ลูกเรียนโรงเรียนรัฐและเอกชนของไทย สามารถเก่งภาษาเทียบเท่าเด็กเรียนโรงเรียนอินเตอร์ มีอยู่จริง

ชวนคุยเรื่อง ระบบการศึกษาไทย ที่ก้าวหน้าในวันนี้ ที่ ลูกใครๆ ก็เรียนโรงเรียนอินเตอร์ และ ครอบครัวอยู่ในระดับ ปานกลาง เราจะเริ่มต้นกันอย่างไรดี และจะสำเร็จได้จริงหรือไม่ 

วันนี้ เราจะมาเล่า "ความสำเร็จ" ของความโดดเด่นด้าน ศักยภาพด้านภาษาของลูก ให้เป็นกรณีศึกษา และ อาจเป็นต้นแบบ ให้กับหลายครอบครัวได้ ตามเรามาค่ะ 

ครอบครัวเรา 
เป็นครอบครัว ฐานะปานกลาง และ เรากับพ่อของลูก จบการศึกษาระดับ ปริญญาตรี ก่อร่างสร้างฐานะ ด้วยการเริ่มต้นระดับพนักงานเงินเดือนข้นต่ำ ตามปกติ(ปี2532โดยประมาณ) ขณะที่แต่งงาน อายุ 30 ที่มีลูกสาว (คนเดียว) เราสองคนมีรายได้รวมกันประมาณ 10x,xxx บาท ผ่อนรถ ผ่านทาวน์เฮาส์ ตามปกติ และขยับมามีรายได้เพิ่มขึ้นจากงานพิเศษบ้าง หน้าที่การงานเพิ่มขึ้นบ้าง จนลูกอยู่ในระดับมัธยมต้น ฐานะเริ่มมั่นคง ตามลำดับ แต่ไม่ได้ก้าวกระโดดมากมาย เทียบแล้ว คือ รายได้โตตามประสบการณ์ที่เพิ่มมากขึ้น  

การใช้ชีวิต ปกติ สามารถจับจ่ายใช้สอยซื้อหาความพอใจ และท่องเทียวได้บ้าง และไม่มีหนี้สิน เพราะไม่ใช้เงินผิดประเภท เช่น การพนัน อบายมุข เที่ยวในที่อโคจรต่างๆ 
(ส่วนนี้ ต้องการสื่อถึงความสามัญของครอบครัว ที่เกริ่นไปว่าเรามีฐานะปานกลาง)

ด้านการศึกษาลูก 
เข้าเรียนในระดับชั้น อนุบาล ๑-๓ ในโรงเรียน อนุบาลจริงๆที่ไม่มีระดับประถมในโรงเรียน ด้วยเพราะ ใกล้บ้าน และ แนวคิดที่โรงเรียนจะมีเป้าหมายชัดในการพัฒนาผู้เรียน ให้มีความแจ่มใส และอัตรารับเด็กในชั้นประมาณ 20-25 คน ทำให้เราสามารถสื่อสารกับครูได้ตลอด ผ่านสมุดสื่อสาร ที่ครูพร้อมปฎิบัติตามที่ผู้ปกครองแจ้งเสมอๆ โรงเรียนนี้มีสอนภาษาอังกฤษ แต่ไม่มีครูต่างชาติ  ระดับช่วงชั้นนี้ เราจะไม่เน้นผลการเรียน หากแต่เป็นช่วงที่ เด็กเข้าไปปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนและสังคม และเราไม่เน้นการเข้าเรียนระดับเตรียมอนุบาล เพราะ เด็กเล็กไป จะป่วยบ่อย  /// ค่าเทอมช่วงชั้นนี้เทอมละ 25,000 ++ พ.ศ.2545 

ระดับประถม ปีนี้ พ.ศ.2547 ประถม 1 เป็นโรงเรียนหน้าหมู่บ้านแห่งใหม่ที่ย้ายครอบครัวไปสู่ "บ้านเดี่ยวขนาดเล็ก" มีนักเรียนเพียง 6-7 คนต่อชั้นเพราะเป็นโรงเรียนใหม่ และเริ่มมีครูฝรั่งในวิชาภาษาอังกฤษ ที่นี่ค่าเทอม ยังคงไม่แรง น่าจะประมาณ 25,000 ++ เช่นเคย  เรียนไปได้ 2  ปี ปรากฎ โรงเรียน เริ่มมีเด็กทะยอยออก บรรลัย ในห้องเหลือเด็ก 2 คน ย้ายโรงเรียนด่วนๆ ก็เลือกเรียนโรงเรียนในย่านหมู่บ้าน เป็นโรงเรียนเอกชน คริสต์ ขนาดใหญ่ สนนค่าเทอม 6,000++ (เรื่องจริงค่ะ) ที่นี่โชคดี ลูกได้เรียนห้องเด็กเก่ง (ซึ่งมารู้ภายหลัง) ระหว่างนั้น เราไม่ได้กวดขันด้านการเรียน แต่เน้นให้ลูกมีวินัยในชั้นเรียน มีวินัยต่อการทำการบ้าน และ มีวินัยในการสอบคือ ผลสอบออกมาควรอยู่ในเกณฑ์ที่เราพึงพอใจ แต่ไม่ได้บอกตัวเลขลูกว่าต้องได้เท่าไหร่ คอยสังเกตุผลสอบผ่านการคุยระหว่างกลับบ้าน 

ส่วนนี้สำคัญคือ  ระหว่างบ้านและโรงเรียน เราต้องสนทนากันในรถตลอดเวลา ถามถึงเพื่อน ถามถึงวิชา การเรียน การสอบ รายงาน ชวนคุยเรื่อยๆระหว่างขับรถเหมือนไม่สนใจ แต่บันทึกไว้หมด และ ไปร่วมกิจกรรมทุกกิจกรรมที่ได้รับการเชิญจากโรงเรียน มีช่วงชั้น ป.5-6 มีให้เรียนพิเศษ คณิตศาสตร์กับภาษาอังกฤษกับครูในโรงเรียนบ้าง เพื่อให้ทันบทเรียน หรือ ให้มีความเข้าใจมากขึ้นหลังเลิกเรียน ปรากฎ จบป.6 ได้คะแนน โอเน็ต เต็ม 100 คะแนนในวิชาภาษาอังกฤษ และได้รางวัลดินสอกด จากครูภาษาอังกฤษ ที่โรงเรียน จุดนี้อาจเป็นจุดที่ทำให้เริ่มรักและมั่นใจในภาษาอังกฤษ 

ระดับมัธยมต้น 
การเข้า ม.1 ในโรงเรียนใหม่ เป็นวัฒนธรรมของเด็ก ป.6 ที่โรงเรียนนี้ และต้องปักหมุด เข้าโรงเรียนของรัฐ พ.ศ.2553 เราก็ไม่พลาดที่จะย้ายโรงเรียน ตามความนิยม เริ่มจาก หาโรงเรียนที่ตอบโจทย์ เพราะ ลูกเริ่มฉายแวว ความโดดเด่นด้านภาษาที่ชัดเจน (แต่ได้เฉพาะ แกรมม่า ไม่ได้เป๊ะเหมือนเด็กอินเตอร์แน่นอนเพราะโรงเรียนที่ว่าเป็นโรงเรียนเอกชนขนาดใหญ่ชานเมือง ที่ไม่ได้โด่งดังแป๊ะเจี๊ยะแพง) ก็เริ่มจาก พรีเทสต์ ก่อน ปรากฎ คะแนน ไม่ได้เลิศหรู แต่ประเมินได้ว่า สอบแล้ว น่าจะติด ก็นำคะแนนไปให้สถาบันติวในห้างแห่งหนึ่งวิเคราะห์คะแนน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คะแนนระดับนี้ ติดแน่นอน แต่ต้องติวคณิตศาสต์เพิ่มสัก 1 วิชา แบบ กันเหนียว จึงเป็นการเรียนพิเศษ กับติวเตอร์ครั้งแรก  และโรงเรียนที่เราปักหมุดคือ โรงเรียนดังย่านลาดพร้าว ที่โดดเด่นมากในโปรแกรม EP English Program ผลสอบ ก็ตามคาด "ติดค่ะ" และได้ห้อง คิงส์  (ซึ่งมารู้ภายหลังว่า เด็กห้องนี้คือเด็กที่เก่งที่สุดของรุ่น) ก็ว่ากันไป

โครงการจัดการเรียนการสอน EP ของที่นี่ ลูกเรียนเป็นรุ่น ที่ 9 ถือว่า เป็นโรงเรียนที่มีความเชี่ยวชาญมากแห่งหนึ่ง เรียนเข้มข้นจัดหนักด้านภาษา จนยังคิดลูกเราจะไหวไหมเนี่ย สุดท้ายก็มีผลการเรียนระดับรับใบประกาศทุกเทอม คือ 3.75 ขึ้นไป จะมีวันรับใบประกาศ ทุกปี ที่นี่ถือได้ว่า ลูกได้พัฒนาทักษาภาษาได้ไกลก้าวกระโดดขึ้นเยอะ  โดยมีโครงการบังคับให้ไปเรียนภาษาที่ประเทศสิงคโปร์ เป็นเวลา 1 เดือน (ถ้าจำไม่ผิด) ทุกคน ค่าใช้จ่ายประมาณ 40,000 ++ ช่วงปิดเทอม ปีที่ 2 ไม่บังคับ ไปแคนาดา เราก็จัดให้ลูกไปอีกเป็นปีที่ 2 ค่าใช้จ่ายประมาณ 80,000++-100,000  (ุถ้าจำไม่ผิด) พักกับ Host ช่วงชั้นนี้ ค่าเทอม 29,000 ++

จุดเปลี่ยน 
เมื่อขึ้นชั้น ม.3  เรามีโอกาสสมัครเข้าเรียนระหว่างปีการศึกษาของโรงเรียนชื่อดัง หญิงล้วน แห่งหนึ่งในเมือง และ ไม่มีค่าแป๊ะเจี๊ยะ เราตัดสินใจ ย้ายลูกมาเรียนที่โรงเรียนนี้ ค่าเทอมปีละ 85,xxx เทอมแรก ประมาณ 27,xxx เที่เหลือ เป็นของเทอม2 เทอม 2 จะแพงก่า ที่นี่ อยากเรียกว่า "ติดปีก" ด้านภาษาเพราะ วิชาภาษาอังกฤษ ที่เรียน จะแบ่งเด็กออกเป็น ครึ่งๆ เท่ากับว่า ในคลาส จะเหลือเรียนภาษาอังกฤษ ห้องละ 15 คน  ++ เท่ากับผู้สอนสามารถใส่ใจเด็กได้ทั่วถึงและ ครูผู้สอน เป็นครูต่างชาติ (ผมทอง) และ ช่วงชั้นนี้ เราเริ่มจับทิศทางลูกได้แล้วว่า ลูกเก่งแกรมม่า สามารถใช้ภาษาได้ถูกระบบโครงสร้างภาษา แต่ขาดเรื่อง ฟัง พูด และ เขียน ที่ต้องใช้ทักษะเพื่อการสื่อสาร ขาดความมั่นใจที่จะคุยกับเจ้าของภาษา 

นักเรียนแลกเปลี่ยน ต้องมา 
AFS สอบไม่ผ่านค่ะ เพราะ คู่แข่งเราเยอะ สำหรับนักเรียนในเมือง เราไปกับโครงการอื่น ที่มีอยู่มากมาย สรุปความ ก็ได้ไปแลกเปลี่ยนที่ USA โครงการนี้หมดไปประมาณ 120,xxx แต่เป็นการผ่อนจ่าย (ประมาณการ) และบวกค่าใช้จ่ายส่วนตัวก็อยู่ที่ เดือนละ 1x,xxx  ไปเที่ยวน้ไม่ค่อยดีในแง่ ได้ HOST หรือบ้านที่ไม่ดีนัก ทำให้ผู้เรียนใช้เวลาไปกับการเรียนอย่างเต็มกำลัง ส่งผลให้มีผลการเรียนที่ดี และมีพัฒนาการที่รอบด้าน ในเรื่องของภาษาอย่างครบถ้วน การไปแลกเปลี่ยนคร้งนี้ได้เพื่อนสนิทเป็นสาวเกาหลี และยังติดต่อกันผ่าน IG มาจนทุกวันนี้ และวางแผนไปเจอกันในอนาคต รวมถึงเพื่อนในโครงการต่างโรงเรียนที่ยังคบค้าสมาคมกันอยู่จนวันนี้ อีกด้วย  แน่นอนว่า ภาษาอังกฤษ ได้รับการทลายลงอย่างสิ้นเชิง ได้ความมั่นใจ ในการนำไปใช้ และ โครงสร้างภาษา หรือ แกรมม่า ที่สามารถนำมาใช้ได้อย่างเป๊ะเทียบเท่าเจ้าของภาษาอย่างสบายๆ 

พี่ม.ปลาย 
กลับมาเรียน ต่อที่โรงเรียนเดิม และ พาสชั้นไป ม.5 เพราะโรงเรียนนี้ไม่บังคับให้ซ้ำชั้น บวกกับเราไม่อยากเสียเวลาจึงไปต่อ ในสายวิทย์คณิต เพราะเป็นห้องที่ถือว่า มีคนอยากเรียนมากที่สุด และเกรดเราถึง ก็เดินสายนี้ไป แน่นอนว่า หลักการสอนภาษาของที่โรงเรียน ยังคงแบ่งครึ่งห้องเหมือนเดิม บวกกับเราไปแลกเปลี่ยนมาแล้ว ภาษาอังกฤษของเราจึงจบจริงๆ ตอนนั้นได้ไปทดสอบภาษาของ "ไอเอล" ที่ว่าหิน ตอนม.6 ได้คะแนนระดับ 7เต็ม 9 

ก้าวสู่รั้ว "เฟรชชี่" น้องปี 1 
ไม่ต้องสงสัยว่า เรียนคณะอะไร "อักษรศาสตร" ฬ  เอกภาษาไทย โทภาษาอังกฤษ ที่นี่ ถือว่าติดอาวุธ ชุดใหญ่ เพราะเรียนเชิงลึก ถามว่า ทำไมเลือกเอกไทย เพราะเราคิดว่า ภาษาอังกฤษของเรา เป๊ะแล้ว แต่ภาษาไทยนี่ซิ กลับยากยิ่งกว่า ถ้าเราใช้อังกฤษเก่ง แล้วเราได้ไทยที่แม่น จึงเป็นสิ่งที่คู่ควร การเรียนที่นี่ตลอดระยะเวลา 4 ปี เรากล้าพูดได้ว่า  ต้นทุนภาษาของเรานั้น ติดตัวแบบแกะไม่ออกจากเราแล้ว มันจบแล้ว 

เพิ่มเติม ตั้งแต่ชันประถมปลาย  เริ่มอ่านหนังสือ อ่านเล่นนอกเวลา ที่มีการแปลไทยอังกฤษ  เมื่อมัธยมต้งแต่เรียน EP ของโรงเรียนรัฐชื่อดัง เริ่มอ่านพอคเก็ตบุ๊ก ภาษาอังกฤษล้วนเล่มบางได้ และค่อยค่อย ขยับความหนาขึ้นเรื่อยๆ  

ระหว่างนั้น จะเริ่ม ดูหนังฝรั่ง ฟังเพลงสากล อ่านหนังสือ มากขึ้น ยิ่งอยู่มหาวิทยาลัย อ่านหนังสือหนักมากๆๆๆๆ 

ล่าสุด อยู่ในระหว่างบินลัดฟ้า ไปศึกษาต่อ ป.โท ที่ มหาวิทยาลัยระดับทอปของโลก ที่ประเทศอังกฤษ ด้วยต้นทุน การทดสอบทักษะของภาษาอังกฤษ ของ "ไอเอล" ระดับ 8   เต็ม 9 โดยไม่มีการเสียเงินติว และ ใช้ทักษะของการเรียน ป.ตรี มาเสริมทัพ 

อ่านถึงตรงนี้ ก็คงไม่มีอะไรสงสัยในตัวของลูกเราแล้วว่า ทำไมจึงกล้าตั้งกระทู้ ว่า เรียน โรงเรียนในไทย ก็สามารถเก่งภาษาไทยเทียบเท่าเด็กอินเตอร์ 
อยากบอกว่า 
ไม่ได้ยกตน อวดเก่ง ว่าเก่งกว่าสถาบันใดๆ หากแต่อยากให้กระทู้นี้ เป็นกำลังในให้กับครอบครัวชนชั้นกลาง ที่ไม่สามารถส่งบุตรหลานเรียนโรงเรียนอินเตอร์ที่ราคาค่าเทอมสูงลิ่ว อย่างที่เรารู้กัน มิหนำซ้ำ ยังต้องย้ายไปเรียนต่อระดับมัธยม ในต่างประเทศอีกในบางครอบครัว แล้ว ครอบครัวคนปานกลางอย่างเรา จะสามารถได้รับโอกาสอย่างคนกลุ่มนี้ได้ไหม  กระทู้นี้  เราอยากปันความสำเร็จของเรา ซึ่งน่าจะเก็บได้ระหว่างบรรทัด 

เคล็ดลับ  แห่งความสำเร็จ  เราต้องเลี้ยงลูกอย่างใกล้ชิด ไม่ยกภาระการเลี้ยงดูให้เป็นหน้าที่ของพี่เลี้ยงในทุกช่วงตอน ติดตามผลการเรียนอย่างสม่ำเสมอต้งแต่อนุบาล จนลูกไม่รู้สึกว่าโดนจับจ้อง เพราะ เราก็คุยกันเป็นปกติ ไม่คาดหวัง แต่ใส่ใจ  การเรียนภาษาไทย เราจะได้ลูกที่พูดไทยชัด อ่านไทยคล่อง และสามารถนำภาษาอังกฤษ มาเสริมได้อย่างเหมาะสม เพราะที่สุดแล้ว คนไทยจำนวนมาก ยังไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก การทำงานในระดับที่สูงขึ้น ผู้นำจึงควรได้ภาษาไทยที่คล่องปาก ใช้ถูก และใช้ภาษาที่ สองได้อย่างสมาร์ท ส่วนครอบครัวไหน ที่มีศักยภาพ การให้ลูกเรียนอินเตอร์เลยนับได้ว่าเป็นความโชคดีของเด็กคนนั้น หากแต่ ภาษาไทย ต้องให้ลูกสามารถใช้ได้อย่างถูกต้องเทียบเท่าภาษาอังกฤษด้วยเช่นกัน 

เชื่อว่า จะเป็นประโยชน์ กับผู้อ่านมาถึงตรงนี้ไม่มากก็น้อย  
เราต้องขออภัยที่ไม่ได้เอ่ยชื่อโรงเรียน ต่างๆ ระหว่างบรรทัด อย่างที่ควรเป็น เพราะ เป็นการนำเสนอในมุมของแม่ ซึ่งลูก อาจจะไม่ได้ชอบใจเท่าใดนัก 
และที่ผ่านมาตั้งแต่ระดับ ป.ตรี จนถึงระดับป.โท ผุ้เรียน ได้ใช้ทักษะในการสอบแข่งขันและไปด้วยทุนของสถานศึกษา และทุนจากรัฐทั้งสิ้น 

บันทึกของคุณแม่ ที่อยากส่งถึงชาวพันทิป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่