สำหรับ talk to me เป็นหนังผีที่ทุนต่ำ จากค่าย A23 ซึ่งมีการโปรโมทน้อยมากๆ และรอบฉายก็น้อยมากๆเช่นกัน หรือจะเรียกว่าเป็นหนังผีนอกกระแสก็ได้ เรื่องพูดถึง เด็กวัยรุ่นที่ลองของกับ "รูปปั้นมืออาถรรพ์" ที่เมื่อจับรูปปั้นไปแล้วจะสามารถสื่อสารกับวิญญาณและให้เขามาสิงสู่ที่ร่างผู้จับได้ ตัวเอกของเรื่อง มีอา ที่มีปมเรื่องแม่ตายไป เพราะเธอไม่แน่ใจว่าแม่ตายด้วยสาเหตุอะไร และพ่อปิดยังอะไรอยู่รึปล่าว เมื่อเธอได้มาเจอกับรูปปั้นที่เป็นเหมือนเครื่องมือทำให้เธอสามารถติดต่อกับวิญญาณของแม่ได้ เธอจึงพยายามใช้มันโดยไม่ได้รับรู้ถึงภัยอันตรายที่เข้ามาที่ตัวเธอและคนรอบข้าง
ถึงแม้ว่าหนังจะมี big idea ด้วยเรื่องของกลุ่มวัยรุ่นที่คึกคะนองท้าผีที่ดูจะเดิมๆไม่ได้แต่แปลกใหม่อะไร แต่หนังจับมาบิดตรงที่ตัวละครวัยรุ่นในหนังส่วนใหญ่ "เชื่อว่าผีมีจริง แต่ก็ลองของ" เมื่อมีเพื่อนโดนผีสิง(โดยการจับรูปปั้นมือ และพูดประโยคเชื้อเชิญให้ผีมาสิงร่าง) เพื่อนคนอื่นๆก็ไม่ได้มีท่าทีตกใจ แถมยังเอามือถือมาถ่ายลงโซเซี่ยล ตรงจุดนี้สะท้อนยุคสมัยปัจจุบันได้ดีมากๆ นอกจากนี้หนังมีการเปรียบเทียบ สภาวะที่โดนผีสิงสู่เหมือนการเสพยา โดยสะท้อนออกมาทางภาษากาย(ถ้าเคยดูหนังที่ตัวละครเล่นยาไอซ์ก็อาการแบบนั้นเลย) อีกสิ่งที่ชอบเลยคือหนังเรื่องนี้ไม่ได้พยายามจะจับยัดให้หลุ่มวัยรุ่นรวมพลังกัน ซึ่งเป็นแพทเทิลที่เห็นจนเกร่อในหนังผีวัยรุ่นยุค 2000 - ปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น IT, Fear street เป็นต้น มันไม่ได้แปลว่าหนังที่มีแพทเทิลนี้จะแย่ เพียงแต่มันเกร่อ จนถ้าเจอใน talk to me ก็คง ถอนหายใจเบาๆว่า อีกแล้วหรอฟระ แต่โชคดีที่หนังไม่ได้เล่าไปในทิศทางนั้น
จุดเด่นของหนัง คือความรู้สึกหวาดระแวง หายใจไม่ทั่วท้อง เปรียบเทียบง่ายๆคือเหมือนเรารู้ว่ามีระเบิดอยู่ในห้องนอนเรา แต่ไม่รู้ว่าจะระเบิดรึปล่าว และจะระเบิดเมื่อไหร่ ประเด็นคือเรื่องนี้มันไม่ได้มีระเบิดลูกเดียวซะด้วย!! อีกจุดคือหนังมีเรื่องความรุนแรง ทำร้ายร่างกาย เหวอะหวะแบบ10/10 ไม่เหมาะกับคนขวัญอ่อนอย่างยิ่ง ตัวผมเองเวลาดูหนังบู๊แล้วเจอฉากแหวะๆเห็นอวัยวะภายใน สมองระเบิด เช่น เดดพูล ผมก็เฉยๆนะ แต่พอสิ่งเหล่านี้มาอยู่ในหนังสยองขวัญกลับรู้สึกว่ามันจริงมากๆ เครียดและกดดันตามตัวละคร นั่งคิดซักพักนึง ก็เข้าใจว่า ในหนังบู๊จะไม่ได้ให้ความสมจริงกับฉากเหวอะหวะขนากนั้น แต่กับ talk to me ค่อนข้างสมจริงในเรื่องรายละเอียด บวกกับจังหวะการเล่า, ซาวด์ประกอป มันเลยดูเรียลมากๆ จนบางฉากผมยังทนดูไม่ไหว เพราะมันสมจริงเกินไป
การเล่าเรื่องหนังทำได้ดี แต่อาจจะมีบางจุดอย่าง ความสัมพันธ์ของตัวละครบางตัวน่าจะให้น้ำหนักการเล่าอีกนิด จนเรารู้สึกว่า "เออถึงมันจะผิดจริง แต่ในมุมมันเราก็เข้าใจ จนเกลียดไม่ลง" ซึ่งถ้าตัวละครมันดูเทาๆไม่ใช่ขาวดำ จะเพอร์เฟคมาก นี่พอดูแล้วก็แอบเกลียดตัวละครบางตัว และไม่อินว่า คุณพี่ต้องเห็นแก่ตัวขนาดนั้นเลยหรอครับ แต่นั้นเป็นเพียงจุดเล็กๆ ในภาพรวมหนังเล่าได้ไหลลื่น มีการยิงมุกตลกแซมมานิดๆในช่วงแรก ซึ่งดีนะมันทำให้คนดู relax ขึ้นมานิดนึง เดี๋ยวจะเส้นเลือดแตกกันซะก่อน(ฮา) เรียกได้ว่าหนังไม่ได้ดูยากหรือทำความเข้าใจยาก อย่างที่คิด (ก่อนหน้านี้ผมตามดูแนวสยองขวัญของค่าย A23 แอบรู้สึกหลายๆเรื่องออกแนวอาร์ต เชิงสัญลักษณ์ ต้องตีความ ก็คือไม่ใช่หนังแมส ย่อยง่ายๆนั้นแหละ) แต่สำหรับ talk to me มันเป็นหนังที่ดูง่ายและทำความเข้าใจง่ายนะ (ถ้าไม่นับฉากความรุนแรง) แล้วทำให้ผมเก็ทเลยว่า หนังที่ดี ไม่จำเป็นต้องเล่าท่ายากซับซ้อนก็ได้ เรื่องนักแสดงและโปรดักชั่น หลายๆคนแทบจะเป็นนักแสดงหน้าใหม่เลย แต่กลับทำซีนอารมณ์ได้ออกมาค่อนข้างดีมากๆๆ ส่วนตอนจบดูรีบเล่าไปหน่อย แต่ก็ดีเพราะมันดูไม่คลีเช่ ส่วนบทสรุปของตัวเอก(มีอา)ก็เจ๋งดี ถึงจะไม่ได้ว้าวมาก
โดยรวมแล้ว talk to me เป็นหนังผีที่ดีเรื่องนึง จุดเด่นคือจังหวะการเล่าที่ไล่ลื่นไม่น่าเบื่อ กะจังหวะไคลแมกซ์แต่ละช่วงได้ค่อนข้างดี การปูเรื่องอาจจะดูเล่ารวบๆไปหน่อย เลยไม่อินกับแรงจูงใจของตัวละครหลักแต่ก็ยังดูสนุกอยู่ดี ในชีวิตมีหนังไม่กี่เรื่องที่ทำให้เราใจเต้น เกิดความร็สึกหวาดระแวงแบบนี้ได้และ talk to me เป็นหนึ่งในนั้น
รีวิว Talk to me หนังผีแห่งปี ที่ควรไปดู!!! ดูไประแวงไป
ถึงแม้ว่าหนังจะมี big idea ด้วยเรื่องของกลุ่มวัยรุ่นที่คึกคะนองท้าผีที่ดูจะเดิมๆไม่ได้แต่แปลกใหม่อะไร แต่หนังจับมาบิดตรงที่ตัวละครวัยรุ่นในหนังส่วนใหญ่ "เชื่อว่าผีมีจริง แต่ก็ลองของ" เมื่อมีเพื่อนโดนผีสิง(โดยการจับรูปปั้นมือ และพูดประโยคเชื้อเชิญให้ผีมาสิงร่าง) เพื่อนคนอื่นๆก็ไม่ได้มีท่าทีตกใจ แถมยังเอามือถือมาถ่ายลงโซเซี่ยล ตรงจุดนี้สะท้อนยุคสมัยปัจจุบันได้ดีมากๆ นอกจากนี้หนังมีการเปรียบเทียบ สภาวะที่โดนผีสิงสู่เหมือนการเสพยา โดยสะท้อนออกมาทางภาษากาย(ถ้าเคยดูหนังที่ตัวละครเล่นยาไอซ์ก็อาการแบบนั้นเลย) อีกสิ่งที่ชอบเลยคือหนังเรื่องนี้ไม่ได้พยายามจะจับยัดให้หลุ่มวัยรุ่นรวมพลังกัน ซึ่งเป็นแพทเทิลที่เห็นจนเกร่อในหนังผีวัยรุ่นยุค 2000 - ปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น IT, Fear street เป็นต้น มันไม่ได้แปลว่าหนังที่มีแพทเทิลนี้จะแย่ เพียงแต่มันเกร่อ จนถ้าเจอใน talk to me ก็คง ถอนหายใจเบาๆว่า อีกแล้วหรอฟระ แต่โชคดีที่หนังไม่ได้เล่าไปในทิศทางนั้น
จุดเด่นของหนัง คือความรู้สึกหวาดระแวง หายใจไม่ทั่วท้อง เปรียบเทียบง่ายๆคือเหมือนเรารู้ว่ามีระเบิดอยู่ในห้องนอนเรา แต่ไม่รู้ว่าจะระเบิดรึปล่าว และจะระเบิดเมื่อไหร่ ประเด็นคือเรื่องนี้มันไม่ได้มีระเบิดลูกเดียวซะด้วย!! อีกจุดคือหนังมีเรื่องความรุนแรง ทำร้ายร่างกาย เหวอะหวะแบบ10/10 ไม่เหมาะกับคนขวัญอ่อนอย่างยิ่ง ตัวผมเองเวลาดูหนังบู๊แล้วเจอฉากแหวะๆเห็นอวัยวะภายใน สมองระเบิด เช่น เดดพูล ผมก็เฉยๆนะ แต่พอสิ่งเหล่านี้มาอยู่ในหนังสยองขวัญกลับรู้สึกว่ามันจริงมากๆ เครียดและกดดันตามตัวละคร นั่งคิดซักพักนึง ก็เข้าใจว่า ในหนังบู๊จะไม่ได้ให้ความสมจริงกับฉากเหวอะหวะขนากนั้น แต่กับ talk to me ค่อนข้างสมจริงในเรื่องรายละเอียด บวกกับจังหวะการเล่า, ซาวด์ประกอป มันเลยดูเรียลมากๆ จนบางฉากผมยังทนดูไม่ไหว เพราะมันสมจริงเกินไป
การเล่าเรื่องหนังทำได้ดี แต่อาจจะมีบางจุดอย่าง ความสัมพันธ์ของตัวละครบางตัวน่าจะให้น้ำหนักการเล่าอีกนิด จนเรารู้สึกว่า "เออถึงมันจะผิดจริง แต่ในมุมมันเราก็เข้าใจ จนเกลียดไม่ลง" ซึ่งถ้าตัวละครมันดูเทาๆไม่ใช่ขาวดำ จะเพอร์เฟคมาก นี่พอดูแล้วก็แอบเกลียดตัวละครบางตัว และไม่อินว่า คุณพี่ต้องเห็นแก่ตัวขนาดนั้นเลยหรอครับ แต่นั้นเป็นเพียงจุดเล็กๆ ในภาพรวมหนังเล่าได้ไหลลื่น มีการยิงมุกตลกแซมมานิดๆในช่วงแรก ซึ่งดีนะมันทำให้คนดู relax ขึ้นมานิดนึง เดี๋ยวจะเส้นเลือดแตกกันซะก่อน(ฮา) เรียกได้ว่าหนังไม่ได้ดูยากหรือทำความเข้าใจยาก อย่างที่คิด (ก่อนหน้านี้ผมตามดูแนวสยองขวัญของค่าย A23 แอบรู้สึกหลายๆเรื่องออกแนวอาร์ต เชิงสัญลักษณ์ ต้องตีความ ก็คือไม่ใช่หนังแมส ย่อยง่ายๆนั้นแหละ) แต่สำหรับ talk to me มันเป็นหนังที่ดูง่ายและทำความเข้าใจง่ายนะ (ถ้าไม่นับฉากความรุนแรง) แล้วทำให้ผมเก็ทเลยว่า หนังที่ดี ไม่จำเป็นต้องเล่าท่ายากซับซ้อนก็ได้ เรื่องนักแสดงและโปรดักชั่น หลายๆคนแทบจะเป็นนักแสดงหน้าใหม่เลย แต่กลับทำซีนอารมณ์ได้ออกมาค่อนข้างดีมากๆๆ ส่วนตอนจบดูรีบเล่าไปหน่อย แต่ก็ดีเพราะมันดูไม่คลีเช่ ส่วนบทสรุปของตัวเอก(มีอา)ก็เจ๋งดี ถึงจะไม่ได้ว้าวมาก
โดยรวมแล้ว talk to me เป็นหนังผีที่ดีเรื่องนึง จุดเด่นคือจังหวะการเล่าที่ไล่ลื่นไม่น่าเบื่อ กะจังหวะไคลแมกซ์แต่ละช่วงได้ค่อนข้างดี การปูเรื่องอาจจะดูเล่ารวบๆไปหน่อย เลยไม่อินกับแรงจูงใจของตัวละครหลักแต่ก็ยังดูสนุกอยู่ดี ในชีวิตมีหนังไม่กี่เรื่องที่ทำให้เราใจเต้น เกิดความร็สึกหวาดระแวงแบบนี้ได้และ talk to me เป็นหนึ่งในนั้น