รำลึก 6 ตุลาแน่น มธ. ท่าพระจันทร์ ตักบาตรอุทิศวีรชน พรรคการเมืองส่งหรีดพรึบ
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_4217825
รำลึก 6 ตุลาแน่น มธ. ท่าพระจันทร์ ตักบาตรอุทิศวีรชน พรรคการเมืองส่งหรีดพรึบ
เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ที่ สวนประวัติศาสตร์ธรรมศาสตร์ กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย บริเวณหน้าหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเครือข่าย ร่วมจัดงาน “
47 ปี 6 ตุลาฯ : กว่าจะเป็นประชาธิปไตย”
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศ เมื่อเวลาประมาณ 07.00 น. เริ่มมีประชาชนนำพวงหรีดทยอยเข้ามาในพื้นที่บริเวณลานประติมากรรมฯ ขณะที่ผู้จัดทยอยนำรูปภาพประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ 6 ตุลาติดตั้งบนป้ายหน้าหอประชุม รวมถึงแขวนป้ายผ้าข้อความต่างๆ โดยมีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก
ต่อมา เมื่อเวลา 07.40 น. มีการตักบาตรภิกษุสงฆ์ 19 รูปจากวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร อุทิศส่วนกุศลแด่วีรชน โดยมีญาติวีรชน, ประชาชน รวมถึงตัวแทนพรรคการเมืองและภาคส่วนต่างๆ เข้าร่วม อาทิ นาย
พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานรัฐสภา คนที่ 2 พรรคเพื่อไทย , นางสา
วธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย, นาย
สุธรรม แสงประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย
นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล , นาย
ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล, นาย
ณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล, นาย
ธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส. กรุงเทพ เขต18 พรรคก้าวไกล,
วีรภัทร คันธะ ส.ส. จังหวัดสมุทรปราการ เขต 6 พรรคก้าวไกล,
ทั้งนี้ ภาคส่วนต่างๆ ส่งพวงหรีดเข้าร่วมอาบัยเป็นจำนวนมาก อาทิ พวงหรีดจากประธานรัฐสภา , พวงหรีดจากคณะรัฐมนตรี , พวงหรีดจากมหาลัยธรรมศาสตร์ , พวงหรีดจากพรรคประชาชาติ , พวงหรีดจากพรรคเพื่อไทย , พวงหรีดจากมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม , พวงหรีดจากคนเสื้อแดง , พวงหรีดจากมูลนิธิจิตร ภูมิศักดิ์ สืบสารจิตใจวีรชนคน 6 ตุลา , พวงหรีดจากสถาบันปรีดี พนมยงค์ , พวงหรีดจากคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ , พวงหรีดจากคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ , พวงหรีดจากญาติวีรชน เมษา-พฤษภาคณะประชาชนทวงความยุติธรรม 53 , พวงหรีดจากมูลนิธิ 14 ตุลา , พวงหรีดจากสมัชชาคนจน , พวงหรีดจากกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย , พวงหรีดจากชมรมโดมรวมใจ เป็นต้น
กูรูชื่นชม"ก้าวไกล"ชงกม.นิรโทษกรรม ก้าวข้ามความขัดแย้ง
https://siamrath.co.th/n/482688
วันที่ 6 ต.ค.2566-นาย
ไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol โดยมีข้อความระบุว่า
ต้องพึ่งก้าวไกล ก้าวข้ามความขัดแย้ง เดินหน้าประเทศไทย!!!
นักการเมืองหาเสียง เรื่องปรองดองสมานฉันท์กันอุตลุด มาถึงวันนี้ก็พากันเงียบกริบ ทำก็แต่การสมานฉันท์เพื่อการโกงชาติฉ้อราษฎร์บังหลวง เอาเปรียบประเทศชาติและประชาชน
พรรคก้าวไกลไม่ได้หาเสียงในเรื่องนี้ แต่เมื่อวานนี้ ได้ยื่นร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ให้แก่ผู้เกี่ยวข้องทางการเมืองทุกฝ่าย ทุกกลุ่มทุกสีที่ต้องคดีความ โดยเริ่มตั้งแต่ผู้ ที่เกี่ยวข้องในการชุมนุมครั้งแรก ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มาจนถึงยุคปัจจุบันนี้
ซึ่งประธานรัฐสภาได้รับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวนี้แล้ว และจะบรรจุวาระต่อไป
ขอแสดงความชื่นชมและความชื่นใจ ต่อจิตใจของชาวพรรคก้าวไกล ที่ได้เริ่มต้น ในการยื่นร่างพระราชบัญญัติครั้งนี้ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และเดินหน้าประเทศไทยต่อไป
ในฐานะที่ผมเคยมีส่วนร่วมและเกี่ยวข้องเมื่อครั้งที่มีการ ปรองดองสมานฉันท์ครั้งใหญ่ในยุคป๋าเปรม คือการออกนโยบายตามคำสั่ง 66/2523 จะขอปวารณาตัวเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวนี้ด้วย
ขอท่านสมาชิกรัฐสภา ช่วยเสนอชื่อผมเป็นกรรมาธิการด้วย ผมจะช่วยผลักดันเรื่องนี้อย่างเต็มกำลัง และตั้งใจที่จะแปรญัตติ ให้ครอบคลุมถึง พี่น้องประชาชนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ไม่สงบ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งหมด เพื่อกลับคืนสู่อ้อมอกแห่งมาตุภูมิของเราด้วย
https://www.facebook.com/Paisal.Fanpage/posts/pfbid0n3YBWML1ty7gRKHDE7yf76KrgNLxPmSYtB69XieqVQk7ndavZZtVEjWLZbcDWBuYl
เอกสารว่อน แถลงการณ์นักวิชาการ คัดค้านนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท
https://www.prachachat.net/finance/news-1409477
เอกสารว่อน แถลงการณ์นักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์คัดค้านนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท แจง 8 เหตุผล นโยบาย “ได้ไม่คุ้มเสีย”
วันที่ 6 ตุลาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าปัจจุบันมีนักเศรษฐศาสตร์ รวมถึงนายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมาแสดงความคิดเห็นคัดค้านนโยบายแจกเงินผ่านดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาทให้กับประชาชนอายุ 16 ปีขึ้นไปทุกคน ซึ่งต้องใช้วงเงินสูงถึง 5.6 แสนล้านบาท
และล่าสุดมีเอกสารแถลงการณ์ที่อ้างว่าเป็นความเห็นของ 99 นักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์ (ไม่มีรายชื่อ) ที่ออกมาแสดงความเห็นให้ “ยกเลิก” นโยบายการแจกเงินดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท ที่มองนโยบาย “ได้ไม่คุ้มเสีย” ด้วย 8 เหตุผล
โดยเอกสารระบุว่าเป็นแถลงการณ์ของ 99 นักวิชาการและคณาจารย์เศรษฐศาสตร์ ดังนี้
1) เศรษฐกิจไทยกําลังค่อย ๆ ฟื้นตัวตามศักยภาพจากวิกฤตโรคระบาด และเงินเฟ้อในช่วงปี 2562-2565 โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้คาดการณ์ว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 2.8 ในปีนี้ และร้อยละ 4.4 ในปีหน้า จึงไม่มีความจําเป็นที่รัฐจะต้องใช้จ่ายเงินจํานวนมากเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ เพราะที่ผ่านมาการบริโภคภายในประเทศยังคงขยายตัวได้ดีเมื่อเทียบกับการส่งออก
นอกจากนี้การกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศยังอาจจะเป็นปัจจัยให้เกิดเงินเฟ้อสูงขึ้นมาอีก หลังจากที่เงินเฟ้อได้ลดลงจากร้อยละ 6.1 มาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 2.9 ในปีนี้ ท่ามกลางราคาพลังงานที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ในระยะหลังการกระตุ้นการบริโภคในช่วงเวลานี้จะทำใหเงินเฟ้อคาดการณ์ (inflation expectation) สูงขึ้น และอาจนําไปสู่สภาวะที่ต้องขึ้นดอกเบี้ยในที่สุด
เงินเฟ้อหรือสภาวะที่ข้าวของราคาแพงทั่วไปอันจะเกิดจากนโยบายนี้ จะทำให้เงินรายได้และเงินในกระเป๋าของประชาชนทุกคนมีค่าลดลง หากรวมมูลค่าที่ลดลงของประชาชนทุกคนอาจจะมีมูลค่าสูงกว่า 560,000
ล้านบาทก็ได้
2) เงินงบประมาณของรัฐที่มีจำกัดย่อมมีค่าเสียโอกาสเสมอ เงินจำนวนมากถึงประมาณนี้ 560,000 ล้านบาทนี้ ทำให้รัฐเสียโอกาสที่จะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ในการสร้าง digital
infrastructure หรือในการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นต้น
ซึ่งล้วนแต่จะสร้างศักยภาพในการเจริญเติบโตในระยะยาวแทนการใช้เงินเพื่อการกระตุ้นการบริโภคระยะสั้น ๆ ซึ่งไม่สมเหตุสมผลต่อการสร้างภาระหนี้สาธารณะให้เป็นภาระแก่คนรุ่นต่อไป
3) การกระตุ้นเศรษฐกิจให้รายได้ประชาชาติ (GDP) ขยายตัวโดยรัฐแจกเงินจำนวน 560,000 ล้านบาทเข้าไปในระบบเป็นการคาดหวังที่เกินจริง เพราะปัจจุบันมีข้อมูลเชิงประจักษ์จากงานวิจัยที่ทําให้นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าตัวทวีคูณทางการคลัง (fiscal multiplier) ที่เกิดจากการใช้จ่ายของรัฐในลักษณะเงินโอนหรือการแจกเงินมีค่าน้อยกว่า 1ซึ่งต่ำมากเมื่อเทียบกับตัวทวีคูณของการใช้จ่ายของรัฐโดยตรง การที่ผู้กําหนดนโยบายหวังว่านโยบายนี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจจึงเป็นสิ่งที่เลื่อนลอย
4) เราอยู่ในวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นมาตั้งแต่ปี 2565 เพราะเงินเฟ้อสูงขึ้นมาก การก่อหนี้จำนวนมาก ไม่ว่ารัฐบาลจะออกพันธบัตรหรือกู้เงินจากรัฐวิสาหกิจหรือกู้สถาบันการเงินของภาครัฐ ก็ล้วนแต่จะทำให้รัฐบาลและคนทั้งประเทศต้องเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทั้งสิ้น หนี้สาธารณะของรัฐที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 10.1 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ 61.6 ของรายได้ประชาชาติ (GDP) จะต้องมีภาระที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้นในยามที่ต้องจ่ายคืนหรือกู้ใหม่
ซึ่งจะมีผลต่อภาระเงินงบประมาณของรัฐในแต่ละปี นี่ยังไม่นับจำนวนเงินค่าดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากการแจกเงิน digital คนละ 10,000 บาทนี้ด้วย
5) ในช่วงที่โลกเผชิญกับวิกฤตโรคระบาดและภาวะเศรษฐกิจถดถอย รัฐบาลแทบทุกประเทศต่างก็จำเป็นที่จะต้องมีการขาดดุลการคลังและสร้างหนี้จำนวนมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ และรายจ่ายทางด้านสาธารณสุข แต่หลังจากวิกฤตโรคระบาดและภาวะเศรษฐกิจถดถอยผ่านไป หลายประเทศได้แสดงเจตนารมย์ที่ฉลาดรอบคอบ โดยลดการขาดดุลภาครัฐและหนี้สาธารณะลง (fiscal consolidation)
ทั้งนี้เพื่อสร้าง “
ที่ว่างทางการคลัง” (fiscal space) ไว้รองรับวิกฤตเศรษฐกิจในอนาคต นโยบายแจกเงิน digital 10,000 บาทนี้ ดูจะสวนทางกับสิ่งที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยที่มีอัตราส่วนรายรับจากภาษีเพียงร้อยละ 13.7 ของรายได้ประชาชาติ (GDP) ซึ่งถือว่าต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ มาก
6) การแจกเงินคนละ 10,000 บาท ให้ทุกคนที่อายุเกิน 16 ปี เป็นนโยบายที่สร้างความไม่เป็นธรรมในสังคมอย่างยิ่ง เศรษฐีและมหาเศรษฐีที่อายุเกิน 16 ปี ล้วนได้รับเงินช่วยเหลือ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความจำเป็น
7) สำหรับประเทศที่เข้าสู่สังคมสูงวัยเช่นประเทศไทย การเตรียมตัวทางด้านการคลังเป็นสิ่งจำเป็น ขณะที่จำนวนคนในวัยทำงานลดลง แต่สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาระการใช้จ่ายทางด้านสวัสดิการและสาธารณสุขจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ผู้บริหารประเทศที่มองไกลจึงควรใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่าและรักษาวินัยและเสถียรภาพทางด้านการคลังอย่างเคร่งครัด
8) ระบบ blockchain ปกติจะต้องทำการตรวจสอบความถูกต้องของทุกธุรกรรม โดยผู้ใช้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง ข้อดีคือทำให้ไม่สามารถฉ้อฉลข้อมูลได้ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นจุดตายของระบบด้วย เพราะแต่ละธุรกรรมจะต้องใช้เวลาเฉลี่ยในการตรวจสอบประมาณ 1-1.5 ชั่วโมงต่อธุรกรรม และจะยิ่งใช้เวลามากขึ้นเมื่อจำนวนธุรกรรมและผู้ใช้เพิ่มขึ้น เวลาที่ใช้ก็จะยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเอามาใช้กับระบบซื้อขายตามปกติ
ทั้งนี้ ยังไม่นับถึงความสิ้นเปลืองของเวลาและพลังงานในการทำการตรวจสอบข้อมูลของผู้ใช้ทุกคนด้วย หากรัฐบาลยังดึงดันจะแจกเงิน ก็ควรที่จะทำผ่านระบบเป๋าตังที่มีต้นทุนธุรกรรมที่ต่ำกว่า และประชาชนคุ้นเคยอยู่แล้วด้วยเหตุผลต่าง ๆ ข้างต้น บรรดานักวิชาการและคณาจารย์เศรษฐศาสตร์จึงขอให้รัฐบาลยกเลิก “นโยบายแจกเงิน digital 10,000 บาท” แก่ผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไป เพราะประโยชน์ที่ประเทศจะได้น้อยกว่าต้นทุนที่เสียไปอย่างมาก
นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างบรรทัดฐานให้มีการแจกเงินเพื่อกระตุ้นให้คนจับจ่ายใช้สอยในระยะสั้น ๆ โดยไม่คำนึงถึงวินัยและเสถียรภาพการคลังในระยะยาว และยังเป็นการสร้างพฤติกรรมการรอรับการแจกในระบบอุปถัมภ์อีกด้วย
JJNY : รำลึก 6 ตุลาแน่น มธ.│กูรูชื่นชม"ก้าวไกล"ชงกม.นิรโทษ│เอกสารว่อน ค้านนโยบายแจกเงินดิจิทัล│"ไบเดน"หวั่นการเมือง
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_4217825
รำลึก 6 ตุลาแน่น มธ. ท่าพระจันทร์ ตักบาตรอุทิศวีรชน พรรคการเมืองส่งหรีดพรึบ
เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ที่ สวนประวัติศาสตร์ธรรมศาสตร์ กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย บริเวณหน้าหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเครือข่าย ร่วมจัดงาน “47 ปี 6 ตุลาฯ : กว่าจะเป็นประชาธิปไตย”
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศ เมื่อเวลาประมาณ 07.00 น. เริ่มมีประชาชนนำพวงหรีดทยอยเข้ามาในพื้นที่บริเวณลานประติมากรรมฯ ขณะที่ผู้จัดทยอยนำรูปภาพประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ 6 ตุลาติดตั้งบนป้ายหน้าหอประชุม รวมถึงแขวนป้ายผ้าข้อความต่างๆ โดยมีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก
ต่อมา เมื่อเวลา 07.40 น. มีการตักบาตรภิกษุสงฆ์ 19 รูปจากวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร อุทิศส่วนกุศลแด่วีรชน โดยมีญาติวีรชน, ประชาชน รวมถึงตัวแทนพรรคการเมืองและภาคส่วนต่างๆ เข้าร่วม อาทิ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานรัฐสภา คนที่ 2 พรรคเพื่อไทย , นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย, นายสุธรรม แสงประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล , นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล, นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล, นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส. กรุงเทพ เขต18 พรรคก้าวไกล, วีรภัทร คันธะ ส.ส. จังหวัดสมุทรปราการ เขต 6 พรรคก้าวไกล,
ทั้งนี้ ภาคส่วนต่างๆ ส่งพวงหรีดเข้าร่วมอาบัยเป็นจำนวนมาก อาทิ พวงหรีดจากประธานรัฐสภา , พวงหรีดจากคณะรัฐมนตรี , พวงหรีดจากมหาลัยธรรมศาสตร์ , พวงหรีดจากพรรคประชาชาติ , พวงหรีดจากพรรคเพื่อไทย , พวงหรีดจากมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม , พวงหรีดจากคนเสื้อแดง , พวงหรีดจากมูลนิธิจิตร ภูมิศักดิ์ สืบสารจิตใจวีรชนคน 6 ตุลา , พวงหรีดจากสถาบันปรีดี พนมยงค์ , พวงหรีดจากคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ , พวงหรีดจากคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ , พวงหรีดจากญาติวีรชน เมษา-พฤษภาคณะประชาชนทวงความยุติธรรม 53 , พวงหรีดจากมูลนิธิ 14 ตุลา , พวงหรีดจากสมัชชาคนจน , พวงหรีดจากกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย , พวงหรีดจากชมรมโดมรวมใจ เป็นต้น
กูรูชื่นชม"ก้าวไกล"ชงกม.นิรโทษกรรม ก้าวข้ามความขัดแย้ง
https://siamrath.co.th/n/482688
วันที่ 6 ต.ค.2566-นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol โดยมีข้อความระบุว่า
ต้องพึ่งก้าวไกล ก้าวข้ามความขัดแย้ง เดินหน้าประเทศไทย!!!
นักการเมืองหาเสียง เรื่องปรองดองสมานฉันท์กันอุตลุด มาถึงวันนี้ก็พากันเงียบกริบ ทำก็แต่การสมานฉันท์เพื่อการโกงชาติฉ้อราษฎร์บังหลวง เอาเปรียบประเทศชาติและประชาชน
พรรคก้าวไกลไม่ได้หาเสียงในเรื่องนี้ แต่เมื่อวานนี้ ได้ยื่นร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ให้แก่ผู้เกี่ยวข้องทางการเมืองทุกฝ่าย ทุกกลุ่มทุกสีที่ต้องคดีความ โดยเริ่มตั้งแต่ผู้ ที่เกี่ยวข้องในการชุมนุมครั้งแรก ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มาจนถึงยุคปัจจุบันนี้
ซึ่งประธานรัฐสภาได้รับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวนี้แล้ว และจะบรรจุวาระต่อไป
ขอแสดงความชื่นชมและความชื่นใจ ต่อจิตใจของชาวพรรคก้าวไกล ที่ได้เริ่มต้น ในการยื่นร่างพระราชบัญญัติครั้งนี้ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และเดินหน้าประเทศไทยต่อไป
ในฐานะที่ผมเคยมีส่วนร่วมและเกี่ยวข้องเมื่อครั้งที่มีการ ปรองดองสมานฉันท์ครั้งใหญ่ในยุคป๋าเปรม คือการออกนโยบายตามคำสั่ง 66/2523 จะขอปวารณาตัวเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวนี้ด้วย
ขอท่านสมาชิกรัฐสภา ช่วยเสนอชื่อผมเป็นกรรมาธิการด้วย ผมจะช่วยผลักดันเรื่องนี้อย่างเต็มกำลัง และตั้งใจที่จะแปรญัตติ ให้ครอบคลุมถึง พี่น้องประชาชนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ไม่สงบ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งหมด เพื่อกลับคืนสู่อ้อมอกแห่งมาตุภูมิของเราด้วย
https://www.facebook.com/Paisal.Fanpage/posts/pfbid0n3YBWML1ty7gRKHDE7yf76KrgNLxPmSYtB69XieqVQk7ndavZZtVEjWLZbcDWBuYl
เอกสารว่อน แถลงการณ์นักวิชาการ คัดค้านนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท
https://www.prachachat.net/finance/news-1409477
เอกสารว่อน แถลงการณ์นักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์คัดค้านนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท แจง 8 เหตุผล นโยบาย “ได้ไม่คุ้มเสีย”
วันที่ 6 ตุลาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าปัจจุบันมีนักเศรษฐศาสตร์ รวมถึงนายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมาแสดงความคิดเห็นคัดค้านนโยบายแจกเงินผ่านดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาทให้กับประชาชนอายุ 16 ปีขึ้นไปทุกคน ซึ่งต้องใช้วงเงินสูงถึง 5.6 แสนล้านบาท
และล่าสุดมีเอกสารแถลงการณ์ที่อ้างว่าเป็นความเห็นของ 99 นักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์ (ไม่มีรายชื่อ) ที่ออกมาแสดงความเห็นให้ “ยกเลิก” นโยบายการแจกเงินดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท ที่มองนโยบาย “ได้ไม่คุ้มเสีย” ด้วย 8 เหตุผล
โดยเอกสารระบุว่าเป็นแถลงการณ์ของ 99 นักวิชาการและคณาจารย์เศรษฐศาสตร์ ดังนี้
1) เศรษฐกิจไทยกําลังค่อย ๆ ฟื้นตัวตามศักยภาพจากวิกฤตโรคระบาด และเงินเฟ้อในช่วงปี 2562-2565 โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้คาดการณ์ว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 2.8 ในปีนี้ และร้อยละ 4.4 ในปีหน้า จึงไม่มีความจําเป็นที่รัฐจะต้องใช้จ่ายเงินจํานวนมากเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ เพราะที่ผ่านมาการบริโภคภายในประเทศยังคงขยายตัวได้ดีเมื่อเทียบกับการส่งออก
นอกจากนี้การกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศยังอาจจะเป็นปัจจัยให้เกิดเงินเฟ้อสูงขึ้นมาอีก หลังจากที่เงินเฟ้อได้ลดลงจากร้อยละ 6.1 มาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 2.9 ในปีนี้ ท่ามกลางราคาพลังงานที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ในระยะหลังการกระตุ้นการบริโภคในช่วงเวลานี้จะทำใหเงินเฟ้อคาดการณ์ (inflation expectation) สูงขึ้น และอาจนําไปสู่สภาวะที่ต้องขึ้นดอกเบี้ยในที่สุด
เงินเฟ้อหรือสภาวะที่ข้าวของราคาแพงทั่วไปอันจะเกิดจากนโยบายนี้ จะทำให้เงินรายได้และเงินในกระเป๋าของประชาชนทุกคนมีค่าลดลง หากรวมมูลค่าที่ลดลงของประชาชนทุกคนอาจจะมีมูลค่าสูงกว่า 560,000
ล้านบาทก็ได้
2) เงินงบประมาณของรัฐที่มีจำกัดย่อมมีค่าเสียโอกาสเสมอ เงินจำนวนมากถึงประมาณนี้ 560,000 ล้านบาทนี้ ทำให้รัฐเสียโอกาสที่จะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ในการสร้าง digital
infrastructure หรือในการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นต้น
ซึ่งล้วนแต่จะสร้างศักยภาพในการเจริญเติบโตในระยะยาวแทนการใช้เงินเพื่อการกระตุ้นการบริโภคระยะสั้น ๆ ซึ่งไม่สมเหตุสมผลต่อการสร้างภาระหนี้สาธารณะให้เป็นภาระแก่คนรุ่นต่อไป
3) การกระตุ้นเศรษฐกิจให้รายได้ประชาชาติ (GDP) ขยายตัวโดยรัฐแจกเงินจำนวน 560,000 ล้านบาทเข้าไปในระบบเป็นการคาดหวังที่เกินจริง เพราะปัจจุบันมีข้อมูลเชิงประจักษ์จากงานวิจัยที่ทําให้นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าตัวทวีคูณทางการคลัง (fiscal multiplier) ที่เกิดจากการใช้จ่ายของรัฐในลักษณะเงินโอนหรือการแจกเงินมีค่าน้อยกว่า 1ซึ่งต่ำมากเมื่อเทียบกับตัวทวีคูณของการใช้จ่ายของรัฐโดยตรง การที่ผู้กําหนดนโยบายหวังว่านโยบายนี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจจึงเป็นสิ่งที่เลื่อนลอย
4) เราอยู่ในวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นมาตั้งแต่ปี 2565 เพราะเงินเฟ้อสูงขึ้นมาก การก่อหนี้จำนวนมาก ไม่ว่ารัฐบาลจะออกพันธบัตรหรือกู้เงินจากรัฐวิสาหกิจหรือกู้สถาบันการเงินของภาครัฐ ก็ล้วนแต่จะทำให้รัฐบาลและคนทั้งประเทศต้องเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทั้งสิ้น หนี้สาธารณะของรัฐที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 10.1 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ 61.6 ของรายได้ประชาชาติ (GDP) จะต้องมีภาระที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้นในยามที่ต้องจ่ายคืนหรือกู้ใหม่
ซึ่งจะมีผลต่อภาระเงินงบประมาณของรัฐในแต่ละปี นี่ยังไม่นับจำนวนเงินค่าดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากการแจกเงิน digital คนละ 10,000 บาทนี้ด้วย
5) ในช่วงที่โลกเผชิญกับวิกฤตโรคระบาดและภาวะเศรษฐกิจถดถอย รัฐบาลแทบทุกประเทศต่างก็จำเป็นที่จะต้องมีการขาดดุลการคลังและสร้างหนี้จำนวนมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ และรายจ่ายทางด้านสาธารณสุข แต่หลังจากวิกฤตโรคระบาดและภาวะเศรษฐกิจถดถอยผ่านไป หลายประเทศได้แสดงเจตนารมย์ที่ฉลาดรอบคอบ โดยลดการขาดดุลภาครัฐและหนี้สาธารณะลง (fiscal consolidation)
ทั้งนี้เพื่อสร้าง “ที่ว่างทางการคลัง” (fiscal space) ไว้รองรับวิกฤตเศรษฐกิจในอนาคต นโยบายแจกเงิน digital 10,000 บาทนี้ ดูจะสวนทางกับสิ่งที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยที่มีอัตราส่วนรายรับจากภาษีเพียงร้อยละ 13.7 ของรายได้ประชาชาติ (GDP) ซึ่งถือว่าต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ มาก
6) การแจกเงินคนละ 10,000 บาท ให้ทุกคนที่อายุเกิน 16 ปี เป็นนโยบายที่สร้างความไม่เป็นธรรมในสังคมอย่างยิ่ง เศรษฐีและมหาเศรษฐีที่อายุเกิน 16 ปี ล้วนได้รับเงินช่วยเหลือ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความจำเป็น
7) สำหรับประเทศที่เข้าสู่สังคมสูงวัยเช่นประเทศไทย การเตรียมตัวทางด้านการคลังเป็นสิ่งจำเป็น ขณะที่จำนวนคนในวัยทำงานลดลง แต่สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาระการใช้จ่ายทางด้านสวัสดิการและสาธารณสุขจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ผู้บริหารประเทศที่มองไกลจึงควรใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่าและรักษาวินัยและเสถียรภาพทางด้านการคลังอย่างเคร่งครัด
8) ระบบ blockchain ปกติจะต้องทำการตรวจสอบความถูกต้องของทุกธุรกรรม โดยผู้ใช้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง ข้อดีคือทำให้ไม่สามารถฉ้อฉลข้อมูลได้ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นจุดตายของระบบด้วย เพราะแต่ละธุรกรรมจะต้องใช้เวลาเฉลี่ยในการตรวจสอบประมาณ 1-1.5 ชั่วโมงต่อธุรกรรม และจะยิ่งใช้เวลามากขึ้นเมื่อจำนวนธุรกรรมและผู้ใช้เพิ่มขึ้น เวลาที่ใช้ก็จะยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเอามาใช้กับระบบซื้อขายตามปกติ
ทั้งนี้ ยังไม่นับถึงความสิ้นเปลืองของเวลาและพลังงานในการทำการตรวจสอบข้อมูลของผู้ใช้ทุกคนด้วย หากรัฐบาลยังดึงดันจะแจกเงิน ก็ควรที่จะทำผ่านระบบเป๋าตังที่มีต้นทุนธุรกรรมที่ต่ำกว่า และประชาชนคุ้นเคยอยู่แล้วด้วยเหตุผลต่าง ๆ ข้างต้น บรรดานักวิชาการและคณาจารย์เศรษฐศาสตร์จึงขอให้รัฐบาลยกเลิก “นโยบายแจกเงิน digital 10,000 บาท” แก่ผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไป เพราะประโยชน์ที่ประเทศจะได้น้อยกว่าต้นทุนที่เสียไปอย่างมาก
นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างบรรทัดฐานให้มีการแจกเงินเพื่อกระตุ้นให้คนจับจ่ายใช้สอยในระยะสั้น ๆ โดยไม่คำนึงถึงวินัยและเสถียรภาพการคลังในระยะยาว และยังเป็นการสร้างพฤติกรรมการรอรับการแจกในระบบอุปถัมภ์อีกด้วย