่วนว่าจะแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย แต่ก็มาตั้ง กรรมการ 35 คน ล้วนแล้วแต่ผู้ทรงวุฒิ ศึกษาว่าต้องทำประชามติกี่ครั้ง ใช้เวลาอีก 3 เดือน ถึงจะมีข้อสรุปถึง ครม.
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 บอกว่าถ้าจะจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ต้องทำประชามติ 2 ครั้ง คือก่อนทำ และหลังทำเสร็จ และหากจะให้มีกลไก สสร. ในการแก้ จึงต้องแก้ ม. 256ต้องทำประชามติอีกครั้ง รวมเป็น 3 ครั้ง
แต่ในเมื่อเพื่อไทยบอกว่า จะแก้โดยไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 ก็เท่ากับ ไม่ได้จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ การแก้ จึงเริ่มจากการแก้ มาตรา 256 เกี่ยวกับวิธีการแก้ โดยให้มี สสร.ที่มาจากการเลือกตั้ง ของประชาชน และแก้เงื่อนไขที่ต้องทำประชามติพร่ำเพรื่อ ใน มาตรา 256 ไปทีเดียว หลังจากนั้น ก็ทำประชามติครั้งเดียว ให้ความเห็นชอบการแก้วิธีการแก้ ก็จบ
จากนั้น สสร. ก็ไปประชุม แก้รัฐธรรมนูญยกเว้นหมวด 1 และ 2 ก็เท่ากับไม่ได้แก้ทั้งฉบับ ไม่ต้องทำประชามติ ทั้งก่อน และหลังทำ เรื่องง่าย ๆ แบบนี้ มือกฎหมายในพรรคคิดไม่ได้ สงสัยต้องฝาก”หมออ๋อง” รองประธานสภา จากพรรคเป็นธรรม จัดการ
https://www.facebook.com/somchaivision/posts/pfbid034QuMNLBHpTdSE7JpaeH3GQwnFpwcyZWxTBXapjD8a6vUQuCDwmBFMqPo34c9qGWGl
ค่าเงินบาทวันนี้ ‘แข็งค่าขึ้น’แตะ 36.54 บาท บอนด์ยีลด์สหรัฐปรับตัวลง
https://www.dailynews.co.th/news/2797769/
ค่าเงินบาทเช้านี้ พลิกฟื้นกลับมาแข็งค่า แตะ 36.54 บาทต่อดอลลาร์ หลังจากบอนด์ยีลด์สหรัฐปรับตัวลดลง และราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยติดตามความเสี่ยงเพิ่มเติมการสู้รบอิสราเอลและกลุ่มฮามาส.
วันที่ 11 ต.ค. นาย
พูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.54 บาทต่อดอลลาร์ “
แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.75 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.35-36.65 บาทต่อดอลลาร์
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (แกว่งตัวในช่วง 36.55-36.76 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ตามการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วนได้ให้ความเห็นว่า เฟดอาจมีความจำเป็นที่จะต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยลดลง นอกจากนี้ การย่อตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังได้หนุนให้ราคาทอง (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) คำสามารถรีบาวด์ขึ้นมาทรงตัวแถวระดับ 1,870 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราคาดว่าโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ ก็มีส่วนช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม โดยแม้ว่าจะยังมีประเด็นสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสกดดันบรรยากาศในตลาดการเงินบ้าง ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ได้แรงหนุนจากท่าทีของเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วนซึ่งให้ความเห็นว่า เฟดอาจไม่จำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะย่อตัวลงบ้าง และช่วยหนุนให้บรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ และหุ้นสไตล์ Growth ปรับตัวขึ้นต่อได้ (Tesla +1.5%, Nvidia +1.2%) ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.52%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 พลิกกลับมาพุ่งขึ้นกว่า +1.96% หนุนโดยท่าทีของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด และธนาคารกลางยุโรป (ECB) บางส่วนที่ส่งสัญญาณพร้อมสนับสนุนการหยุดขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งมุมมองดังกล่าว ได้ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวต่างย่อตัวลงและช่วยให้หุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ต่างปรับตัวได้ดี (LVMH +3.2%, ASML +3.1%)
ในฝั่งตลาดบอนด์ ท่าทีของผู้เล่นในตลาดที่ยังระมัดระวังต่อสถานการณ์สงครามและถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วนที่มองว่า เฟดอาจไม่จำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย ยังคงส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ แกว่งตัวใกล้ระดับ 4.65% โดยบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังไม่สามารถพลิกกลับมาปรับตัวขึ้นได้ชัดเจน ซึ่งเป็นไปได้ว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็อาจรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในวันพฤหัสฯ นี้ ทำให้บอนด์ยีลด์ระยะยาว ยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนต่อ อย่างไรก็ตาม เราคงแนะนำ Buy on Dip ในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ย่อตัวลงใกล้ระดับ 105.7 จุด (กรอบ 105.6-106.1 จุด) โดยผู้เล่นบางส่วนอาจลดการถือครองเงินดอลลาร์ เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เนื่องจากทั้ง ทองคำ และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อาจเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่มี upside potential น่าสนใจกว่า นอกจากนี้เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากมุมมองของเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วนที่ระบุว่า เฟดอาจไม่จำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ
ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวลงของทั้งบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ได้ส่งผลให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) สามารถรีบาวด์ขึ้นมาได้และแกว่งตัวใกล้ระดับ 1,870 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำดังกล่าว อาจหนุนให้ผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไรได้ และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะยังคงติดตามสถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอล-กลุ่มฮามาส ว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้น หรือ สงครามจะขยายวงกว้างจนกระทบทั้งภูมิภาคตะวันออกกลางหรือไม่
นอกจากนี้ ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งอาจช่วยสะท้อนแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในฝั่งสหรัฐฯ ได้ และที่สำคัญ ตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึง รายงานการประชุมเฟดล่าสุด (FOMC Meeting Minutes)
ขณะที่ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนั้นกลับมาได้เร็วกว่าที่เราคาดไว้ หลังเงินบาทสามารถทยอยแข็งค่าผ่านโซนแนวรับ 36.80 บาทต่อดอลลาร์ และโซน 36.60 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ
การแข็งค่าขึ้นของสินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ในช่วงนี้ ก็หนุนให้ผู้เล่นบางส่วนทยอยขายเงินเยนญี่ปุ่นออกมาบ้าง (JPYTHB เกือบแตะระดับ 24.80 บาทต่อ 100 เยน ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม) อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจชะลอลงบ้าง เนื่องจากผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่รีบปรับสถานะถือครอง จนกว่าจะรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในวันพฤหัสฯ นี้
ภาวะสงครามที่เกิดขึ้น หากทวีความรุนแรงมากขึ้น หรือ สงครามขยายวงกว้าง ก็อาจส่งผลให้ ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งภาพดังกล่าวอาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ หรือ อย่างน้อยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท จากความกังวลแนวโน้มการขาดดุลการค้า ซึ่งจะกดดันแนวโน้มดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย ขณะเดียวกัน ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติก็อาจยังมีความผันผวนอยู่ (ล่าสุด นักลงทุนต่างชาติยังมีลักษณะการซื้อสุทธิ สลับกับการขายสุทธิ) ส่วนบรรดาผู้นำเข้า ก็อาจรอทยอยซื้อเงินดอลลาร์บ้าง หลังเงินบาทสามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้
ทั้งนี้ เรายังคงประเมินโซนแนวต้านของเงินบาทไว้แถว 37.25 บาทต่อดอลลาร์ และคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทอาจไม่ได้อ่อนค่าไปมากกว่า 37.50 บาทต่อดอลลาร์ (ตามที่เราได้ประเมินไว้ ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน) ขณะที่ หากเงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้นต่อได้ จนหลุดโซนแนวรับ 36.50 บาทต่อดอลลาร์ชัดเจน ก็อาจเห็นการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องทดสอบโซน 36.25-36.30 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก โดยมีความเป็นไปได้ว่า การแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจนหลุดโซน 37.00 บาทต่อดอลลาร์ อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนเริ่มกลับมาเป็นฝั่ง Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) หากให้จุด stop loss ที่ 37.50 บาทต่อดอลลาร์ จุดเริ่มขายทำกำไร แถว 36.00 บาทต่อดอลลาร์.
JJNY : อิสราเอลลุยถล่มฮามาสต่อเนื่อง│แก้รธน.ฉบับพท.เรื่องง่ายทำให้วุ่น│ค่าเงินบาท‘แข็งค่าขึ้น’│อิสราเอลมี‘หน้าที่’ตอบโต้
https://www.matichon.co.th/foreign/news_4225653
อิสราเอลลุยถล่มฮามาสต่อเนื่อง ยอดดับพุ่ง 1,900 ปาเลสไตน์พลัดถิ่นกว่า 2 แสน
สถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซายังคงไม่มีทีท่าว่าจะยุติ ล่าสุดอิสราเอลได้ทำการยิงถล่มพื้นที่ฉนวนกาซาอย่างหนักเพื่อเป็นการลงโทษกลุ่มฮามาส
หลังเหตุโจมตีของกลุ่มฮามาสผ่านไป 4 วัน กองทัพอิสราเอลยังคงเดินหน้าทิ้งระเบิดใส่ฉนวนกาซา โดยล่าสุดสามารถสังหารเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกลุ่มฮามาสไปได้ 2 ราย
ในเวลาเดียวกันชาวเมืองอัชเคลอนทางตอนใต้ของอิสราเอลได้รับคำสั่งให้หาที่หลบภัย หลังมีรายงานว่ากลุ่มติดอาวุธฮามาสจำนวนมากได้เดินทางข้ามพรมแดนจากฉนวนกาซาเข้ามาในอิสราเอลอีก หลังเปิดฉากยิงจรวดใส่อิสราเอลก่อนหน้านี้
ขณะที่หลายประเทศได้เสนอตัวที่จะเข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยเพื่อให้มีการยุติการสู้รบ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 1,900 ราย โดยเป็นยอดผู้เสียชีวิตในอิสราเอล 1,000 ราย และในกาซามากกว่า 900 ราย
ทั้งนี้ คาดว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจะเพิ่มสูงขึ้นอีก เนื่องจากอิสราเอลได้ถล่มฉนวนกาซาอย่างหนัก ทำให้ชาวปาเลสไตน์พากันหลบหนีเข้าไปพักพิงอยู่ในที่พักพิงของสหประชาชาติ
กระทรวงสาธารณสุขกาซาระบุว่า ขณะนี้มีผู้เสียชีวิตในฉนวนกาซาอันเนื่องมาจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลแล้ว 900 ราย ซึ่งในจำนวนนี้เป็นเด็ก 260 คน และผู้หญิง 230 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 4,500 คน
กระทรวงสาธารณสุขกาซายังแจ้งอีกว่า การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลไปยังพื้นที่พักอาศัยของชาวปาเลสไตน์ยังทำให้พลเมืองปาเลสไตน์กลายเป็นผู้พลัดถิ่นภายในดินแดนของตนเอง 140,000 คน โดยพวกเขาหลบหนีไปอยู่ในที่พักพิงของสหประชาชาติและในโรงพยาบาล
ขณะที่สหประชาชาติระบุว่า ตัวเลขของพลเมืองปาเลสไตน์ที่กลายเป็นผู้พลัดถิ่นในขณะนี้มีจำนวนอย่างน้อย 200,000 คน
กระทรวงสาธารณสุขกาซาบอกด้วยว่า การโจมตีของอิสราเอลพุ่งเป้าไปยังหน่วยงานทางด้านสาธารณสุข 9 แห่ง ซึ่งรวมถึงอาคารของกระทรวงสาธารณสุข คลินิก ศูนย์โรคสายตา ไปจนถึงรถพยาบาล
สถานการณ์ในฉนวนกาซายิ่งประสบปัญหาซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากขาดแคลนพลังงานและกระแสไฟฟ้า หลังจากรัฐบาลอิสราเอลประกาศปิดล้อมกาซาอย่างสมบูรณ์โดยไม่ให้มีการส่ง อาหาร พลังงานรวมถึงเวชภัณฑ์เข้าไปในพื้นที่
“สมชัย” โพสต์ แก้รธน.ฉบับเพื่อไทยเรื่องง่ายทำให้วุ่นวายว่ายาก
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_625828/
“สมชัย”โพสต์ แก้รัฐธรรมนูญฉบับเพื่อไทย เรื่องง่าย ทำให้วุ่นวายว่ายาก ศึกษาว่าต้องทำประชามติกี่ครั้ง ยังใช้เวลา 3 เดือน
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง และอดีตผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเสรีรวมไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว “สมชัย ศรีสุทธิยากร” ในหัวข้อ แก้รัฐธรรมนูญฉบับเพื่อไทยเรื่องง่าย ทำให้วุ่นวายว่ายาก” โดยระบุว่า
รัฐบาลแถลงนโยบายเร่งด่วนว่าจะแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย แต่ก็มาตั้ง กรรมการ 35 คน ล้วนแล้วแต่ผู้ทรงวุฒิ ศึกษาว่าต้องทำประชามติกี่ครั้ง ใช้เวลาอีก 3 เดือน ถึงจะมีข้อสรุปถึง ครม.
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 บอกว่าถ้าจะจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ต้องทำประชามติ 2 ครั้ง คือก่อนทำ และหลังทำเสร็จ และหากจะให้มีกลไก สสร. ในการแก้ จึงต้องแก้ ม. 256ต้องทำประชามติอีกครั้ง รวมเป็น 3 ครั้ง
แต่ในเมื่อเพื่อไทยบอกว่า จะแก้โดยไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 ก็เท่ากับ ไม่ได้จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ การแก้ จึงเริ่มจากการแก้ มาตรา 256 เกี่ยวกับวิธีการแก้ โดยให้มี สสร.ที่มาจากการเลือกตั้ง ของประชาชน และแก้เงื่อนไขที่ต้องทำประชามติพร่ำเพรื่อ ใน มาตรา 256 ไปทีเดียว หลังจากนั้น ก็ทำประชามติครั้งเดียว ให้ความเห็นชอบการแก้วิธีการแก้ ก็จบ
จากนั้น สสร. ก็ไปประชุม แก้รัฐธรรมนูญยกเว้นหมวด 1 และ 2 ก็เท่ากับไม่ได้แก้ทั้งฉบับ ไม่ต้องทำประชามติ ทั้งก่อน และหลังทำ เรื่องง่าย ๆ แบบนี้ มือกฎหมายในพรรคคิดไม่ได้ สงสัยต้องฝาก”หมออ๋อง” รองประธานสภา จากพรรคเป็นธรรม จัดการ
https://www.facebook.com/somchaivision/posts/pfbid034QuMNLBHpTdSE7JpaeH3GQwnFpwcyZWxTBXapjD8a6vUQuCDwmBFMqPo34c9qGWGl
ค่าเงินบาทวันนี้ ‘แข็งค่าขึ้น’แตะ 36.54 บาท บอนด์ยีลด์สหรัฐปรับตัวลง
https://www.dailynews.co.th/news/2797769/
ค่าเงินบาทเช้านี้ พลิกฟื้นกลับมาแข็งค่า แตะ 36.54 บาทต่อดอลลาร์ หลังจากบอนด์ยีลด์สหรัฐปรับตัวลดลง และราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยติดตามความเสี่ยงเพิ่มเติมการสู้รบอิสราเอลและกลุ่มฮามาส.
วันที่ 11 ต.ค. นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.54 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.75 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.35-36.65 บาทต่อดอลลาร์
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (แกว่งตัวในช่วง 36.55-36.76 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ตามการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วนได้ให้ความเห็นว่า เฟดอาจมีความจำเป็นที่จะต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยลดลง นอกจากนี้ การย่อตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังได้หนุนให้ราคาทอง (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) คำสามารถรีบาวด์ขึ้นมาทรงตัวแถวระดับ 1,870 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราคาดว่าโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ ก็มีส่วนช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม โดยแม้ว่าจะยังมีประเด็นสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสกดดันบรรยากาศในตลาดการเงินบ้าง ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ได้แรงหนุนจากท่าทีของเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วนซึ่งให้ความเห็นว่า เฟดอาจไม่จำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะย่อตัวลงบ้าง และช่วยหนุนให้บรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ และหุ้นสไตล์ Growth ปรับตัวขึ้นต่อได้ (Tesla +1.5%, Nvidia +1.2%) ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.52%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 พลิกกลับมาพุ่งขึ้นกว่า +1.96% หนุนโดยท่าทีของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด และธนาคารกลางยุโรป (ECB) บางส่วนที่ส่งสัญญาณพร้อมสนับสนุนการหยุดขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งมุมมองดังกล่าว ได้ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวต่างย่อตัวลงและช่วยให้หุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ต่างปรับตัวได้ดี (LVMH +3.2%, ASML +3.1%)
ในฝั่งตลาดบอนด์ ท่าทีของผู้เล่นในตลาดที่ยังระมัดระวังต่อสถานการณ์สงครามและถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วนที่มองว่า เฟดอาจไม่จำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย ยังคงส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ แกว่งตัวใกล้ระดับ 4.65% โดยบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังไม่สามารถพลิกกลับมาปรับตัวขึ้นได้ชัดเจน ซึ่งเป็นไปได้ว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็อาจรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในวันพฤหัสฯ นี้ ทำให้บอนด์ยีลด์ระยะยาว ยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนต่อ อย่างไรก็ตาม เราคงแนะนำ Buy on Dip ในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ย่อตัวลงใกล้ระดับ 105.7 จุด (กรอบ 105.6-106.1 จุด) โดยผู้เล่นบางส่วนอาจลดการถือครองเงินดอลลาร์ เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เนื่องจากทั้ง ทองคำ และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อาจเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่มี upside potential น่าสนใจกว่า นอกจากนี้เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากมุมมองของเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วนที่ระบุว่า เฟดอาจไม่จำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ
ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวลงของทั้งบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ได้ส่งผลให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) สามารถรีบาวด์ขึ้นมาได้และแกว่งตัวใกล้ระดับ 1,870 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำดังกล่าว อาจหนุนให้ผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไรได้ และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะยังคงติดตามสถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอล-กลุ่มฮามาส ว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้น หรือ สงครามจะขยายวงกว้างจนกระทบทั้งภูมิภาคตะวันออกกลางหรือไม่
นอกจากนี้ ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งอาจช่วยสะท้อนแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในฝั่งสหรัฐฯ ได้ และที่สำคัญ ตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึง รายงานการประชุมเฟดล่าสุด (FOMC Meeting Minutes)
ขณะที่ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนั้นกลับมาได้เร็วกว่าที่เราคาดไว้ หลังเงินบาทสามารถทยอยแข็งค่าผ่านโซนแนวรับ 36.80 บาทต่อดอลลาร์ และโซน 36.60 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ
การแข็งค่าขึ้นของสินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ในช่วงนี้ ก็หนุนให้ผู้เล่นบางส่วนทยอยขายเงินเยนญี่ปุ่นออกมาบ้าง (JPYTHB เกือบแตะระดับ 24.80 บาทต่อ 100 เยน ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม) อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจชะลอลงบ้าง เนื่องจากผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่รีบปรับสถานะถือครอง จนกว่าจะรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในวันพฤหัสฯ นี้
ภาวะสงครามที่เกิดขึ้น หากทวีความรุนแรงมากขึ้น หรือ สงครามขยายวงกว้าง ก็อาจส่งผลให้ ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งภาพดังกล่าวอาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ หรือ อย่างน้อยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท จากความกังวลแนวโน้มการขาดดุลการค้า ซึ่งจะกดดันแนวโน้มดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย ขณะเดียวกัน ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติก็อาจยังมีความผันผวนอยู่ (ล่าสุด นักลงทุนต่างชาติยังมีลักษณะการซื้อสุทธิ สลับกับการขายสุทธิ) ส่วนบรรดาผู้นำเข้า ก็อาจรอทยอยซื้อเงินดอลลาร์บ้าง หลังเงินบาทสามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้
ทั้งนี้ เรายังคงประเมินโซนแนวต้านของเงินบาทไว้แถว 37.25 บาทต่อดอลลาร์ และคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทอาจไม่ได้อ่อนค่าไปมากกว่า 37.50 บาทต่อดอลลาร์ (ตามที่เราได้ประเมินไว้ ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน) ขณะที่ หากเงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้นต่อได้ จนหลุดโซนแนวรับ 36.50 บาทต่อดอลลาร์ชัดเจน ก็อาจเห็นการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องทดสอบโซน 36.25-36.30 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก โดยมีความเป็นไปได้ว่า การแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจนหลุดโซน 37.00 บาทต่อดอลลาร์ อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนเริ่มกลับมาเป็นฝั่ง Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) หากให้จุด stop loss ที่ 37.50 บาทต่อดอลลาร์ จุดเริ่มขายทำกำไร แถว 36.00 บาทต่อดอลลาร์.