ชายหนุ่มที่ชื่อว่าแฮร์รี่กำลังอ่านหนังสือ เขาสังเกตเห็นว่ามีอะไรบางอย่างเลื้อยเข้ามาบนตัวเขา
โดยไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไรต่อไป แฮรี่ตัดสินใจนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น และรอให้ใครสักคนมาช่วยเขา...
ในที่สุดก็มาถึงเรื่องสุดท้ายในคอลเลกชั่นภาพยนตร์ขนาดสั้นซึ่งดัดแปลงจากผลงานของนักเขียนรูออล ดาห์ล
นักเขียนชาวเวลส์ชื่อดัง กับ Poison ภาพยนตร์สั้นเรื่องที่สี่และเรื่องสุดท้ายในซีรีส์ที่เวส แอนเดอร์สัน เป็นผู้เขียนบทและกำกับ
หลังจากที่ผมนำเสนอมาแล้วก่อนหน้านี้ทั้ง The Wonderful Story of Henry Sugar, The Swan และ The Rat Catcher
เช่นเดียวกับเรื่องก่อนๆ ซึ่งฉายทาง Netflix ในสัปดาห์นี้แบบรัวๆ Poison เขียนบทและกำกับโดย Wes Anderson
โดยอิงจากเรื่องราวของ Dahl ในชื่อเดียวกัน นำแสดงโดยเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์, เดฟ พาเทล, เบ็น คิงสลีย์ และราล์ฟ ไฟนส์ (คนนี้มาทั้ง 4 เรื่อง)
บอกเล่าเรื่องราวของชายคนหนึ่งนอนแข็งทื่ออยู่บนเตียง เพราะงูพิษร้ายแรงกำลังหลับอยู่บนหน้าอกของเขา
ภาพยนตร์ยังคงความยาวไว้ที่ 17 นาทีเหมือน 2 เรื่องก่อนหน้า และยังคงรักษาเทคนิคการเล่าเรื่องผ่านหน้ากล้อง
แบบเดียวกับภาพยนตร์ดัดแปลงของดาห์ลทั้งสามเรื่องก่อนหน้านี้ ซึ่งการนำเสนอเรื่องราวที่เรียบง่าย
ค้นหาวิธีที่จะเล่าเรื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทำให้เรื่องราวน่าหลงใหล เป็นไปอย่างไหลลื่นได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
นักแสดงหลักทั้ง 3 คนใน Poison วนกลับมาอีกครั้งหลังจากมีบทบาทมาแล้วใน The Wonderful Story of Henry Sugar
แต่คนที่โดดเด่นและขโมยซีนได้สุดยอดก็คือคัมเบอร์แบตช์ ในบทของแฮรี่ ชายโชคร้ายที่นอนนิ่งติดเตียงและหวาดกลัวสุดขีด
โดยใช้เพียงแค่ตาและปากในการถ่ายทอดอารมณ์ ไม่ได้ขยับร่างกายที่เหลือเลยสักนิด (นอนตัวเกร็งตาแข็งทื่อ)
ซึ่งบอกเลยว่านี่คือหนังปิดท้ายซีรี่ย์เรื่องสั้นของดาห์ลแบบที่เรียกได้ว่าคนดูต้องอุทานออกมาอย่างแน่นอน
แต่จะอุทานในรูปแบบไหนนั้น ขอให้ชมกันเองนะครับ บอกได้แค่ว่าหมอแปลกของเรา คือที่สุดของความ..... จริงๆ
ขณะที่เดฟ พาเทล ก็กระหน่ำเล่าเรื่องแบบรัวไฟแลบด้วยอารมณ์ของเนื้อเรื่องพาไป
จนถ้าอยากจะฟังให้ชัดๆ และเข้าใจได้ง่ายต้องลดสปีดหนังเหลือ 0.75 กันเลยทีเดียว...
เอาล่ะครับ หลังผ่านไป 4 เรื่องสั้นครบจบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต้องบอกเลยว่าหากคุณเป็นแฟนตัวยงที่รอคอยงานของเวส แอนเดอร์สันอยู่นั้น
การได้มาชมงานของเจ้าตัว 4 เรื่องติดๆกันทุกวันแบบนี้ มันเหมือนกับของขวัญชิ้นพิเศษเลยทีเดียว
(สำหรับตัวผมเองก็รู้สึกแบบนั้น เพราะผมชอบงานของเวสอยู่แล้ว..)
แต่...ถ้าคุณเป็นคนที่เพิ่งเริ่มดูงานของผู้กำกับรายนี้ ใน 2 เรื่องแรก คุณอาจจะรู้สึกว่ามันแปลกใหม่
อารมณ์เหมือนอ่านรีวิวร้านขนมที่น่าทาน และคุณก็ตามไปชิม คำสองคำแรกคุณจะรู้สึกอร่อยไปกับมัน
แต่เมื่อคุณกินชิ้นต่อไปเรื่อยๆ ติดๆกัน ชิ้นที่ 3 และ 4 ความอร่อยที่ว่านั้นมันจะเปลี่ยนเป็นความเอียนและเลี่ยนแทน..
อุปมากับหนังในซีรี่ย์นี้ เรื่องที่ 3 และ 4 ความรู้สึกแปลกใหม่ที่คุณได้รับนั้น อาจจะเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเฉยๆ.. กลางๆ
ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ไม่แปลกแต่อย่างใด
อย่างที่ผมเคยบอกไว้เสมอในท้ายรีวิว ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหาร
อาหารถึงจะอร่อย แต่ถ้าให้กินติดกันบ่อยๆ ก็เบื่อได้เช่นกัน
แต่สำหรับผม ถ้าผมลองชอบกินอะไร ผมกินได้ตลอดไปไม่เบื่อแน่นอน 55
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== Poison (2023) นอนอยู่ดีดี... ก็มีเรื่องระทึกขวัญ... ==
ชายหนุ่มที่ชื่อว่าแฮร์รี่กำลังอ่านหนังสือ เขาสังเกตเห็นว่ามีอะไรบางอย่างเลื้อยเข้ามาบนตัวเขา
โดยไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไรต่อไป แฮรี่ตัดสินใจนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น และรอให้ใครสักคนมาช่วยเขา...
ในที่สุดก็มาถึงเรื่องสุดท้ายในคอลเลกชั่นภาพยนตร์ขนาดสั้นซึ่งดัดแปลงจากผลงานของนักเขียนรูออล ดาห์ล
นักเขียนชาวเวลส์ชื่อดัง กับ Poison ภาพยนตร์สั้นเรื่องที่สี่และเรื่องสุดท้ายในซีรีส์ที่เวส แอนเดอร์สัน เป็นผู้เขียนบทและกำกับ
หลังจากที่ผมนำเสนอมาแล้วก่อนหน้านี้ทั้ง The Wonderful Story of Henry Sugar, The Swan และ The Rat Catcher
เช่นเดียวกับเรื่องก่อนๆ ซึ่งฉายทาง Netflix ในสัปดาห์นี้แบบรัวๆ Poison เขียนบทและกำกับโดย Wes Anderson
โดยอิงจากเรื่องราวของ Dahl ในชื่อเดียวกัน นำแสดงโดยเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์, เดฟ พาเทล, เบ็น คิงสลีย์ และราล์ฟ ไฟนส์ (คนนี้มาทั้ง 4 เรื่อง)
บอกเล่าเรื่องราวของชายคนหนึ่งนอนแข็งทื่ออยู่บนเตียง เพราะงูพิษร้ายแรงกำลังหลับอยู่บนหน้าอกของเขา
ภาพยนตร์ยังคงความยาวไว้ที่ 17 นาทีเหมือน 2 เรื่องก่อนหน้า และยังคงรักษาเทคนิคการเล่าเรื่องผ่านหน้ากล้อง
แบบเดียวกับภาพยนตร์ดัดแปลงของดาห์ลทั้งสามเรื่องก่อนหน้านี้ ซึ่งการนำเสนอเรื่องราวที่เรียบง่าย
ค้นหาวิธีที่จะเล่าเรื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทำให้เรื่องราวน่าหลงใหล เป็นไปอย่างไหลลื่นได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
นักแสดงหลักทั้ง 3 คนใน Poison วนกลับมาอีกครั้งหลังจากมีบทบาทมาแล้วใน The Wonderful Story of Henry Sugar
แต่คนที่โดดเด่นและขโมยซีนได้สุดยอดก็คือคัมเบอร์แบตช์ ในบทของแฮรี่ ชายโชคร้ายที่นอนนิ่งติดเตียงและหวาดกลัวสุดขีด
โดยใช้เพียงแค่ตาและปากในการถ่ายทอดอารมณ์ ไม่ได้ขยับร่างกายที่เหลือเลยสักนิด (นอนตัวเกร็งตาแข็งทื่อ)
ซึ่งบอกเลยว่านี่คือหนังปิดท้ายซีรี่ย์เรื่องสั้นของดาห์ลแบบที่เรียกได้ว่าคนดูต้องอุทานออกมาอย่างแน่นอน
แต่จะอุทานในรูปแบบไหนนั้น ขอให้ชมกันเองนะครับ บอกได้แค่ว่าหมอแปลกของเรา คือที่สุดของความ..... จริงๆ
ขณะที่เดฟ พาเทล ก็กระหน่ำเล่าเรื่องแบบรัวไฟแลบด้วยอารมณ์ของเนื้อเรื่องพาไป
จนถ้าอยากจะฟังให้ชัดๆ และเข้าใจได้ง่ายต้องลดสปีดหนังเหลือ 0.75 กันเลยทีเดียว...
เอาล่ะครับ หลังผ่านไป 4 เรื่องสั้นครบจบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต้องบอกเลยว่าหากคุณเป็นแฟนตัวยงที่รอคอยงานของเวส แอนเดอร์สันอยู่นั้น
การได้มาชมงานของเจ้าตัว 4 เรื่องติดๆกันทุกวันแบบนี้ มันเหมือนกับของขวัญชิ้นพิเศษเลยทีเดียว
(สำหรับตัวผมเองก็รู้สึกแบบนั้น เพราะผมชอบงานของเวสอยู่แล้ว..)
แต่...ถ้าคุณเป็นคนที่เพิ่งเริ่มดูงานของผู้กำกับรายนี้ ใน 2 เรื่องแรก คุณอาจจะรู้สึกว่ามันแปลกใหม่
อารมณ์เหมือนอ่านรีวิวร้านขนมที่น่าทาน และคุณก็ตามไปชิม คำสองคำแรกคุณจะรู้สึกอร่อยไปกับมัน
แต่เมื่อคุณกินชิ้นต่อไปเรื่อยๆ ติดๆกัน ชิ้นที่ 3 และ 4 ความอร่อยที่ว่านั้นมันจะเปลี่ยนเป็นความเอียนและเลี่ยนแทน..
อุปมากับหนังในซีรี่ย์นี้ เรื่องที่ 3 และ 4 ความรู้สึกแปลกใหม่ที่คุณได้รับนั้น อาจจะเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเฉยๆ.. กลางๆ
ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ไม่แปลกแต่อย่างใด
อย่างที่ผมเคยบอกไว้เสมอในท้ายรีวิว ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหาร
อาหารถึงจะอร่อย แต่ถ้าให้กินติดกันบ่อยๆ ก็เบื่อได้เช่นกัน
แต่สำหรับผม ถ้าผมลองชอบกินอะไร ผมกินได้ตลอดไปไม่เบื่อแน่นอน 55
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===