ผมเป็นคนหนึ่งที่มีความไมพอใจรุนแรง โมโหแรง และได้เห็นว่าเป็นสิ่งไม่ดี ทำให้คนอืนเสียใจรู้สึกไม่ดีเป็นโทษกับคนอื่น กระทบกับสิ่งอื่นๆที่เกียวข้องเช่นความสัมพันธ์หรืองาน ทำให้ตนเองเป็นทุกข์ใจเกิดโทษกับตนเอง
และคิดหาทางทำให้ความโกรธของตนเองหายไป
คิดถึงการปฏิบัติและศึกษา ซึ่งไม่ได้มุ่งศึกษาเกี่ยวกับวิชาการ แต่หาฟังหรืออ่านที่เป็นการสอนในการปฏิบัติ เริ่มทำความเข้าใจเรื่องความหมายขันธ์5 และเรื่องอริยสัจ4 แต่ไม่ทราบรายละเอียด
เริ่มแรกคงเหมือนทุกคน คือ สมถะ และได้ฟังพระรูปหนึ่งซึ่งทำให้เกิดความสนใจและทำตามนั้นเกี่ยวกับการรู้ตนเองในชีวิตประจำวัน
ได้ดำเนินการควบคู่กัน จนมีสมาธิที่เป็นสมถะระดับหนึ่ง (สิ่งที่เกิดขึ้นเนื่องจากสมถะไม่ขอกล่าว) เห็นว่าสงบระงับในช่วงนั้นจึงมีความพอใจหลงไหลในสมถะ และต้องทำตลอด จนวันที่มีเหตุขาดจากการทำสมถะ กระทบแล้วก็เหมือนภูเขาไฟรอการปะทุออก จึงเข้าใจคำว่า เหมือนหินทับหญ้า เนื่องจากมีความคิดเกิดขึ้นว่านั่งสมาธิแล้วได้อะไร
ทำให้มุ่งหาทางที่ถูกต้อง เน้นการภาวนาในชีวิตประจำวันมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ทิ้งสมถะ เรียนรู้เรื่องสติปัฏฐาน4
จนเข้าใจว่าหนทางการนำออกนั้นมีจริง และเริ่มเรียนรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นทุกข์ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่เที่ยง สิ่งที่สังเกตุอยู่ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่สิ่งที่น่าปรารถนาน่ายึดถือ ไม่ต้องบังคับว่าต้องมีสติไม่เพ่งจ้องปรารถนารักษา ไม่ต้องปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้น
ความต้องการบรรลุอะไรหายไปจากความคิด ระลึก สังเกตุสิ่งที่เป็นไปตามจริงในกายใจ การเกิดตามเหตุปัจจัย เมื่อเหตุดับส่งนั้นก็ย่อมดับ เหตุไม่เที่ยงสิ่งนั้นจะเที่ยงไม่ได้
พบผู้มีเมตตาแนะนำ ชี้ทาง อยู่เนื่องๆ สังเกตุได้ ท่านเหล่านั้นจะพูดสิ่งที่เราไม่เข้าใจ (และเราก็ดันไม่วิเคราะห์ให้เข้าใจด้วย)ท่านจะไม่อธิบายให้เข้าใจ และเป็นปริยัติน้อย จะเข้าใจได้เมื่อได้พบแล้วเข้าใจแล้ว
ไม่ได้กล่าวเพื่ออ้างสิ่งใดๆ เพียงแต่ยืนยันหนทางการนำออก
การเขียนนี้ไม่ได้เรียบเรียง ไม่ได้ประพันธ์ อย่าถือสา อย่าใส่ใจ
การนำออก
และคิดหาทางทำให้ความโกรธของตนเองหายไป
คิดถึงการปฏิบัติและศึกษา ซึ่งไม่ได้มุ่งศึกษาเกี่ยวกับวิชาการ แต่หาฟังหรืออ่านที่เป็นการสอนในการปฏิบัติ เริ่มทำความเข้าใจเรื่องความหมายขันธ์5 และเรื่องอริยสัจ4 แต่ไม่ทราบรายละเอียด
เริ่มแรกคงเหมือนทุกคน คือ สมถะ และได้ฟังพระรูปหนึ่งซึ่งทำให้เกิดความสนใจและทำตามนั้นเกี่ยวกับการรู้ตนเองในชีวิตประจำวัน
ได้ดำเนินการควบคู่กัน จนมีสมาธิที่เป็นสมถะระดับหนึ่ง (สิ่งที่เกิดขึ้นเนื่องจากสมถะไม่ขอกล่าว) เห็นว่าสงบระงับในช่วงนั้นจึงมีความพอใจหลงไหลในสมถะ และต้องทำตลอด จนวันที่มีเหตุขาดจากการทำสมถะ กระทบแล้วก็เหมือนภูเขาไฟรอการปะทุออก จึงเข้าใจคำว่า เหมือนหินทับหญ้า เนื่องจากมีความคิดเกิดขึ้นว่านั่งสมาธิแล้วได้อะไร
ทำให้มุ่งหาทางที่ถูกต้อง เน้นการภาวนาในชีวิตประจำวันมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ทิ้งสมถะ เรียนรู้เรื่องสติปัฏฐาน4
จนเข้าใจว่าหนทางการนำออกนั้นมีจริง และเริ่มเรียนรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นทุกข์ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่เที่ยง สิ่งที่สังเกตุอยู่ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่สิ่งที่น่าปรารถนาน่ายึดถือ ไม่ต้องบังคับว่าต้องมีสติไม่เพ่งจ้องปรารถนารักษา ไม่ต้องปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้น
ความต้องการบรรลุอะไรหายไปจากความคิด ระลึก สังเกตุสิ่งที่เป็นไปตามจริงในกายใจ การเกิดตามเหตุปัจจัย เมื่อเหตุดับส่งนั้นก็ย่อมดับ เหตุไม่เที่ยงสิ่งนั้นจะเที่ยงไม่ได้
พบผู้มีเมตตาแนะนำ ชี้ทาง อยู่เนื่องๆ สังเกตุได้ ท่านเหล่านั้นจะพูดสิ่งที่เราไม่เข้าใจ (และเราก็ดันไม่วิเคราะห์ให้เข้าใจด้วย)ท่านจะไม่อธิบายให้เข้าใจ และเป็นปริยัติน้อย จะเข้าใจได้เมื่อได้พบแล้วเข้าใจแล้ว
ไม่ได้กล่าวเพื่ออ้างสิ่งใดๆ เพียงแต่ยืนยันหนทางการนำออก
การเขียนนี้ไม่ได้เรียบเรียง ไม่ได้ประพันธ์ อย่าถือสา อย่าใส่ใจ