เรากับคู่ชีวิตรู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียน (มหาวิทยาลัย) หลังจากเรียนจบ เราก็แต่งงานและทำงาน หลังจากนั้นอีกประมาณ 6 ปี ถึงมีลูก จนตอนนี้ลูกของเราอายุ 20 ปี
เราและคู่ชีวิต เรียนและทำงานในจังหวัดหนึ่ง จนมาถึงตอนลูกประมาณ 5 ปี กว่า คู่ชีวิตอยากกลับไปทำงานที่จังหวัดบ้านเกิด พวกเราจึงขายบ้านและมาปรับปรุงบ้านที่จังหวัดบ้านเกิดเค้า
หน้าที่ของเราคือ รับส่ง ลูก ตอนนั้นประมาณ อ.3 ส่วนคู่ชีวิตตอนนั้นก็ไปทำงานกับเพื่อนๆ ซึ่งคนละสายกับสิ่งที่ชอบและเรียนมา รวมถึงรายได้ที่จะมาใช้จ่ายไม่พอ (เอาเงินจากการขายบ้านมาใช้จ่ายก่อน) คู่ชีวิตทำงานแบบนี้ได้ประมาณ 1 ปี ส่วนใหญ่จะเป็นการพบปะสังสรรเพื่อนมากกว่า ทำให้มีการพูดคุยกันถึงความไม่สมดุลระหว่างรายรับและรายจ่าย ในแต่ละเดือน คู่ชีวิตจึงต้องหางานที่สามารถเลี้ยงครอบครัวได้จริงๆ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของจุดสิ้นสุดในวันนี้
หลังจาก 1 ปีที่ย้ายถิ่นฐาน และคู่ชีวิตต้องหางานทำให้ (คนละจังหวัด) เราคิดอยู่แล้วว่า ถ้าลูกเข้า ป.1 เราจะทำงานเพราะไม่ต้องรับส่งลูกแล้ว ให้ขึ้นรถตู้รับส่ง เราจะมีเวลาว่างตั้งแต่ 6.30 - 18.00 ซึ่งเป็นเวลาทำงานปกติ เราได้งาน ลูกเริ่มเรียน ป.1 คู่ชีวิตไปทำงานอีกจังหวัด ซึ่งเราใช้ชีวิตแบบนี้มาแล้ว 14 ปี จนปัจจุบัน คู่ชีวิตแรกๆ กลับทุกอาทิตย์ ทุก 2 อาทิตย์ ทุกเดือน ทุก 2 เดือน ทุก 3 เดือน ระยะห่างเริ่มกว้างขึ้นเรื่อยๆ แต่ด้วยนิสัย เราไม่ถาม ไม่ตาม ไม่จิก ตลอดระยะเวลาทำให้เราเข้มแข็ง ชินกับการตัดสินใจทุกอย่าง (ถ้าถามจะได้คำตอบว่า แล้วแต่เธอเลย) เราเลยคิดว่า ไม่ต้องถามก็ได้นี่ เราจัดการเองได้หมด ตั้งแต่เรื่องเรียนลูก เรื่องซ่อมแซมบ้าน ฯลฯ
ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้าน 1-2 ปีแรก เราได้เป็นค่าใช้จ่ายในบ้านทั้งหมดรวมถึงลูก ค่าเทอม ทุกสิ่งอย่างจากคู่ชีวิต 10,000 ต่อเดือน ที่เหลือเราจัดการหมด เรื่องเงินส่วนตัวคู่ชีวิตเราจะไม่ยุ่งเลย เพราะเราคิดว่า เป็นเงินของเค้า ให้จัดการเก็บเอง กรณีที่ต้องใช้อะไรฉุกเฉิน ซื้อของชิ้นใหญ่เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า จะหาร 2 กัน เป็นข้อตกลงในแต่ละครั้ง ซึ่งหลังจากทำแบบนี้มาประมาณ 1-2 ปี เวลาขอให้หารอะไร ก็จะมีคำถามกลับมาวา 10,000 ที่ให้ไป ใช้อะไรบ้าง ซึ่งเราก็บอกว่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่าเทอมลูก ค่าใช้จ่ายลูก ฯลฯ คำตอบที่ได้กลับคือ ไม่พอหรอ และถามแบบนี้มาประมาณ 3 ครั้งในรอบ 5 เดือน เราจึงตัดสินใจว่า เอาแบบนี้ ไม่ต้องให้เราแล้วแต่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเราจะบอกแล้วจ่ายเองเลย ซึ่งก็ไม่มีการโต้แย้งกลับจากคู่ชีวิต หลังจากนั้นมา 10 กว่าปี เราไม่เคยเอาเงินเดือนจากคู่ชีวิตเลย เราทำงานหาเงินใช้เงินของเราเอง
ปัจจุบันก็ยังเป็นแบบนี้ แต่ต่างกันตรงที่ประสบการณ์ เวลา ทำให้เราเข้มแข็งขึ้นมาก และด้วยเราต้องวางอนาคตยามแก่ของเราไว้บ้างแล้ว เพราะลูกก็อายุ 20 เรียนจบก็จะต้องใช้ชีวิตของเค้าเอง จะเหลือก็เราต้องวางแผนชีวิตของเราเอง จึงมีคำถามนี้ให้กับคู่ชีวิต....คำตอบที่ได้คือ
ยังไม่ได้คิดว่าจะทำอะไรในอนาคต ทำงานแล้วก็อยู่แบบนี้ไปก่อน เราก็แย้งไปว่า น่าจะคิดได้แล้ว เพราะจะได้วางแผนเก็บเงินทำอะไรกันไหม ยังไม่มีแผน เราเลยถามเรื่องชีวิตคู่ของเรา (ปกติเราจะไม่ค่อยคุยอะไรกัน ถ้าไม่ใช่เรื่องลูกก็จะไม่มีการสนทนากันเลยทั้งวัน) ว่าที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้างอนาคตจะเป็นยังไง คำตอบก็คือ ก็คิดว่า อยู่ด้วยกันแต่ก็คงทะเลาะกันเพราะขนาดไม่ค่อยได้คุยกัน ยังมีฮึดฮัด กันบ้างเลย อาจจะต้องมาปรับๆกันอีก เพราะแยกกันอยู่นานแล้ว อะไรที่เป็นส่วนตัวก็คงไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เราเลยบอกว่า ไม่ได้อยากอยู่แบบนี้แล้วถ้าต้องมาเสียเวลานั่งปรับกันอีก แล้วเราก็เลยถามว่า มีคนอื่นหรือเปล่า คำตอบคือเคยมี แต่เลิกไปแล้ว (คำตอบตามที่คิดไว้ไม่ผิดคลาด) เลยบอกว่า ตอนเราท้องก้อเคยมี นี่ก้อมีอีก อืมๆๆๆๆ เงียบ......
เราเลยบอกว่า เอาแบบนี้ไหม แยกย้ายกันไปตามกฎหมาย เพราะปกติก็แยกย้ายกันอยู่แล้ว ตามพฤตินัย เหลือแค่ตามกฎหมาย
หมายความว่า จะหย่าหรอ
อืม..
เรื่องนี้ไม่ได้คิดเอาไว้เลยนะ
คุยกันสักพักถึงสาเหตุที่จะหย่า และเป็นการหย่าแบบดีๆ ถ้ายังมีโอกาส ก็กลับมาจีบกันใหม่แล้วกัน
ตอนนี้ให้โฟกัสเรื่องลูกเป็นหลัก ปรึกษาแต่เรื่องลูกเท่านั้น ส่วนหลังจากหย่าแล้ว จะอยู่กันยังไงค่อยว่ากัน เพราะตอนนี้เราอยู่บ้านเค้า เค้าบอกว่า ก็อยู่เหมือนเดิมนี่แหละ ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร เอาไว้พร้อมค่อยย้ายก็ได้...
ตอนนี้นัดกันว่าจะหย่ากันสิ้นเดือนนี้ และหลังจากที่คุยกันก็ไม่ได้มีที่ต้องคุยเรื่องนี้กันอีก ใช้ชีวิตกันปกติ
"ถ้าเราคุยกันเร็วกว่านี้ต่างคน จะได้ไม่ต้องเสียเวลานานขนาดนี้"
ต่างคน ต่างขอโทษกันที่ทำให้ชีวิตคู่เป็นแบบนี้ ผ่านมา 26 ปี ที่กำลังสิ้นสุดครอบครัว และเริ่มต้นชีวิตโสดต่อไป......
เรื่องราวของเราอาจจะเป็นเพียง 1 ในล้านปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ถ้าถามว่า ย้อนกลับไปเราจะทำให้ดีกว่านี้ไหม เราคิดว่าถ้าเราเป็นคนพยายามเพียงฝ่ายเดียวอาจจะแตกหักกันมากกว่านี้ หรือเร็วกว่านี้ก็ได้ สิ่งที่ผ่านมาเราถือว่าเราทำหน้าที่แม่ได้ดีที่สุดแล้ว แต่สำหรับหน้าที่ภรรยา หรือสามี อาจจะไม่ดีเท่าคู่อื่นสุดท้ายก็ต้องแยกย้ายกันไปเติบโต
ขอบคุณที่อ่านจนจบ
ทุกคนสามารถให้ข้อคิดเห็น หรือแนวทางในการตัดสินใจหย่า กับเราได้นะค่ะ
ประสบการณ์ชีวิตคู่ 26 ปี สู่การหย่าร้าง (เล่าสู่กันฟัง)
เราและคู่ชีวิต เรียนและทำงานในจังหวัดหนึ่ง จนมาถึงตอนลูกประมาณ 5 ปี กว่า คู่ชีวิตอยากกลับไปทำงานที่จังหวัดบ้านเกิด พวกเราจึงขายบ้านและมาปรับปรุงบ้านที่จังหวัดบ้านเกิดเค้า
หน้าที่ของเราคือ รับส่ง ลูก ตอนนั้นประมาณ อ.3 ส่วนคู่ชีวิตตอนนั้นก็ไปทำงานกับเพื่อนๆ ซึ่งคนละสายกับสิ่งที่ชอบและเรียนมา รวมถึงรายได้ที่จะมาใช้จ่ายไม่พอ (เอาเงินจากการขายบ้านมาใช้จ่ายก่อน) คู่ชีวิตทำงานแบบนี้ได้ประมาณ 1 ปี ส่วนใหญ่จะเป็นการพบปะสังสรรเพื่อนมากกว่า ทำให้มีการพูดคุยกันถึงความไม่สมดุลระหว่างรายรับและรายจ่าย ในแต่ละเดือน คู่ชีวิตจึงต้องหางานที่สามารถเลี้ยงครอบครัวได้จริงๆ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของจุดสิ้นสุดในวันนี้
หลังจาก 1 ปีที่ย้ายถิ่นฐาน และคู่ชีวิตต้องหางานทำให้ (คนละจังหวัด) เราคิดอยู่แล้วว่า ถ้าลูกเข้า ป.1 เราจะทำงานเพราะไม่ต้องรับส่งลูกแล้ว ให้ขึ้นรถตู้รับส่ง เราจะมีเวลาว่างตั้งแต่ 6.30 - 18.00 ซึ่งเป็นเวลาทำงานปกติ เราได้งาน ลูกเริ่มเรียน ป.1 คู่ชีวิตไปทำงานอีกจังหวัด ซึ่งเราใช้ชีวิตแบบนี้มาแล้ว 14 ปี จนปัจจุบัน คู่ชีวิตแรกๆ กลับทุกอาทิตย์ ทุก 2 อาทิตย์ ทุกเดือน ทุก 2 เดือน ทุก 3 เดือน ระยะห่างเริ่มกว้างขึ้นเรื่อยๆ แต่ด้วยนิสัย เราไม่ถาม ไม่ตาม ไม่จิก ตลอดระยะเวลาทำให้เราเข้มแข็ง ชินกับการตัดสินใจทุกอย่าง (ถ้าถามจะได้คำตอบว่า แล้วแต่เธอเลย) เราเลยคิดว่า ไม่ต้องถามก็ได้นี่ เราจัดการเองได้หมด ตั้งแต่เรื่องเรียนลูก เรื่องซ่อมแซมบ้าน ฯลฯ
ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้าน 1-2 ปีแรก เราได้เป็นค่าใช้จ่ายในบ้านทั้งหมดรวมถึงลูก ค่าเทอม ทุกสิ่งอย่างจากคู่ชีวิต 10,000 ต่อเดือน ที่เหลือเราจัดการหมด เรื่องเงินส่วนตัวคู่ชีวิตเราจะไม่ยุ่งเลย เพราะเราคิดว่า เป็นเงินของเค้า ให้จัดการเก็บเอง กรณีที่ต้องใช้อะไรฉุกเฉิน ซื้อของชิ้นใหญ่เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า จะหาร 2 กัน เป็นข้อตกลงในแต่ละครั้ง ซึ่งหลังจากทำแบบนี้มาประมาณ 1-2 ปี เวลาขอให้หารอะไร ก็จะมีคำถามกลับมาวา 10,000 ที่ให้ไป ใช้อะไรบ้าง ซึ่งเราก็บอกว่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่าเทอมลูก ค่าใช้จ่ายลูก ฯลฯ คำตอบที่ได้กลับคือ ไม่พอหรอ และถามแบบนี้มาประมาณ 3 ครั้งในรอบ 5 เดือน เราจึงตัดสินใจว่า เอาแบบนี้ ไม่ต้องให้เราแล้วแต่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเราจะบอกแล้วจ่ายเองเลย ซึ่งก็ไม่มีการโต้แย้งกลับจากคู่ชีวิต หลังจากนั้นมา 10 กว่าปี เราไม่เคยเอาเงินเดือนจากคู่ชีวิตเลย เราทำงานหาเงินใช้เงินของเราเอง
ปัจจุบันก็ยังเป็นแบบนี้ แต่ต่างกันตรงที่ประสบการณ์ เวลา ทำให้เราเข้มแข็งขึ้นมาก และด้วยเราต้องวางอนาคตยามแก่ของเราไว้บ้างแล้ว เพราะลูกก็อายุ 20 เรียนจบก็จะต้องใช้ชีวิตของเค้าเอง จะเหลือก็เราต้องวางแผนชีวิตของเราเอง จึงมีคำถามนี้ให้กับคู่ชีวิต....คำตอบที่ได้คือ
ยังไม่ได้คิดว่าจะทำอะไรในอนาคต ทำงานแล้วก็อยู่แบบนี้ไปก่อน เราก็แย้งไปว่า น่าจะคิดได้แล้ว เพราะจะได้วางแผนเก็บเงินทำอะไรกันไหม ยังไม่มีแผน เราเลยถามเรื่องชีวิตคู่ของเรา (ปกติเราจะไม่ค่อยคุยอะไรกัน ถ้าไม่ใช่เรื่องลูกก็จะไม่มีการสนทนากันเลยทั้งวัน) ว่าที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้างอนาคตจะเป็นยังไง คำตอบก็คือ ก็คิดว่า อยู่ด้วยกันแต่ก็คงทะเลาะกันเพราะขนาดไม่ค่อยได้คุยกัน ยังมีฮึดฮัด กันบ้างเลย อาจจะต้องมาปรับๆกันอีก เพราะแยกกันอยู่นานแล้ว อะไรที่เป็นส่วนตัวก็คงไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เราเลยบอกว่า ไม่ได้อยากอยู่แบบนี้แล้วถ้าต้องมาเสียเวลานั่งปรับกันอีก แล้วเราก็เลยถามว่า มีคนอื่นหรือเปล่า คำตอบคือเคยมี แต่เลิกไปแล้ว (คำตอบตามที่คิดไว้ไม่ผิดคลาด) เลยบอกว่า ตอนเราท้องก้อเคยมี นี่ก้อมีอีก อืมๆๆๆๆ เงียบ......
เราเลยบอกว่า เอาแบบนี้ไหม แยกย้ายกันไปตามกฎหมาย เพราะปกติก็แยกย้ายกันอยู่แล้ว ตามพฤตินัย เหลือแค่ตามกฎหมาย
หมายความว่า จะหย่าหรอ
อืม..
เรื่องนี้ไม่ได้คิดเอาไว้เลยนะ
คุยกันสักพักถึงสาเหตุที่จะหย่า และเป็นการหย่าแบบดีๆ ถ้ายังมีโอกาส ก็กลับมาจีบกันใหม่แล้วกัน
ตอนนี้ให้โฟกัสเรื่องลูกเป็นหลัก ปรึกษาแต่เรื่องลูกเท่านั้น ส่วนหลังจากหย่าแล้ว จะอยู่กันยังไงค่อยว่ากัน เพราะตอนนี้เราอยู่บ้านเค้า เค้าบอกว่า ก็อยู่เหมือนเดิมนี่แหละ ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร เอาไว้พร้อมค่อยย้ายก็ได้...
ตอนนี้นัดกันว่าจะหย่ากันสิ้นเดือนนี้ และหลังจากที่คุยกันก็ไม่ได้มีที่ต้องคุยเรื่องนี้กันอีก ใช้ชีวิตกันปกติ
"ถ้าเราคุยกันเร็วกว่านี้ต่างคน จะได้ไม่ต้องเสียเวลานานขนาดนี้"
ต่างคน ต่างขอโทษกันที่ทำให้ชีวิตคู่เป็นแบบนี้ ผ่านมา 26 ปี ที่กำลังสิ้นสุดครอบครัว และเริ่มต้นชีวิตโสดต่อไป......
เรื่องราวของเราอาจจะเป็นเพียง 1 ในล้านปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ถ้าถามว่า ย้อนกลับไปเราจะทำให้ดีกว่านี้ไหม เราคิดว่าถ้าเราเป็นคนพยายามเพียงฝ่ายเดียวอาจจะแตกหักกันมากกว่านี้ หรือเร็วกว่านี้ก็ได้ สิ่งที่ผ่านมาเราถือว่าเราทำหน้าที่แม่ได้ดีที่สุดแล้ว แต่สำหรับหน้าที่ภรรยา หรือสามี อาจจะไม่ดีเท่าคู่อื่นสุดท้ายก็ต้องแยกย้ายกันไปเติบโต
ขอบคุณที่อ่านจนจบ
ทุกคนสามารถให้ข้อคิดเห็น หรือแนวทางในการตัดสินใจหย่า กับเราได้นะค่ะ