รีวิวผ่าตัดเนื้องอกมดลูก+ถุงน้ำรังไข่ กับการใช้ประกันสุขภาพ

รีวิวครั้งนี้เพราะอยากชื่นชมเทคโนโลยีในการรักษาในปัจจุบัน เราผ่าตัดแบบส่องกล้อง เนื้องอก 5 จุด ถุงน้ำ 1 จุด ชอกซีสท์อีก 1 จุด หลังผ่าตัด 1 วัน เราเดินได้ ดูแลตัวเองได้  มีแผลแค่ที่สะดือซึ่งบวมมาแค่นิดเดียว  และขอบคุณที่มีประกันสุขภาพ ซึ่งที่เราใช้มี 2 ตัว คือประกันกลุ่ม Ayudhya Allianz ซึ่งเคลมเร็วแต่วงเงินน้อย (ก็ตามที่บริษัททำให้) อีกตัวคือวิริยะ BDMS  ซึ่งทั้ง 2 ประกัน ครอบคลุมการผ่าตัดครั้งนี้ได้ทั้งหมด

เกริ่นที่มาของการผ่าตัดนะคะ เดือน เม.ย. 66 เราตรวจเจอเนื้องอกในมดลูก และถุงน้ำรังไข่ขนาดประมาณ 2 cm (ที่ รพ. พญาไท 2) คุณหมอบอกว่าไม่อันตรายอะไร  อีก 2 เดือน ค่อยตรวจดูอีกที  และพอมา ก.ค. 66 เราเลยอยากตรวจอีกครั้ง และอยากเปลี่ยน รพ. เลยนัดตรวจที่ รพ. รามา ครั้งนี้หมอบอกว่าเนื้องอกขนาดเท่าเดิม แต่ถุงน้ำมันดันเป็นช็อกโกแลตซีสท์และมันก็โตเพิ่มขึ้นเป็น 4 cm คุณหมอเลยแนะนำให้เราผ่าออก ซึ่งเราจะผ่าที่ไหนก็ได้แล้วแต่เรา

23 ส.ค. 66 เราเลยนัดตรวจกับคุณหมอที่ รพ. พญาไท 2 คุณหมอแนะนำให้ผ่าตัดส่องกล้องแบบแผลเดียว ที่คุณหมออัลตร้าซาวด์ดูคือเรามีเนื้องงอก ถุงน้ำ และชอกซีสท์ อย่างละ 1 จุด  ซึ่งก่อนผ่า ทาง รพ. เค้าจะถามเราว่าจะใช้ประกันตัวไหนบ้าง เราก็ยื่นไป 2 ใบ คือ ประกันกลุ่มของบริษัท และประกันส่วนตัวที่ทำกับวิริยะ BDMS ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 5-7 วันทำการค่ะ  ทาง รพ. เค้าจะยื่นเอกสารให้ทั้ง 2 ประกันของเราเพื่อทำการตรวจสอบสิทธิ์ว่าคุ้มครองด้วย คชจ. เท่าไหร่ เมื่อผลของทั้ง 2 ประกันออกมาแล้วทาง รพ. เค้าจะโทรแจ้งเรา  ซึ่งผลที่เราได้คือครอบคลุม คชจ. การผ่าตัดครั้งนี้ค่ะ พอรู้ผลปุ๊บพยาบาลก็แจ้งวันนัดผ่าตัดให้เราเป็นวันที่ 2 ก.ย. 66

ก่อนวันผ่าตัด พยาบาลโทรมาแจ้งว่าเราได้นัดผ่าวันที่ 2 ก.ย. 66 เวลา 1 ทุ่ม ให้งดอาหารตั้งแต่ 11 โมงเช้า  และให้เราไปถึง รพ. ประมาณ 10 โมง เพราะต้องมีการตรวจสุขภาพก่อนผ่าตัด  ก็จะมีการตรวจความสมบูรณ์ของเลือด ตรวจ HIV  ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ  และ x-ray ปอด  และช่วงเที่ยงเค้าจะให้เราอมยาใต้ลิ้นเป็นยาที่ช่วยให้ปากมดลูกนิ่มเพื่อให้ง่ายต่อการใส่อุปกรณ์  ยาตัวนี้จะทำให้เราปวดหน่วงเหมือนตอนมีประจำเดือน และมีอาการหนาวเล็กน้อย มีอาการประมาณ 30 นาทีก็ดีขึ้นค่ะ

พอเราตรวจสุขภาพเรียบร้อยก็ไปรออยู่ในห้องที่เรา Admit รอเวลาผ่าตัด ก่อนผ่าตัดเค้าจะให้เราอาบน้ำด้วยน้ำยาที่ผสมน้ำยาฆ่าเชื้อและเปลี่ยนชุด

เกือบ 1 ทุ่ม เจ้าหน้าที่จะมารับเราที่ห้องเพื่อไปห้องผ่าตัด  พอถึงห้องผ่าตัดเค้าจะเตรียมให้น้ำเกลือและยาสลบ จะมีวิสัญญีแพทย์มาใส่ออกซิเจนให้เรา สักพักคุณหมอมาคุยกับเราว่าจะทำอะไรบ้างเพื่อ confirm ก่อนผ่า หลังจากนั้นวิสัญญีก็จะบอกเราว่าเตรียมหลับนะ แล้วก็ฉีดยาเลย ไม่ถึง 3 วิ เราก็ไม่รู้เรื่องแล้ว

กลับมาถึงห้องน่าจะประมาณเที่ยงคืน (แฟนเราบอก) ซึ่งเราได้ยินเสียงคนคุยกัน แต่ลืมตาไม่ขึ้น แถมยังอยากไอแต่ว่าไอเยอะไม่ได้เพราะเจ็บแผล แล้วเราก็สลบยาวถึงเช้า (แต่แฟนเราบอกว่าพยาบาลเข้ามาทุก ชม. เลยนะ เข้ามาบ่อยจนต้องเปิดไฟทิ้งไว้เลย)

พอเช้าเราก็ยังงง ๆ อยู่ คือมันปวดไหล่ ปวดตึงแผล ท้องก็บวม ๆ เราก็ไม่กล้าขยับตัวเพราะมันเจ็บ จุก หายใจไม่ทั่วท้อง สักพักพยาบาลก็เข้ามาเช็ดตัวเปลี่ยนชุด เค้าบอกว่าให้ตะแคงตัวบ้างเพื่อให้แก๊สในตัวมันระบายออก เค้าก็จะถามเราว่ามีเรอมีผายลมบ้างมั้ย  เพราะตอนผ่าคุณหมอเค้าจะอัดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปเพื่อช่วยให้การผ่าตัดง่ายขึ้น ทำให้ยังมีแก๊สค้างอยู่ในตัวบ้างทำให้เราปวดไหล่ ซึ่งจะค่อย ๆ หายไปภายใน 48 ชม. ถ้าเราขบับตัวบ่อย ๆ ก็จะช่วยได้เยอะ  เราก็เลยฝืนขยับตัว  คือมันมีสายฉี่คาอยู่เราก็ไม่ค่อยถนัดด้วย

เราได้กินมื้อแรกตอน 11 โมงเช้า เป็นน้ำข้าว+น้ำซุป  และมื้อเที่ยงเป็นข้าวต้ม คือต้องกินอาหารอ่อนไปก่อน  พอเย็น ๆ คุณหมอก็มาดูอาการ แล้วบอกว่าให้หายใจออกยาว ๆ โดยทำปากเหมือนเป่าลมออกจะช่วยให้แก๊สระบายออกได้เร็ว  คุณหมอบอกว่าพอส่องกล้องเข้าไปดูแล้วมันเจอเยอะกว่าที่เราอัลตร้าซาวน์ตอนแรก สรุปว่าที่หมอผ่าออกก็จะมีเนื้องอก 5 จุด ถุงน้ำ 1 จุด ชอกซีสท์อีก 1 จุด เสร็จแล้วคุณหมอก็ทำแผลให้ ล้างแผลใส่เบตาดีน แล้วก็ทากาวเคลือบไว้ โดยไม่ต้องปิดพลาสเตอร์ (แต่เราขอปิดเพราะไม่อยากเห็นแผล แต่จิง ๆ ก็ไม่ได้มีแผลอะไรนะ เป็นสะดือที่บวม ๆ ขึ้นมานิดเดียว) คุณหมอให้ถอดสายน้ำเกลือและสายฉี่ได้  เพราะไม่งั้นตัวจะบวมเกินไป ไม่ดีกับการผ่าตัดแบบนี้  เราได้ถอดสายน้ำเกลือและสายฉี่ประมาณเกือบ 1 ทุ่ม คุณหมอบอกว่าเดี๋ยวจะฉีดยาอีกตัว (เราจำชื่อยาไม่ได้) จะช่วยรักษาซีสท์ที่อยู่ในระดับเซลล์  เพราะถึงคุณหมอจะเอาซีสท์ออกไปแล้วแต่ก็จะมีหลงเหลืออยู่ในระดับเซลล์ ผลข้างเคียงของยาตัวนี้จะทำให้เรามีอาการวัยทองประมาณ 3 เดือน และทำให้ ปจด. ไม่มา 3 เดือนด้วย

พอถอดสายน้ำเกลือและสายฉี่แล้ว เราก็ว่าจะไปอาบน้ำซะหน่อย  พอลุกได้ก็เริ่มเซ แต่ก็ค่อย ๆ เดินก็ดีหน่อย แล้วก็มีเลือดไหลออกมาทางช่องคลอด เราก็ตกใจเพราะยังไม่ถึงรอบ คุณพยาบาลบอกว่าเป็นเลือดที่มาจากการผ่าตัด ไม่ต้องตกใจ เดี๋ยวมันก็จะหายไป  พออาบน้ำเสร็จเราเดินไม่หยุดเลย นอนนานแล้วมันปวดตัว ก็เดินไปเดินมาจนง่วงถึงค่อยนอน

ตื่นเช้ามาคุณพยาบาลก็เข้ามาบอกว่าคุณหมอให้กลับบ้านได้ เดี๋ยวทำเรื่องเช็คเอาท์นะคะ เราก็ ok ค่ะ (อยากกลับบ้านแล้วจ้าาาาา)

ระหว่างรอเคลียร์ประกัน  คุณหมอก็เข้ามาคุยกับเรา นัดอีก 1 สัปดาห์ เพื่อดูแผลและฟังผลชิ้นเนื้อ

สำหรับ คชจ. ทั้งหมดในการผ่าตัดส่องกล้องแบบแผลเดียว ครั้งนี้ประมาณ 352,xxx บาท ซึ่งประกันสุขภาพทั้ง 2 ตัวที่เราใช้สามารถครอบคลุมเกือบทั้งหมด ยกเว้น ค่าเตียงเสริมและน้ำยาบ้วนปาก ซึ่งเราออกเองประมาณ 700 บาท

เราเคยรีวิวความช้าในการเคลมของวิริยะ BDMS ตัวนี้ไปค่ะ แต่ก็ต้องใช้เพราะก็ทำประกันตัวนี้ไปแล้ว ซึ่งก็ดีนะคะเค้าครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดครั้งนี้ได้ทั้งหมด ครั้งก่อนที่ช้าน่าจะเพราะเป็นการเคลมครั้งแรกประกอบกับเราเจอว่าเป็นเนื้องอกในมดลูกด้วย ทางวิริยะเค้าเลยต้องตรวจสอบประวัติทั้งหมดก่อนว่าเรามีโรคนี้ก่อนทำประกันหรือไม่  ทำให้มีความช้ามากเกิดขึ้น  ยังไงแล้วถ้าใครรอไหวกับการเคลมครั้งแรก วิริยะตัวนี้ถือว่าเป็นประกันที่เราแนะนำอีกตัวนะคะ ค่าเบี้ยไม่แพงแต่คุ้มครองค่อนข้าง ok ค่ะ

วิริยะประกันสุขภาพ BDMS เราทำตัวที่วงเงินคุ้มครองแบบเหมาจ่ายปีละ 7 แสนบาทนะคะ ได้ค่าห้อง 8,000 บาท ค่าเบี้ยประมาณ 13,000 บาทต่อปีค่ะ 

การผ่าตัดครั้งนี้ทำให้เรารู้ว่าการมีประกันสุขภาพที่ครอบคลุมการรักษาที่ดี ทำให้เวลาเราป่วยสามารถรักษาได้โดยไม่ต้องรอคิวนาน  เลือก รพ. และวิธีรักษาได้  หากใครอยากทำประกันสุขภาพควรทำตั้งแต่ตอนสุขภาพดีนะคะ บางคนบอกว่าจ่ายทิ้งไปทุกปี เสียดายตัง  เก็บตังค่าเบี้ยไว้จ่ายตอนที่เราป่วยยังคุ้มกว่า  ถ้าคุณไม่ป่วยเลยถือว่าคุ้มนะ  แต่ถ้าบังเอิญเจอว่าคุณป่วยด้วยโรคร้ายแรงหรือโรคที่รอไม่ได้และต้องรักษาทันทีหละ  ถ้าคุณมีเงินก้อนในการรักษาก็โชคดีไป  หรือไม่คุณอาจจะใช้สิทธิประกันสังคมหรือประกันสุขภาพพื้นฐานก็ได้ค่ะ  แต่คุณต้องรอคิว  อีกอย่างเงินที่คุณบอกว่าจะเก็บไว้เองแทนการซื้อประกันอาจจะไม่พอก็ได้ 

ถ้าถามว่าควรทำประกันตัวไหนดี  มันอยู่ที่ว่าอะไรเหมาะกับเรามากกว่า  คุณสามารถเลือกได้ตามที่คุณสะดวกเลยค่ะ มีหลายยี่ห้อหลายแบบที่เหมาะกับความต้องการของแต่ละคน  ลองหาดูในเว็บไซด์ของแต่ละประกันได้เลยค่ะ  เดี๋ยวนี้ประกันจะมีเป็นแบบเหมาจ่ายด้วยวงเงินเท่านี้ต่อปี (ตัดรอบปีตามกรมธรรม์ของแต่ละคนนะคะ) ถ้าให้แนะนำทำตัวที่เหมาจ่ายปีละ 10 ล้านขึ้นไปค่ะ  มีแล้วสบายใจ (อายุเยอะขึ้นโรคตามอายุก็มีตามมา ค่ารักษาพยาบาลก็แพงขึ้นทุกปีเช่นกัน) เพราะบาง รพ. เค้าจะขอเงินมัดจำก่อน อย่างรอบนี้ของเรา ทาง รพ. เค้าขอให้เรามัดจำ 30,000 บาท ซึ่งเราก็ถามว่าต้องมัดจำใช่มั้ยคะเพราะที่ผ่านมาไม่เคยขอมัดจำจากเราเลย  เจ้าหน้าที่เลยกลับไปเช็คข้อมูลอีกรอบและกลับมาบอกว่าไม่ต้องมัดจำก็ได้ค่ะ  เราเดานะว่าน่าจะดูจากวงเงินประกันของเราว่า cover ค่าใช้จ่ายได้ทั้งหมดรึป่าว  อย่างแม่แฟนเราเคยผ่าตัดส่องกล้องนิ่วในถุงน้ำดี มันจำเป็นต้องผ่าออกค่ะเพราะแม่ปวดท้องมาก  แต่ รพ.แจ้งว่าต้องวางเงินมัดจำก่อน 1 แสนบาท คือวงเงินบัตรประกันของแม่ไม่พอและตอนออกจาก รพ. แม่ต้องจ่ายเพิ่มเองอีกประมาณ 65,000 บาท เพราะแม่ทำประกันที่วงเงินน้อย  แล้วพออายุเยอะประกันส่วนใหญ่เค้าก็ไม่ให้ทำแล้ว  รอบนี้แม่ก็จ่ายเองเยอะนะเจ็บตัวแถมเงินในกระเป๋าหายไปเยอะเช่นกัน  ถ้าให้เราแนะนำและถ้าจ่ายไหวก็หาประกันตัวที่วงเงินค่อนข้างสูงค่ะ  ถ้าเราป่วยหนักจำเป็นต้องรักษาด่วน มันรอไม่ได้ค่ะ  ถ้าไม่มีประกัน เงินก็ต้องหา ทรมานกับการเจ็บป่วยไปด้วยอีก

การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐจริงๆ ค่ะ  แต่ถ้ามันเลี่ยงไม่ได้  การมีประกันสุขภาพที่ดี วงเงินครอบคลุมกับยุคสมัยปัจจุบันเผื่อไปถึงอนาคตด้วยก็ดีค่ะ  จะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปได้เยอะเลย

ขอบคุณที่อ่านจนถึงสุดท้ายนะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่