ก้าวไกล ยกเคสช่อ ตอกย้ำชัด ปัญหารธน.’60 ติดอาวุธทำลายล้าง – เอาผิดย้อนหลัง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4190865
ก้าวไกล ยกเคสช่อ ตอกย้ำชัด ปัญหารธน.’60 ติดอาวุธทำลายล้าง – เอาผิดย้อนหลัง
เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2566 เพจ พรรคก้าวไกล ได้ออกแถลงการณ์ถึงกรณี น.ส.
พรรณิการ์ วานิช อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ถูกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งตลอดไป และไม่มีสิทธิ์ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยมีเนื้อหาดังนี้
[ กรณีตัดสิทธินักการเมือง – อิทธิฤทธิ์ของกลไก “มาตรฐานทางจริยธรรม” ในรัฐธรรมนูญ 2560 และความจำเป็นในการปฏิรูปองค์กรอิสระ ]
เมื่อวาน ศาลฎีกามีคำพิพากษาถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง รวมถึงสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองตลอดชีวิตของ คุณพรรณิการ์ วานิช ด้วยฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามกฎหมาย จากโพสต์ในโซเชียลมีเดียเมื่อ 13 ปีที่แล้ว ก่อนคุณพรรณิการ์ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎร
รายละเอียดเนื้อหาสาระของคำพิพากษาต่อกรณีนี้ มีหลายส่วนถูกตั้งคำถามโดยสังคม ไม่ว่าจะเป็นข้อสังเกตเรื่องห้วงเวลาของการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนการรับตำแหน่งทางการเมือง คำถามเรื่องการคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกที่ควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย หรือการที่การกระทำเดียวกันของคุณพรรณิการ์ เคยถูกฟ้องในฐานความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (2) แต่ศาลอาญามีคำสั่งยกฟ้อง ยิ่งสะท้อนให้เห็น ‘ความผิดปกติ’ ของการพิจารณาที่อาจถูกตั้งคำถามได้ว่า ได้ให้ความเป็นธรรมแก่คุณพรรณิการ์อย่างเพียงพอหรือไม่
ในภาพใหญ่ เหตุการณ์ของคุณพรรณิการ์ เป็นอีกหนึ่งกรณีที่ตอกย้ำถึงปัญหาของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ได้ขยายอำนาจขององค์กรอิสระ ซึ่งมีที่มาที่ขาดความยึดโยงกับประชาชน แต่เปิดช่องให้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายล้างทางการเมือง โดยเฉพาะการทำลายอนาคตทางการเมืองของผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ผ่านกลไกไม้บรรทัดที่ชื่อ “มาตรฐานทางจริยธรรม” ซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกใช้เป็นเหตุในการตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตมาแล้วอย่างน้อย 4 กรณี ที่เป็นที่รับรู้วงกว้าง คือ ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต ส.ส.ราชบุรี (พิพากษาเมื่อ 7 เมษายน 2565) อนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์ อดีต ส.ส.มุกดาหาร (พิพากษาเมื่อ 6 มกราคม 2566) กนกวรรณ วิลาวัลย์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ (พิพากษาเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2566) และ ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ อดีต ส.ส.กรุงเทพฯ (พิพากษาเมื่อ 3 สิงหาคม 2566)
“มาตรฐานทางจริยธรรม” ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 219 เป็นมาตรฐานที่ถูกกำหนดร่วมกันโดยศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ แต่ถูกบังคับใช้กับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งหมด รวมถึงสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และคณะรัฐมนตรี โดยรัฐธรรมนูญมาตรา 235 กำหนดให้ ป.ป.ช. มีอำนาจในการไต่สวนข้อเท็จจริงในข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้อง และเสนอเรื่องให้ศาลฎีกาวินิจฉัยในกรณีที่เห็นว่าเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
กลไกนี้มีหลักการที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานประชาธิปไตยสากล เพราะนอกจากเป็นการวางกลไกที่ “ผิดฝาผิดตัว” ในการให้อำนาจองค์กรหนึ่งมากำหนดมาตรฐานจริยธรรมหรือพิพาษาเรื่องจริยธรรมขององค์กรอื่น แต่ยังเป็นการเปิดช่องให้องค์กรตุลาการใช้อำนาจในการ “ประหารชีวิต” นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ด้วยข้ออ้างเรื่อง “จริยธรรม” ที่สามารถถูกเขียนไว้อย่างกว้างและสามารถถูกตีความได้ตามดุลพินิจของตนเอง
เหตุการณ์นี้จึงยิ่งตอกย้ำความจำเป็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่พรรคก้าวไกลหวังว่า จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ โดยการปฏิรูปอำนาจและที่มาขององค์กรอิสระเป็นวาระที่ขาดหายไม่ได้ ซึ่งจำเป็นต้องรวมถึง
(1) การวางขอบเขตอำนาจให้สมเหตุสมผลและไม่เปิดช่องให้ถูกใช้ในการขัดขวางเจตนารมณ์ของประชาชน
(2) การปรับกระบวนการสรรหา-รับรองผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระให้ยึดโยงกับประชาชนและไม่ถูกผูกขาดไว้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทางการเมือง
(3) การสร้างกลไกในการตรวจสอบและกลไกรับผิดรับชอบขององค์กรอิสระ
ดังนั้น ไม่ว่าอาวุธเรื่อง “มาตรฐานจริยธรรม” ตามกลไกของรัฐธรรมนูญ 2560 จะถูกใช้กับนักการเมืองคนใดหรือจากพรรคการเมืองใด และไม่ว่าพฤติกรรมของนักการเมืองคนนั้น จะเป็นสิ่งที่ท่านเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่ทันทีที่สังคมไทยยอมรับให้การใช้อาวุธนี้กลายเป็นเรื่องปกติ นั่นเท่ากับเรายอมรับให้มีการทำลายล้างกันทางการเมืองอย่างไม่ชอบธรรม จนสุดท้าย “มาตรฐานจริยธรรม” อันเลื่อนลอย-ไร้มาตรฐานนี้ เป็นอาวุธหวนกลับมาบ่อนทำลายหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตย
https://www.facebook.com/MoveForwardPartyThailand/posts/pfbid0xhsrF9qwXsxtUC31qQTQ2r3QxDDhV8eM1FpuMJpmG9zcfJudHWPTujhMXcKJFx78l
“พิชัย” เตือน ราคาน้ำมันพุ่ง จะทำหนี้กองทุนน้ำมันทะลุแสนล้าน
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_616087/
“พิชัย” เตือน ราคาน้ำมันพุ่ง จะทำหนี้กองทุนน้ำมันทะลุแสนล้าน ห่วง ปัญหาเศรษฐกิจจีนฉุดเศรษฐกิจไทย ชี้ รัฐบาลมาถูกทางเร่งแก้ปัญหาพร้อมกันหลายด้าน
นาย
พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และการเมือง พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบได้พุ่งขึ้นทะลุ 93 เหรียญต่อบาเรลแล้ว และยังมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นไปอีก โดยเฉพาะประเทศฝั่งตะวันตกกำลังจะเข้าสู่หน้าหนาวซึ่งจะทำให้ราคาพลังงานยิ่งมีราคาสูงขึ้น และมีโอกาสสูงที่ราคาน้ำมันดิบจะพุ่งขึ้นทะลุ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาเรลในอีกไม่นานนี้ ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะส่งผลทำให้เกิดเงินเฟ้อมากขึ้น
และจะยิ่งถ่วงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังย่ำแย่ นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นจะทำให้กองทุนน้ำมันของไทยที่ปัจจุบันติดลบอยู่กว่า 6 หมื่นล้านบาทแล้ว อาจทะลุเกินแสนล้านบาทในเวลาอีกไม่นานนัก จากการที่กองทุนน้ำมันต้องไปสนับสนุนราคาน้ำมันดีเซลอยู่ถึงประมาณลิตรละ 7-8 บาทในปัจจุบัน ซึ่งประเทศไทยใช้น้ำมันดีเซลเฉลี่ยวันละ 74 ล้านลิตร หรือ จะติดลบถึงเดือนละกว่าหมื่นหกพันล้านบาท อีกทั้งก๊าซแอลเอ็นจีที่ใช้ผลิตไฟฟ้าก็มีแนวโน้มที่ราคาจะเพิ่มขึ้น ดังนั้นรัฐบาลอาจจะต้องเตรียมหาทางรับมือในเรื่องนี้
นอกจากนี้ปัญหาเศรษฐกิจของโลกที่ยังย่ำแย่ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจของประเทศจีนจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่มีการก่อสร้างมากเกินความต้องการเป็นจำนวนมาก อีกทั้งปัญหาหนี้เสียของธนาคารเงา (Shadow Banking)ในจีน ทำให้เศรษฐกิจจีนย่ำแย่และอาจจะต้องใช้เวลาอีกนานในการแก้ไข ซึ่งจะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาเศรษฐกิจจีนค่อนข้างมาก
ทั้งการส่งออกและการท่องเที่ยว ทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ไม่น่าจะดีนักและน่าจะขยายตัวต่ำกว่าการคาดการณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยค่อนข้างมาก หลังจากที่ไตรมาสที่สองของปีนี้ เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพียง 1.8% เท่านั้น โดยการส่งออกที่จะติดลบในปีนี้ โดยการส่งออกได้ติดลบไปแล้ว – 5.5% ตั้งแต่ต้นปี และการท่องเที่ยวที่จะต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้จะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยลดลงมาก
ดังนั้นการที่รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาในหลายด้านพร้อมกันเป็นแนวทางที่ถูกต้อง ทั้งการเร่งฟื้นฟูการท่องเที่ยว การยกเว้นวีซ่านักท่องเที่ยวจากจีนและคาซัคสถาน การพักหนี้เกษตรกร และธุรกิจ SMEs การพบนักลงทุนรายใหญ่โตจากต่างประเทศเพื่อโน้มน้าวให้มาลงทุนในไทย การเร่งเจรจาเขตการค้าเสรี การเร่งเพิ่มการส่งออก เป็นทิศทางที่ถูกต้อง และยังมีแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอีกมาก ทั้งนี้ได้แต่หวังว่าเศรษฐกิจโลกที่ย่ำแย่โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนที่จะทรุดหนักจะไม่ส่งผลกระทบกับประเทศไทยมากเกินไปนัก ซึ่งอาจจะทำให้มาตรการต่างๆที่ออกมาอาจจะยังไม่ได้ผลเท่าที่ควร แต่แนวทางที่ทำอยู่ถือว่ามาถูกทางแล้ว
“จำนำทะเบียน” ฮอตปรอทแตก แบงก์แห่ลงสนามชิงแชร์ 4 แสนล้าน
https://www.prachachat.net/finance/news-1396956
ธุรกิจจำนำทะเบียนแข่งดุ “MTC” เจ้าตลาดเผยมูลค่าตลาดรวมใหญ่ 3-4 แสนล้านบาท ดึงดูดผู้เล่นรายใหม่โดยเฉพาะแบงก์พาณิชย์โดดลงสนามต่อเนื่อง MTC เดินหน้าปูพรมสาขาทั่วประเทศกว่า 7,200 แห่งรักษามาร์เก็ตแชร์ “ซีไอเอ็มบี ไทย” เตรียมจับมือพันธมิตรชิงเค้กกลางปี’67 มองโอกาสโตสูง ขณะที่ “หนี้เสียต่ำกว่าเช่าซื้อ” “สมหวัง เงินสั่งได้” กลุ่มทิสโก้ชี้แบงก์แห่ลงเล่นตลาดจำนำทะเบียนเต็มตัว เพราะตลาด “เช่าซื้อรถ” หดตัว
หน้าใหม่แข่ง “จำนำทะเบียน”
นาย
ปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจสินเชื่อบุคคลที่มีทะเบียนเป็นประกัน (จำนำทะเบียนรถ) มีการแข่งขันรุนแรงต่อเนื่อง โดยมีผู้ประกอบการรายใหม่และรายเก่าเข้ามาเล่นตลาดนี้มากขึ้น เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างใหญ่ มีมูลค่ากว่า 3-4 แสนล้านบาท ซึ่งมีโอกาสในการเติบโตในตลาดนี้
อย่างไรก็ดี ผู้เล่นรายใหม่อาจจะทำธุรกิจไม่ง่าย เพราะต้องเข้ามาแข่งขันกับผู้เล่นรายเดิมที่เป็นเจ้าตลาด เพื่อชิงส่วนแบ่งตลาด ทำให้ปีนี้ยังคงเห็นการแข่งขันที่ดุเดือด ขณะที่ฝั่งผู้บริโภคจะมีทางเลือกมากขึ้นในการเลือกใช้บริการ
MTC ปูพรมสาขา 7,260 แห่ง
นาย
ปริทัศน์กล่าวว่า สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ประเมินว่าความต้องการสินเชื่อในไตรมาสที่ 3/2566 ยังคงมีความต้องการสูง ซึ่งยังมีโอกาสในการปล่อยสินเชื่อ และในไตรมาสที่ 4/2566 จะทยอยปรับลดลง เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลตามปกติ อย่างไรก็ดี MTC ยังคงเน้นการขยายสาขา จากเป้าหมายปีนี้ 7,200 แห่ง แต่ปัจจุบันสามารถทำได้เกินเป้าหมายแล้วอยู่ที่ 7,260 แห่ง
ขณะที่พอร์ตสินเชื่อยังคงเน้นการเติบโตแบบระมัดระวัง ภายใต้การควบคุมคุณภาพสินเชื่อ โดยตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อภายในสิ้นปี 2566 อยู่ที่ 1.45 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 20% จากปีก่อน ซึ่งในช่วง 6 เดือนแรกสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ปัจจุบันอยู่ที่ 3.36% คาดว่าภายในสิ้นปีจะขยับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 3.50% ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า
“
ช่วงที่เหลือมองว่าการแข่งขันยังคงรุนแรง เป็นตลาด red ocean ซึ่งเราเองก็คงเติบโตแบบระมัดระวัง มาเน้นการปล่อยสินเชื่อที่มีหลักประกันและคุมหนี้เสีย เพราะเดิมเราคิดว่าเศรษฐกิจปรับดีขึ้น และความสามารถชำระหนี้ลูกค้าจะดีขึ้น แต่ไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่หวัง”
CIMBT ควงพันธมิตรลงสนาม
นาย
ตัน คีท จิน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจรายย่อย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภายในกลางปี 2567 ธนาคารจะเริ่มทดลองขยายธุรกิจไปยังสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ เนื่องจากมองว่าเป็นตลาดที่ค่อนข้างใหญ่ และมีโอกาสในการขยายตัวได้อีก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้เล่นธนาคารพาณิชย์ เพราะปัจจุบันผู้เล่นหลักยังกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (น็อนแบงก์)
ทั้งนี้ ปัจจุบันธนาคารอยู่ระหว่างศึกษาตลาด และแนวทางการดำเนินธุรกิจ 2 รูปแบบคือ 1.ดำเนินภายใต้บริษัทลูก คือบริษัท ซีไอเอ็มบี ไทย ออโต้ จำกัด และ 2.การหาพันธมิตรทางธุรกิจ จะช่วยขยายฐานลูกค้าของธนาคารให้กว้างขึ้น ซึ่งการหาพันธมิตรอาจจะเป็นลักษณะการร่วมมือกันดำเนินธุรกิจ โดยการแบ่งธุรกิจและความเสี่ยงร่วมกัน หรือเป็นลักษณะพันธมิตรส่งลูกค้าให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อ เป็นต้น คาดว่าจะสามารถให้บริการได้กลางปี 2567
JJNY : ก้าวไกลตอกย้ำชัด ปัญหารธน.’60│“พิชัย”เตือนราคาน้ำมันพุ่ง│“จำนำทะเบียน” ฮอตปรอทแตก│โปแลนด์ยัวะ “เซเลนสกี”
https://www.matichon.co.th/politics/news_4190865
ก้าวไกล ยกเคสช่อ ตอกย้ำชัด ปัญหารธน.’60 ติดอาวุธทำลายล้าง – เอาผิดย้อนหลัง
เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2566 เพจ พรรคก้าวไกล ได้ออกแถลงการณ์ถึงกรณี น.ส.พรรณิการ์ วานิช อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ถูกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งตลอดไป และไม่มีสิทธิ์ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยมีเนื้อหาดังนี้
[ กรณีตัดสิทธินักการเมือง – อิทธิฤทธิ์ของกลไก “มาตรฐานทางจริยธรรม” ในรัฐธรรมนูญ 2560 และความจำเป็นในการปฏิรูปองค์กรอิสระ ]
เมื่อวาน ศาลฎีกามีคำพิพากษาถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง รวมถึงสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองตลอดชีวิตของ คุณพรรณิการ์ วานิช ด้วยฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามกฎหมาย จากโพสต์ในโซเชียลมีเดียเมื่อ 13 ปีที่แล้ว ก่อนคุณพรรณิการ์ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎร
รายละเอียดเนื้อหาสาระของคำพิพากษาต่อกรณีนี้ มีหลายส่วนถูกตั้งคำถามโดยสังคม ไม่ว่าจะเป็นข้อสังเกตเรื่องห้วงเวลาของการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนการรับตำแหน่งทางการเมือง คำถามเรื่องการคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกที่ควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย หรือการที่การกระทำเดียวกันของคุณพรรณิการ์ เคยถูกฟ้องในฐานความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (2) แต่ศาลอาญามีคำสั่งยกฟ้อง ยิ่งสะท้อนให้เห็น ‘ความผิดปกติ’ ของการพิจารณาที่อาจถูกตั้งคำถามได้ว่า ได้ให้ความเป็นธรรมแก่คุณพรรณิการ์อย่างเพียงพอหรือไม่
ในภาพใหญ่ เหตุการณ์ของคุณพรรณิการ์ เป็นอีกหนึ่งกรณีที่ตอกย้ำถึงปัญหาของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ได้ขยายอำนาจขององค์กรอิสระ ซึ่งมีที่มาที่ขาดความยึดโยงกับประชาชน แต่เปิดช่องให้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายล้างทางการเมือง โดยเฉพาะการทำลายอนาคตทางการเมืองของผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ผ่านกลไกไม้บรรทัดที่ชื่อ “มาตรฐานทางจริยธรรม” ซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกใช้เป็นเหตุในการตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตมาแล้วอย่างน้อย 4 กรณี ที่เป็นที่รับรู้วงกว้าง คือ ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต ส.ส.ราชบุรี (พิพากษาเมื่อ 7 เมษายน 2565) อนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์ อดีต ส.ส.มุกดาหาร (พิพากษาเมื่อ 6 มกราคม 2566) กนกวรรณ วิลาวัลย์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ (พิพากษาเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2566) และ ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ อดีต ส.ส.กรุงเทพฯ (พิพากษาเมื่อ 3 สิงหาคม 2566)
“มาตรฐานทางจริยธรรม” ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 219 เป็นมาตรฐานที่ถูกกำหนดร่วมกันโดยศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ แต่ถูกบังคับใช้กับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งหมด รวมถึงสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และคณะรัฐมนตรี โดยรัฐธรรมนูญมาตรา 235 กำหนดให้ ป.ป.ช. มีอำนาจในการไต่สวนข้อเท็จจริงในข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้อง และเสนอเรื่องให้ศาลฎีกาวินิจฉัยในกรณีที่เห็นว่าเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
กลไกนี้มีหลักการที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานประชาธิปไตยสากล เพราะนอกจากเป็นการวางกลไกที่ “ผิดฝาผิดตัว” ในการให้อำนาจองค์กรหนึ่งมากำหนดมาตรฐานจริยธรรมหรือพิพาษาเรื่องจริยธรรมขององค์กรอื่น แต่ยังเป็นการเปิดช่องให้องค์กรตุลาการใช้อำนาจในการ “ประหารชีวิต” นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ด้วยข้ออ้างเรื่อง “จริยธรรม” ที่สามารถถูกเขียนไว้อย่างกว้างและสามารถถูกตีความได้ตามดุลพินิจของตนเอง
เหตุการณ์นี้จึงยิ่งตอกย้ำความจำเป็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่พรรคก้าวไกลหวังว่า จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ โดยการปฏิรูปอำนาจและที่มาขององค์กรอิสระเป็นวาระที่ขาดหายไม่ได้ ซึ่งจำเป็นต้องรวมถึง
(1) การวางขอบเขตอำนาจให้สมเหตุสมผลและไม่เปิดช่องให้ถูกใช้ในการขัดขวางเจตนารมณ์ของประชาชน
(2) การปรับกระบวนการสรรหา-รับรองผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระให้ยึดโยงกับประชาชนและไม่ถูกผูกขาดไว้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทางการเมือง
(3) การสร้างกลไกในการตรวจสอบและกลไกรับผิดรับชอบขององค์กรอิสระ
ดังนั้น ไม่ว่าอาวุธเรื่อง “มาตรฐานจริยธรรม” ตามกลไกของรัฐธรรมนูญ 2560 จะถูกใช้กับนักการเมืองคนใดหรือจากพรรคการเมืองใด และไม่ว่าพฤติกรรมของนักการเมืองคนนั้น จะเป็นสิ่งที่ท่านเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่ทันทีที่สังคมไทยยอมรับให้การใช้อาวุธนี้กลายเป็นเรื่องปกติ นั่นเท่ากับเรายอมรับให้มีการทำลายล้างกันทางการเมืองอย่างไม่ชอบธรรม จนสุดท้าย “มาตรฐานจริยธรรม” อันเลื่อนลอย-ไร้มาตรฐานนี้ เป็นอาวุธหวนกลับมาบ่อนทำลายหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตย
https://www.facebook.com/MoveForwardPartyThailand/posts/pfbid0xhsrF9qwXsxtUC31qQTQ2r3QxDDhV8eM1FpuMJpmG9zcfJudHWPTujhMXcKJFx78l
“พิชัย” เตือน ราคาน้ำมันพุ่ง จะทำหนี้กองทุนน้ำมันทะลุแสนล้าน
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_616087/
“พิชัย” เตือน ราคาน้ำมันพุ่ง จะทำหนี้กองทุนน้ำมันทะลุแสนล้าน ห่วง ปัญหาเศรษฐกิจจีนฉุดเศรษฐกิจไทย ชี้ รัฐบาลมาถูกทางเร่งแก้ปัญหาพร้อมกันหลายด้าน
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และการเมือง พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบได้พุ่งขึ้นทะลุ 93 เหรียญต่อบาเรลแล้ว และยังมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นไปอีก โดยเฉพาะประเทศฝั่งตะวันตกกำลังจะเข้าสู่หน้าหนาวซึ่งจะทำให้ราคาพลังงานยิ่งมีราคาสูงขึ้น และมีโอกาสสูงที่ราคาน้ำมันดิบจะพุ่งขึ้นทะลุ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาเรลในอีกไม่นานนี้ ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะส่งผลทำให้เกิดเงินเฟ้อมากขึ้น
และจะยิ่งถ่วงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังย่ำแย่ นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นจะทำให้กองทุนน้ำมันของไทยที่ปัจจุบันติดลบอยู่กว่า 6 หมื่นล้านบาทแล้ว อาจทะลุเกินแสนล้านบาทในเวลาอีกไม่นานนัก จากการที่กองทุนน้ำมันต้องไปสนับสนุนราคาน้ำมันดีเซลอยู่ถึงประมาณลิตรละ 7-8 บาทในปัจจุบัน ซึ่งประเทศไทยใช้น้ำมันดีเซลเฉลี่ยวันละ 74 ล้านลิตร หรือ จะติดลบถึงเดือนละกว่าหมื่นหกพันล้านบาท อีกทั้งก๊าซแอลเอ็นจีที่ใช้ผลิตไฟฟ้าก็มีแนวโน้มที่ราคาจะเพิ่มขึ้น ดังนั้นรัฐบาลอาจจะต้องเตรียมหาทางรับมือในเรื่องนี้
นอกจากนี้ปัญหาเศรษฐกิจของโลกที่ยังย่ำแย่ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจของประเทศจีนจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่มีการก่อสร้างมากเกินความต้องการเป็นจำนวนมาก อีกทั้งปัญหาหนี้เสียของธนาคารเงา (Shadow Banking)ในจีน ทำให้เศรษฐกิจจีนย่ำแย่และอาจจะต้องใช้เวลาอีกนานในการแก้ไข ซึ่งจะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาเศรษฐกิจจีนค่อนข้างมาก
ทั้งการส่งออกและการท่องเที่ยว ทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ไม่น่าจะดีนักและน่าจะขยายตัวต่ำกว่าการคาดการณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยค่อนข้างมาก หลังจากที่ไตรมาสที่สองของปีนี้ เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพียง 1.8% เท่านั้น โดยการส่งออกที่จะติดลบในปีนี้ โดยการส่งออกได้ติดลบไปแล้ว – 5.5% ตั้งแต่ต้นปี และการท่องเที่ยวที่จะต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้จะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยลดลงมาก
ดังนั้นการที่รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาในหลายด้านพร้อมกันเป็นแนวทางที่ถูกต้อง ทั้งการเร่งฟื้นฟูการท่องเที่ยว การยกเว้นวีซ่านักท่องเที่ยวจากจีนและคาซัคสถาน การพักหนี้เกษตรกร และธุรกิจ SMEs การพบนักลงทุนรายใหญ่โตจากต่างประเทศเพื่อโน้มน้าวให้มาลงทุนในไทย การเร่งเจรจาเขตการค้าเสรี การเร่งเพิ่มการส่งออก เป็นทิศทางที่ถูกต้อง และยังมีแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอีกมาก ทั้งนี้ได้แต่หวังว่าเศรษฐกิจโลกที่ย่ำแย่โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนที่จะทรุดหนักจะไม่ส่งผลกระทบกับประเทศไทยมากเกินไปนัก ซึ่งอาจจะทำให้มาตรการต่างๆที่ออกมาอาจจะยังไม่ได้ผลเท่าที่ควร แต่แนวทางที่ทำอยู่ถือว่ามาถูกทางแล้ว
“จำนำทะเบียน” ฮอตปรอทแตก แบงก์แห่ลงสนามชิงแชร์ 4 แสนล้าน
https://www.prachachat.net/finance/news-1396956
ธุรกิจจำนำทะเบียนแข่งดุ “MTC” เจ้าตลาดเผยมูลค่าตลาดรวมใหญ่ 3-4 แสนล้านบาท ดึงดูดผู้เล่นรายใหม่โดยเฉพาะแบงก์พาณิชย์โดดลงสนามต่อเนื่อง MTC เดินหน้าปูพรมสาขาทั่วประเทศกว่า 7,200 แห่งรักษามาร์เก็ตแชร์ “ซีไอเอ็มบี ไทย” เตรียมจับมือพันธมิตรชิงเค้กกลางปี’67 มองโอกาสโตสูง ขณะที่ “หนี้เสียต่ำกว่าเช่าซื้อ” “สมหวัง เงินสั่งได้” กลุ่มทิสโก้ชี้แบงก์แห่ลงเล่นตลาดจำนำทะเบียนเต็มตัว เพราะตลาด “เช่าซื้อรถ” หดตัว
หน้าใหม่แข่ง “จำนำทะเบียน”
นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจสินเชื่อบุคคลที่มีทะเบียนเป็นประกัน (จำนำทะเบียนรถ) มีการแข่งขันรุนแรงต่อเนื่อง โดยมีผู้ประกอบการรายใหม่และรายเก่าเข้ามาเล่นตลาดนี้มากขึ้น เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างใหญ่ มีมูลค่ากว่า 3-4 แสนล้านบาท ซึ่งมีโอกาสในการเติบโตในตลาดนี้
อย่างไรก็ดี ผู้เล่นรายใหม่อาจจะทำธุรกิจไม่ง่าย เพราะต้องเข้ามาแข่งขันกับผู้เล่นรายเดิมที่เป็นเจ้าตลาด เพื่อชิงส่วนแบ่งตลาด ทำให้ปีนี้ยังคงเห็นการแข่งขันที่ดุเดือด ขณะที่ฝั่งผู้บริโภคจะมีทางเลือกมากขึ้นในการเลือกใช้บริการ
MTC ปูพรมสาขา 7,260 แห่ง
นายปริทัศน์กล่าวว่า สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ประเมินว่าความต้องการสินเชื่อในไตรมาสที่ 3/2566 ยังคงมีความต้องการสูง ซึ่งยังมีโอกาสในการปล่อยสินเชื่อ และในไตรมาสที่ 4/2566 จะทยอยปรับลดลง เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลตามปกติ อย่างไรก็ดี MTC ยังคงเน้นการขยายสาขา จากเป้าหมายปีนี้ 7,200 แห่ง แต่ปัจจุบันสามารถทำได้เกินเป้าหมายแล้วอยู่ที่ 7,260 แห่ง
ขณะที่พอร์ตสินเชื่อยังคงเน้นการเติบโตแบบระมัดระวัง ภายใต้การควบคุมคุณภาพสินเชื่อ โดยตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อภายในสิ้นปี 2566 อยู่ที่ 1.45 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 20% จากปีก่อน ซึ่งในช่วง 6 เดือนแรกสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ปัจจุบันอยู่ที่ 3.36% คาดว่าภายในสิ้นปีจะขยับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 3.50% ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า
“ช่วงที่เหลือมองว่าการแข่งขันยังคงรุนแรง เป็นตลาด red ocean ซึ่งเราเองก็คงเติบโตแบบระมัดระวัง มาเน้นการปล่อยสินเชื่อที่มีหลักประกันและคุมหนี้เสีย เพราะเดิมเราคิดว่าเศรษฐกิจปรับดีขึ้น และความสามารถชำระหนี้ลูกค้าจะดีขึ้น แต่ไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่หวัง”
CIMBT ควงพันธมิตรลงสนาม
นายตัน คีท จิน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจรายย่อย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภายในกลางปี 2567 ธนาคารจะเริ่มทดลองขยายธุรกิจไปยังสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ เนื่องจากมองว่าเป็นตลาดที่ค่อนข้างใหญ่ และมีโอกาสในการขยายตัวได้อีก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้เล่นธนาคารพาณิชย์ เพราะปัจจุบันผู้เล่นหลักยังกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (น็อนแบงก์)
ทั้งนี้ ปัจจุบันธนาคารอยู่ระหว่างศึกษาตลาด และแนวทางการดำเนินธุรกิจ 2 รูปแบบคือ 1.ดำเนินภายใต้บริษัทลูก คือบริษัท ซีไอเอ็มบี ไทย ออโต้ จำกัด และ 2.การหาพันธมิตรทางธุรกิจ จะช่วยขยายฐานลูกค้าของธนาคารให้กว้างขึ้น ซึ่งการหาพันธมิตรอาจจะเป็นลักษณะการร่วมมือกันดำเนินธุรกิจ โดยการแบ่งธุรกิจและความเสี่ยงร่วมกัน หรือเป็นลักษณะพันธมิตรส่งลูกค้าให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อ เป็นต้น คาดว่าจะสามารถให้บริการได้กลางปี 2567