เรื่องราวการเดินทางสุดหิน ฉลองทริปเรียนจบ ด้วยการนั่งรถไฟล่องใต้ สายประหยัดแต่ก็กินระยะเวลายาวนานเกือบ 10 วัน ไหวไหมถามใจดู (ใจบอกว่าไหว จบทริปบอกไม่เอาอีกแล้วว)
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณเพื่อนร่วมทางของเราที่สดใสร่าเริง ไปไหนไปกันเป็นอย่างดี ระหว่างทริปมีข้อผิดพลาดมากมายก็ไม่เคยโวยวายเลย มีแต่เราที่บ่นอยู่คนเดียว
เอาละวันนี้เราจะมาเล่าการเดินทางที่ยาวนานของเด็กจบใหม่ ที่อยากไปเที่ยวแต่ก็ยังขี้งกที่สุดคนนี้
ก่อนอื่นเราจะขอเกริ่นแผนการเดินทางคร่าวๆ ก่อน
ทริปของเรา ซึ่งในทีนี้เราจัดทริปเป็นแบบยืดหยุ่นมาก ด้วยการวางแผนโดยดูตารางรถไฟ และมาร์คจังหวัดที่จะนอนค้างคืนไว้ โดยการเดินทางของเราแม้จะอยากประหยัดที่สุด ด้วยงบที่มีจำกัด (เราจะกัดงบการเงินไว้ตอนแรกไม่เกิน 6000 บาท) เราจึงเดินทางด้วยรถไฟ ชั้น 3 ตลอดทริป
ซึ่งรูทการเดินทางของเราจะประกอบไปด้วยต้นทางปลายทางต่อไปนี้
รถไฟ > หัวลำโพง - ชุมพร (นอนชุมพร 1 คืน)
รถไฟ > ชุมพร - กันตัง - ตรัง (กลับมานอนตรัง 1 คืน)
รถตู้ > ตรัง - สงขลา (นอนสงขลา 1 คืน)
รถโดยสาร > สงขลา - หาดใหญ่ (นอนหาดใหญ่ 1 คืน)
รถไฟ > หาดใหญ่ - สุไหงโกลก
รถไฟ > สุไหงโกลก - ยะลา
รถเบนซ์โดยสาร > ยะลา - เบตง (นอนเบตง 2 คืน)
รถตู้ > เบตง - หาดใหญ่ (นอนหาดใหญ่ 1 คืน)
รถไฟ > หาดใหญ่ - กรุงเทพชุมทางบางซื่อ (นอนบนรถไฟ 1 คืน)
สนนวันที่ใช้ไป 10 วัน 9 คืน
จะรอช้าอยู่ไย ขอเริ่มต้นเล่าเรื่องตั้งแต่แรกของทริปเลย
วันแรกของทริป
Day1
ทริปนี้เป็นทริปที่เราแพลนนานมาก แพลนตั้งแต่ต้นปี นั่งดูเส้นในรถไฟใน google map มาเรื่อยๆจนแทบจะจำเส้นทางได้ (ซึ่งพอได้เดินทางจริง เราจำจังหวัดที่รถไฟผ่านได้ทุกจังหวัดแล้ว ฮ่าๆ) แต่เนื่องจากเราไม่เคยนั่งรถไฟทั้งขึ้นเหนือ หรือลงใต้ ทริปนี้จึงถือว่าเป็นทริปเปิดหูเปิดตา และทำเอาเราตื่นเต้นมากๆ
เราเริ่มต้นวันแรกด้วยการตื่นอย่างงัวเงีย (เพราะตื่นเต้นมากจนนอนไม่หลับตั้งแต่เมื่อคืน) แบกกระเป๋าเป้ใบใหญ่ นั่งรถเมล์จากนนทบุรีไปยังสถานีรถไฟหัวลำโพง ตามที่ได้นัดหมายเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขในทริปนี้
เวลา 12.30
รถเร็ว สายที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ซึ่งเราหมายความด้วย 2 นัยยะด้วยกัน คือ เป็นขบวนที่มีโบกี้ต่อกันยาวที่สุด และเป็นเดินทางด้วยระยะทางที่ยาวที่สุด จากกรุงเทพ-สู่สุไหงโกลก เป็นเส้นทางที่ไกลที่สุดของทุกเส้นทางรถไฟในประเทศไทย
เมื่อถึงกำหนดเวลา รถไฟก็แล่นช้าๆออกจากสถานีหัวลำโพง ทุกโบกี้อัดแน่นไปด้วยผู้โดยสาร
เรานั่งเล่นไปนานจนเวลา 16.00 ถึงเริ่มตื่นตาตื่นใจขึ้นมาหน่อยนึง ทิวทัศน์ที่เปลี่ยนผ่าน จากตึกรางบ้านช่องที่เต็มไปด้วยปูนและคอนกรีต เริ่มมีสีเขียวของธรรมชาติที่อุดมสมบุรณ์ให้เห็นบ้างแล้ว เราเริ่มเห็นวัวและควาย เป็ดไก่ สัตว์เลี้ยงของผู้คนปรากฎตามท้องทุ่งนาเขียวขจี วิวที่เราอยากนำเสนอมากคือวิวภูเขาหลังผ่านสถานีราชบุรีมา
ภูเขาสลับซับซ้อนนี้ แนวเทือกเขาตะนาวศรี เป็นเทือกเขาที่เราว่ามันก็สวยมากนะ (ถึงแม้เราจะไม่ค่อยได้เข้าใกล้มันเท่าไหร่ เนื่องจากเป็นทิวเขาที่กั้นระหว่างประเทศไทยกับพม่าออกจากกัน) เราชื่นชมมันจากไกลๆ ก็เห็นถึงความสวยงามของมันมากแล้ว หวังว่าสักวันจะสามารถได้ไปเที่ยวในเขตเทือกเขานี้สักที่ ยกตัวอย่างเช่น อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เป็นต้น
หลังจากผ่านวิวทิวเขาสวยงามและน่าค้นหามาแล้ว เราก็จะผ่านสถานีสำคัญๆ เช่น เมื่อเราเริ่มเห็นตึกสูงๆ ซึ่งก็คือเหล่าโรงแรมและคอนโดที่พักต่างอากาศของนักท่องเที่ยวแล้ว นั่นหมายความว่าเราเริ่มเข้าสู่สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของประเทศไทยนั่นคือ ชะอำ และหัวหิน อันที่จริงเส้นทางรถไฟสายใต้ที่เรานั่งนั้น จะมีวิวทะเลไม่มากนัก ถ้าเราจำไม่ผิด จะมีเห็นรำไรที่หาดสวนสนปฏิพัทธิ์โดยต้องนั่งเลยจากสถานีหัวหินไปไม่กี่สถานี และที่เราจะเห็นทะเลได้ชัดๆ ก็จะอยู่ที่สถานีรถไปแถวประจวบคีรีขันต์ ซึ่งก่อนถึงสถานีนั้น เส้นทางรถไปสายใต้นี้ เราจะเห็นวิวภูเขาอันยิ่งใหญ่ตระการตา (สำหรับเราในขณะนั้น) ก็คือวิวภูเขาสามร้อยยอด
สำหรับเรา คนที่สถาปนาตัวเองเป็นนักเดินทางที่ชอบท่องเที่ยวคนนึง สิ่งที่เราคิดต่อจากนั้นก็คือ โหว สวยขนาดนี้เราต้องมาเที่ยวที่นี่ให้ได้ เนื่องจากแพลนของเราในทริปนี้ไม่ได้ค้างที่ประจวบเราจึงได้แต่ตัดใจไม่คิดจะแวะเที่ยวที่นี่ (ซึ่งเราได้กลับมาเที่ยวที่นี่หลังจากทริปนี้ไม่นานมากนัก)
หลังจากผ่านวิวเขาสามร้อยยอดมาไม่นาน ท่องฟ้าที่เริ่มสดใสก็ถูกถักทอเป็นหลายสีสัน และกลายเป็นความมืดมิดที่ปกคลุมไปทั้งรถไฟ เราอดนึกถึงหนังสโนพีซเซอร์ไม่ได้ ถ้าหากหิมะตกลงมา แล้วขบวนรถไปขบวนนี้จะเป็นยังไงนะ…ไม่สิ ทั้งคนทั้งรถไฟคงหยุดชะงักและเริ่มแข็งตายก่อนจะตามรอยหนักแล้วละ 5555
อย่างที่ได้เล่าไปนั้น วิวทะเลของขบวนรถไฟสายใต้มีไม่มากนักหนึ่งในนั้นก็คือก่อนถึงสถานีประจวบฯ ซึ่งตอนนั้นเรายังไม่รู้เท่าไหร่ แต่ที่รู้เพราะจะมีคนใบขบวนจำนวนนึ่งที่ย้ายไปนั่งอีกฝั่งนึง แล้วเราก็สงสัยว่าเขามองอะไรกันอยู่ เพื่อนเราที่ไปด้วยจึงเดินไปดูเหมือนกัน แล้วกลับมาบอกกับเราอย่างตื่นเต้นว่ามันมีทะเล เราก็เลยอัปเปหิตัวเองไปนั่งอีกฝั่งนึงทันที แต่ถึงอย่างนั้น เราก็เห็นแค่ไฟเรือประมงอยู่ไกลๆ กับความมืดที่ปกคลุมไปทั่ว ไม่มีวี่แววของทะเลซักนิด
สุดท้ายแล้ววันนี้เราก็ไม่ได้เห็นทะเลเพราะมันมืดจ้า
หลังจากผ่านสถานีประจวบคีรีขันต์ไปท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว แม้เราจะหิวมาก พอดึกแล้วก็ไม่ค่อยมีคนขายอาหารแล้ว เราจึงต้องซื้อขนมที่เขามาขายบนรถไฟ ตอนนั้นไม่มีทางเลือกอะไรเลย มีแค่ขนมโมจิที่เดินขายกันบนรถไฟ หน้าตาประมาณนี้ เราหิวข้าวก็ได้แต่กินประทังชีวิตไป ใครบอกให้ไม่ยอมตุนอาหารกันล่ะ!
พอเลยประจวบไป บรรยากาศตอนที่รถไฟวิ่งไปตามราง ฉึกๆ ฉักๆ พร้อมกับวิวด้านนอกที่มืดสนิทและคนบนรถไฟชั้นสาม พัดลมจากบนเพดานและนอกหน้าต่างกระทบหน้าของทุกคนในขบวนก็เริ่มทำให้หนังตาของทุกคนเริ่มล้าแล้วนะ เรามองไปทางไหนคนเขาก็หลับหมดแล้ว รวมทั้งเพื่อนของเราด้วยนะ ในตอนนั้นเราจำได้ว่า เราปวดเมื่อยร่างกายมาก เพราะนั่งรถไฟมาตั้งแต่เที่ยงแล้วจนถึงห้าทุ่มก็กินเวลาไปเป็นสิบกว่าชั่วโมงได้ คนที่เขานั่งเป็นประจำนี่เขาเก่งมากเลยจริงๆ
ละแล้วเราก็มาถึงชุมพรจนได้ ที่นี่เราโทรมาจองที่พักใกล้ๆสถานีรถไฟ ห่างจากสถานีรถไฟประมาณ 900 เมตรนะ เกือบลืมไป ตอนทีเราลงจากรถไฟ เนื่องจากเราเป็นคนขี้หลงขี้ลืมมาก ลืมทุกอย่าง พอเดินลงมาจากรถไฟได้ห้าก้าว ก็มีเด็กผู้ชายคนนึงวิ่งเอาแตะด้านหลังพร้อมกับยื่นหูฟังให้ เรางี้แทบน้ำตาไหล คนไทยจิตใจดีมากจริงๆ
ถึงสถานีชุมพรประมาณ 5 ทุ่มกว่าๆ
หลังจากเราเดินออกมาจากสถานีรถไฟ จะเห็นวินมอไซต์จอดอยู่ เพื่อนร่วมขบวนรถไฟที่ลงสถานีเดียวกันต่างก็ขึ้นวินเพื่อไปในจุดหมายของตัวเอง ส่วนเราที่มีจุดยืนในความประหยัดเงินก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะเดินไปเอง เราก็เดินไปตามทางที่ไม่สว่างมากนัก แต่ก็ไม่ได้ดูอันตรายอะไร แถมระหว่างทางยังได้แวะซื้อลูกชิ้นกินประทังชีวิต
ไม่นานเราก็เดินมาถึงที่พักของเรานะ ที่พักคืนนี้ของเราชื่อว่า At night hotel ราคาคืนละ 5-600 บาท ที่นี่แต่ก่อนมีเป็นโฮสเทลด้วย แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิดก็เลยยกเลิกเป็นแบบโฮเทลแทน เพราะนักท่องเที่ยวน้อยลงมาก
เราเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ก็ตกลงกับเพื่อนว่ารีบอาบน้ำ ชาร์จแบตทุกอย่าง แล้วรีบนอน เพราะวันพรุ่งนี้มีแพลนจะเที่ยวรอบๆ ชุมพร เก็บให้ได้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้
Day 2
เราตื่นแต่เช้าเพื่อออกมาทำเรื่องเช่ารถมอเตอร์ไซต์กับเจ้าของที่พัก ราคาวันละ 200 บาท หลังจากสอบถามหาร้านเพื่อทานอาหารเช้า เราก็ได้พิกัดร้านติ๋มซำที่ไม่ไกลจากที่พักเท่าไหร่ พอเราไปถึงคนก็ออกจะเยอะๆ หน่อย เราเดาว่าน่าจะเป็นร้านดังในจังหวัดทีเดียว
หลังจากทานอาหารเสร็จก็ได้คิวออกเดินทางต่อ จุดมุ่งหมายแรกก็คืออุทยานแห่งชาติชุมพร เราเดินทางไปแบบเปิดแผนที่ตลอดทาง ระหว่างทางเรายังได้เจอลิงเก็บมะพร้าวด้วย
ขับไม่ถึง 1 ชั่วโมง เราก็มาถึงอุทยาน วันนี้เป็นวันธรรมดานะ คนเลยจะน้อยๆหน่อย เราก็เดินเล่นถ่ายรูปไปเรื่อยๆ เราชอบที่นี่นะ ทางเดินดูกว้างขวางดี แถมยังมีแม่น้ำที่มีเรือขับผ่าน สวยมาก
เราเดินถ่ายรูปจนอิ่มเป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว เราเลยเดินออกไปนอกป่าชายเลยและกินข้าวในอุทยานเลยนะ แดดร้อนมาก ทำใจสักพักก็ทำใจฮึบ และชวนกันไปต่อที่ศาลหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์นะ เท่าที่เราเข้าใจคือท่านเป็นบิดาแห่งทหารเรือไทย (เพราะหลังจากรู้จักชื่อท่านจากที่นี่เราจะเป็นศาลของท่านหลายที่มาก ตั้งแต่ชลบุรี ประจวบ ยันหาดใหญ่ ซึ่งเป็นชื่อท่านทั้งหมด) ซึ่งศาลจะตั้งอยู่ติดหาดทรายรี วิวสวยมากก
เหมือนท่านจะชอบดอกกุหลาบเป็นพิเศษ คุณลุงที่ได้ยินเราถามเพื่อน แกก็ได้อธิบายให้ฟังแต่เราก็จำไม่ได้แล้วว่าเพราะอะไร ฮาาา
วิวจากบนศาล หาดทรายรีน้ำสวย แต่ ณ ตอนนั้นยังอยู่ในขั้นตอนปรับปรุงหาดอยู่
เราแวะที่นี่ไม่นานก็ไปต่อ สถานที่ไปเราตั้งใจจะไปดูพระอาทิตย์ตกที่นั้นเลย หลังแว๊นมอไซต์ไปสักพักก็ถึงแล้ว นั่นคือเขามัทรีนั่นเอง ที่นี่เราสามารถมองเห็นวิวทะเลได้แบบ 200 องศาเลย แถมยังมีวิวปากน้ำชุมพรที่สวยงามให้ดูอีก แต่พอเราไปถึงด้วยความเหนื่อยและความร้อนทำให้เราชื่นชมวิวไม่นานก็วิ่งไปรับความเย็นฉ่ำ ณ ร้านกาแฟกันเลยทีเดียว
ล่องใต้ด้วยรถไฟ (ชั้น3) 10 วัน 9 คืน กับงบไม่เกิน 7000 ไม่อึด ถึก ทน อย่าหาทำ!