เทือกเขาคอเคซัส (Caucasus)เป็นภูมิภาคระหว่างทะเลดำกับทะเลแคสเปียน ประกอบด้วยประเทศอาร์มีเนีย, อาเซอร์ไบจาน, จอร์เจีย และส่วนหนึ่งของรัสเซียตอนใต้ เทือกเขาคอเคซัสเคยเป็นสิ่งกีดขวางทางธรรมชาติระหว่างยุโรปตะวันออกกับเอเชียตะวันตก
สำหรับทริปนี้เราเดินทางทั้งหมด 19 วัน ไปใน 3 ประเทศ เริ่มที่อาเซอร์ไบจาน จอร์เจีย และอาร์เมเนียค่ะ
EP.1 ดินแดนแห่งอัคคี อาเซอร์ไบจาน
https://ppantip.com/topic/42075537
พูดคุยเพิ่มเติมได้ที่...
Facebook page :
https://www.facebook.com/Mytravelholicdiary/
Instagram :
https://www.instagram.com/my_travelholic_diary/
Day 6 Sighnaghi, จอร์เจีย
“ City of love “
วันนี้เรานั่งรถโดยสารที่เรียกว่า Marshrutka ทั้งแคบ ทั้งช้าหวานเย็น จากเมือง Shaki ประเทศอาร์เซอร์ไบจาน วิวข้างทางใบไม้เริ่มเปลี่ยนสี ลูกพลับดกเต็มต้นตลอดทาง ตื่นตาตื่นใจมาก มาถึงชายแดนที่เมือง Balakon ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง แล้วเดินลากกระเป๋าข้ามชายแดนอีกกิโลนึง ก็มาถึงประเทศจอร์เจียเป็นอันเรียบร้อยค่ะ
จอร์เจีย เป็นประเทศในภูมิภาคคอเคซัสของยุโรปตะวันออก มีพรมแดนติดกับรัสเซียทางทิศเหนือและทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ติดกับตุรกีและอาร์เมเนียทางทิศใต้ และติดกับอาเซอร์ไบจานทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จอร์เจียเป็นส่วนหนึ่งของฝั่งตะวันออกสุดของยุโรป โดยคร่อมพรมแดนของทวีปกับเอเชีย แนวชายฝั่งของจอร์เจียตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลดำ
ประเทศนี้มีภูมิประเทศและภูมิอากาศที่น่าทึ่ง ตั้งแต่ยอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรปไปจนถึงหุบเขาที่ปลูกองุ่นอันกว้างใหญ่และรีสอร์ทมากมายริมทะเลดำ หลักฐานทางโบราณคดีสมัยใหม่บ่งชี้ว่าจอร์เจียเป็นประเทศที่ผลิตไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก โดยมีตัวอย่างไวน์ที่มีอายุย้อนไปถึง 6,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช
ในอดีตจอร์เจียเคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของสหภาพโซเวียต จึงยังคงทิ้งร่องรอยทางสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลในช่วงนั้น นอกจากนี้ยังมีสถาปัตยกรรมแบบยุโรปอีกด้วย
จอร์เจียเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยมีทั้งอาชญากรรมและการทุจริตอยู่ในระดับต่ำมาก ตั้งแต่กลางทศวรรษ 2000 เป็นต้นมา โครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวของจอร์เจียได้ขยายตัวอย่างมาก และจำนวนนักท่องเที่ยวก็เพิ่มขึ้นหลายเท่า เพราะจอร์เจียเป็นประเทศที่เที่ยวได้ตลอดทั้งปี บรรยากาศแตกต่างกันไปตามฤดูกาล มีทั้งหิมะ ใบไม้เปลี่ยนสี หรือต้นไม้เขียวๆ ในช่วงฤดูร้อน
และจอร์เจียเป็นประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า สำหรับบุคคลถือพาสปอร์ตไทย สามารถท่องเที่ยวได้นานถึง 365 วันค่ะ
เราเหมาแท็กซี่ต่อมาที่เมือง Sighnaghi เป็นเมืองในแคว้น Kakheti ทางตะวันออกสุดของจอร์เจีย แม้ว่าจะเป็นหนึ่งในเมืองที่เล็กที่สุดของจอร์เจีย แต่ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม เนื่องจากตั้งอยู่ใจกลางภูมิภาคปลูกไวน์ของประเทศ และเป็นแหล่งกำเนิดไวน์ที่แรกของโลกอีกด้วย ไวน์ที่มีชื่อเสียงเช่น ไวน์หอม ไวน์ดินเผา เพราะด้วยสภาพอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนทำให้ที่นี่มีสภาวะที่สมบูรณ์แบบสำหรับการปลูกองุ่น ตลอดจนทิวทัศน์ที่งดงาม บ้านสีพาสเทล และถนนแคบๆ ที่ปูด้วยหิน Sighnaghi ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงชัน มองเห็นหุบเขา Alazani อันกว้างใหญ่ พร้อมเทือกเขาคอเคซัสที่มองเห็นได้ในระยะไกล
Sighnaghi ก็มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานเช่นกัน และเดิมทีสร้างขึ้นเพื่อเป็นป้อมปราการที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้องเมืองจากการรุกราน ซึ่งเราจะยังสามารถเห็นบางส่วนของกำแพงป้องกันเก่าตลอดทั้งเมือง มีถนนที่มีเสน่ห์ของศูนย์กลางเก่า ที่เราสามารถชื่นชมสถาปัตยกรรมสมัยศตวรรษที่ 18 ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี
Sighnaghi ยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งความรัก “City of love” เนื่องจากมีสถานที่จัดงานแต่งงานที่คู่รักสามารถแต่งงานได้ 24 ชม. ทุกวัน ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับงานแต่งงานและคู่ฮันนีมูนด้วยค่ะ
เราจองเกสต์เฮ้าส์ Room 4 U ใจกลางเมืองใกล้ Square และ Bus Station ที่จะขึ้นรถเข้าเมืองหลวง แต่เกสต์เฮ้าส์อยู่บนเนินที่ต้องเดินไต่ขึ้นไปพอสมควร ลากกระเป๋า 20 โลนี่ก็เหนื่อยไปตามๆ กัน ทางเข้าหายากนิดนึง แต่มาถึงแล้วหายเหนื่อย ที่พักเรียบง่ายน่าอยู่เหมือนบ้าน ด้านหน้ามีลูกพลับดกเต็มต้น เจ้าของบ้านให้เด็ดมากินได้เต็มที่เลย
เก็บของเสร็จก็ออกมาเดินเที่ยวต่อ เมื่อมาถึงจอร์เจียเมืองแรกสิ่งที่เราอยากทำมากที่สุดคือมาลองอาหารท้องถิ่น ร้านแรกที่ตั้งใจไปกินโดนไฟไหม้เหลือแต่ซาก ร้านที่สองเมนูอาหารไม่มีรูป ก็เลยไม่เข้า มาเจอร้านที่สามชื่อร้าน Colorit เป็นร้านที่มีเมนูที่เราเล็งมาจากไทย อยู่แถวๆ Square ค่ะ
Khachapuri ได้รับการยอมรับว่าเป็นอาหารประจำชาติและถูกจารึกไว้ในรายชื่อมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของจอร์เจีย ขนมอบชีสนี้มีหลายรูปแบบ มีเอกลักษณ์เฉพาะตามภูมิภาคต่างๆ ของจอร์เจีย ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของ Khachapuri จะเป็นแป้งรูปร่างเหมือนเรือ สอดไส้ชีส ไข่แดง และเนย
สั่งไก่ย่างมา เพราะคิดว่ากินได้ถูกปากแน่นอน
สลัดอะไรสักอย่าง
เห็ดแชมปิยองอบ Sulguni ชีส เป็นชีสจอร์เจียจากภูมิภาค Svaneti และ Samegrelo มีรสเปรี้ยว เค็มปานกลาง เนื้อบุ๋ม และมีความเหนียวแน่นค่ะ
อาหารจอร์เจียนจะออกรสเค็ม แต่อร่อย เราทานได้ สมใจเลยค่ะ อิ่มแล้วก็เดินเที่ยวกันต่อ เมืองเก่าของ Sighnaghi ยังคงล้อมรอบด้วยกำแพงป้องกันที่มีหอคอย และถนนหินแคบๆ ที่ปูด้วยหินเรียงรายไปด้วยบ้านสไตล์จอร์เจียนแบบดั้งเดิม
สวนอนุสรณ์สถาน World War II Memorial มีชื่อประชากรจอร์เจียที่เสียชีวิตไปเป็นจำนวนมากในสงครามโลกครั้งที่ 2 สลักบนกำแพงอนุสรณ์
Solomon Dodashvili Monument เป็นนักปรัชญา นักหนังสือพิมพ์ นักประวัติศาสตร์ชาวจอร์เจีย หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในปี 1827 เขาได้รับปริญญา Magister ในสาขาปรัชญาในปี 1828 ในระหว่างที่เขาอยู่ในเมืองหลวงของรัสเซีย ในปี 1828 Dodashvili กลับไปที่ Tiflis ซึ่งเขาทำงานเป็นนักการศึกษา แต่งประวัติศาสตร์ ไวยากรณ์ และปรัชญาสำหรับลูกศิษย์ของเขา และนำพวกเขาไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองต่อการปกครองของรัสเซีย การสอนในอุดมคติของเขามีอิทธิพลต่อปัญญาชนและกวีชาวจอร์เจียหลายคน
Sighnaghi Viewpoint
เดินไปเรื่อยๆ ค่ะ อากาศขมุกขมัว วันนี้แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลย
โบสถ์ Signagi St. George basilica มีอายุย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 19 โบสถ์แห่งนี้เป็นอาคารประเภทโถง ล้อมรอบด้วยรั้วเก่าซึ่งมีหอระฆัง หอคอยทรงกลมมีซุ้มประตูโค้งอยู่ภายใน โบสถ์สร้างด้วยหินกรวดและอิฐ
กำแพง Sighnaghi Wall เป็นส่วนหนึ่งของกำแพงโบราณที่ล้อมรอบเมือง สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 จุดประสงค์เพื่อปกป้องเมืองจากการโจมตีจากภายนอก กำแพงมีความยาว 4 กม.รวมถึงหอคอย 28 แห่ง แต่ล่ะแห่งตั้งชื่อตามหมู่บ้านที่เชื่อมต่อกับหอคอยและมีประตูทางเข้าพร้อมกลไกเพื่อเปิดและปิดอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการสร้างหอคอยของตนด้วยค่ะ
มีหอคอยที่ชื่อ King’s Tower และ The Bodbe Tower ที่มีความสำคัญเนื่องจากเกี่ยวกับการเมืองและศาสนา กำแพงและหอคอยเกือบทั้งหมดสร้างด้วยหินกรวด มีมหาวิหารเซนต์สเตฟาน สร้างขึ้นในกำแพงของหอคอยที่ใหญ่ที่สุด เป็นตัวอย่างที่ไม่เหมือนใครในจอร์เจียของโบสถ์ที่สร้างขึ้นในกำแพงป้อมปราการ
เราสามารถปีนขึ้นไปชมวิว และเดินบนกำแพงได้ตามเส้นทางที่กำหนดไว้ได้ค่ะ โลเคชั่นของเมืองอยู่บนเขา วิวสวย แต่วันนี้อากาศพังพินาศมากก ><
19 วัน 3 ประเทศ กับการเดินทางบนเทือกเขาคอเคซัส EP.2 จอร์เจีย ดินแดนสองทวีป
สำหรับทริปนี้เราเดินทางทั้งหมด 19 วัน ไปใน 3 ประเทศ เริ่มที่อาเซอร์ไบจาน จอร์เจีย และอาร์เมเนียค่ะ
EP.1 ดินแดนแห่งอัคคี อาเซอร์ไบจาน https://ppantip.com/topic/42075537
พูดคุยเพิ่มเติมได้ที่...
Facebook page : https://www.facebook.com/Mytravelholicdiary/
Instagram : https://www.instagram.com/my_travelholic_diary/
ประเทศนี้มีภูมิประเทศและภูมิอากาศที่น่าทึ่ง ตั้งแต่ยอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรปไปจนถึงหุบเขาที่ปลูกองุ่นอันกว้างใหญ่และรีสอร์ทมากมายริมทะเลดำ หลักฐานทางโบราณคดีสมัยใหม่บ่งชี้ว่าจอร์เจียเป็นประเทศที่ผลิตไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก โดยมีตัวอย่างไวน์ที่มีอายุย้อนไปถึง 6,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช
ในอดีตจอร์เจียเคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของสหภาพโซเวียต จึงยังคงทิ้งร่องรอยทางสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลในช่วงนั้น นอกจากนี้ยังมีสถาปัตยกรรมแบบยุโรปอีกด้วย
จอร์เจียเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยมีทั้งอาชญากรรมและการทุจริตอยู่ในระดับต่ำมาก ตั้งแต่กลางทศวรรษ 2000 เป็นต้นมา โครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวของจอร์เจียได้ขยายตัวอย่างมาก และจำนวนนักท่องเที่ยวก็เพิ่มขึ้นหลายเท่า เพราะจอร์เจียเป็นประเทศที่เที่ยวได้ตลอดทั้งปี บรรยากาศแตกต่างกันไปตามฤดูกาล มีทั้งหิมะ ใบไม้เปลี่ยนสี หรือต้นไม้เขียวๆ ในช่วงฤดูร้อน
และจอร์เจียเป็นประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า สำหรับบุคคลถือพาสปอร์ตไทย สามารถท่องเที่ยวได้นานถึง 365 วันค่ะ
เราเหมาแท็กซี่ต่อมาที่เมือง Sighnaghi เป็นเมืองในแคว้น Kakheti ทางตะวันออกสุดของจอร์เจีย แม้ว่าจะเป็นหนึ่งในเมืองที่เล็กที่สุดของจอร์เจีย แต่ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม เนื่องจากตั้งอยู่ใจกลางภูมิภาคปลูกไวน์ของประเทศ และเป็นแหล่งกำเนิดไวน์ที่แรกของโลกอีกด้วย ไวน์ที่มีชื่อเสียงเช่น ไวน์หอม ไวน์ดินเผา เพราะด้วยสภาพอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนทำให้ที่นี่มีสภาวะที่สมบูรณ์แบบสำหรับการปลูกองุ่น ตลอดจนทิวทัศน์ที่งดงาม บ้านสีพาสเทล และถนนแคบๆ ที่ปูด้วยหิน Sighnaghi ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงชัน มองเห็นหุบเขา Alazani อันกว้างใหญ่ พร้อมเทือกเขาคอเคซัสที่มองเห็นได้ในระยะไกล
Sighnaghi ก็มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานเช่นกัน และเดิมทีสร้างขึ้นเพื่อเป็นป้อมปราการที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้องเมืองจากการรุกราน ซึ่งเราจะยังสามารถเห็นบางส่วนของกำแพงป้องกันเก่าตลอดทั้งเมือง มีถนนที่มีเสน่ห์ของศูนย์กลางเก่า ที่เราสามารถชื่นชมสถาปัตยกรรมสมัยศตวรรษที่ 18 ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี
Sighnaghi ยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งความรัก “City of love” เนื่องจากมีสถานที่จัดงานแต่งงานที่คู่รักสามารถแต่งงานได้ 24 ชม. ทุกวัน ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับงานแต่งงานและคู่ฮันนีมูนด้วยค่ะ
เราจองเกสต์เฮ้าส์ Room 4 U ใจกลางเมืองใกล้ Square และ Bus Station ที่จะขึ้นรถเข้าเมืองหลวง แต่เกสต์เฮ้าส์อยู่บนเนินที่ต้องเดินไต่ขึ้นไปพอสมควร ลากกระเป๋า 20 โลนี่ก็เหนื่อยไปตามๆ กัน ทางเข้าหายากนิดนึง แต่มาถึงแล้วหายเหนื่อย ที่พักเรียบง่ายน่าอยู่เหมือนบ้าน ด้านหน้ามีลูกพลับดกเต็มต้น เจ้าของบ้านให้เด็ดมากินได้เต็มที่เลย
เก็บของเสร็จก็ออกมาเดินเที่ยวต่อ เมื่อมาถึงจอร์เจียเมืองแรกสิ่งที่เราอยากทำมากที่สุดคือมาลองอาหารท้องถิ่น ร้านแรกที่ตั้งใจไปกินโดนไฟไหม้เหลือแต่ซาก ร้านที่สองเมนูอาหารไม่มีรูป ก็เลยไม่เข้า มาเจอร้านที่สามชื่อร้าน Colorit เป็นร้านที่มีเมนูที่เราเล็งมาจากไทย อยู่แถวๆ Square ค่ะ
Khachapuri ได้รับการยอมรับว่าเป็นอาหารประจำชาติและถูกจารึกไว้ในรายชื่อมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของจอร์เจีย ขนมอบชีสนี้มีหลายรูปแบบ มีเอกลักษณ์เฉพาะตามภูมิภาคต่างๆ ของจอร์เจีย ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของ Khachapuri จะเป็นแป้งรูปร่างเหมือนเรือ สอดไส้ชีส ไข่แดง และเนย