ปัญหา108อย่างในวัย23 จากคุณหนูสู่ยาจกไม่ได้มีแค่ในละคร

          สวัสดีค่ะพี่ๆน้องๆเพื่อนๆทุกคน
          จริงๆวันนี้แค่อยากมาระบายปัญหาชีวิตที่เกิดขึ้นกับเด็กคนนึงที่อายุแค่23ปี พึ่งเรียนจบ พึ่งทำงานได้1ปี แต่หากได้คำปรึกษาหรือแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ก็จะขอบคุณมากๆค่ะ ขอแทนตัวเองว่าหนูเพื่อง่ายต่อการเล่าเรื่องแล้วกันนะคะต้อง
          ขอเกริ่นก่อนว่าตัวหนูเองเป็นลูกสาวคนโตในครอบครัวที่มีฐานะไม่ได้ดีอะไรไม่ได้ขาดไม่เคยอด แต่ก็ไม่ได้มีของหรูหราใช้ อยู่บ้านทาวโฮมธรรมดา จนประมาณป.6ถึงม.1 พ่อกับแม่ออกมาทำธุรกิจส่วนตัว เริ่มค้าขายครอบครัวเริ่มดีขึ้น เริ่มมีของดีๆใช้ เริ่มได้เที่ยว เริ่มรู้สึกว่าที่บ้านมีฐานะ ชีวิตหนูดีขึ้นเป็นอย่างนี้จนกระทั่งมหาลัย หนูได้เรียนมหาลัยที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในกรุงเทพ ซึ่งบ้านหนูกับมหาลัยห่างกันประมาณ20กม. จริงๆแล้วก็สามารถเดินทางไปกลับได้  แต่พ่อแม่กลัวหนูเหนื่อยจึงให้อยู่หออย่างดีคนเดียว และไม่ต้องกู้เรียนเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ หนูได้เงินใช้เดือนละ10000++โดยที่ไม่รวมค่าใช้ค่าอื่นๆเช่น ค่าหอ ค่าเทอม ค่าน้ำค่าไฟ ก็ยอมรับนะคะว่าหนูเป็นคนใช้เงินค่อนข้างเยอะ ใช้จ่ายกับนู่นกับนี่ มีหมื่นก็เหลือ500 บางทีก็ไม่เหลือ แต่ก็แบ่งเก็บไว้เสมอเพราะไม่ชอบให้ตัวเองไม่มีเงิน เพราะคิดว่ายังไงพ่อกับแม่ก็มีให้ เพราะทุกครั้งถ้าขอพ่อแม่เท่าไหร่ก็ได้เท่านั้น พ่อกับแม่ของหนูไม่เคยขัด หนูใช้ชีวิตแบบไม่คิดอะไรทั้งนั้นค่ะ เรียนเที่ยว ซื้อของ โดยอยู่ภายใต้การใช้ชีวิตที่ว่า เรียนจบพ่อกับแม่ก็ซื้อรถให้ แล้วก็เรียนต่อโท ไม่ต้องคิดมาก เพราะพ่อกับแม่ก็บอกหนูแบบนี้เช่นกัน แต่ชีวิตมันก็ไม่ได้ง่ายแบบที่คิดเสมอไป ประมาณมหาลัยปี3 ได้มีการระบาดของโควิด19แบบที่หลายๆคนได้เจอ หนูเองกลับมาอยู่บ้านเรียนออนไลน์ ก็ยังรู้สึกว่าที่บ้านไม่ได้มีปัญหา ชีวิตเหมือนเดิม ได้เงินเหมือนเดิม อยู่ดีกินดีเหมือนเดิม รู้สึกว่าชีวิตไม่ได้มีปัญหาอะไร จนแม่เริ่มพูดว่า ค่าไฟค่ากินประหยัดๆหน่อยนะช่วงนี้แม่ขายของไม่ค่อยได้ เริ่มที่ขอเงินเพิ่มไม่ได้ ทำให้หนูรู้ว่าที่บ้านคงต้องเจอปัญหาอะไรสักอย่างแน่นอน จนกระทั่งปี4 หนูเริ่มรับรู้ถึงปัญหาที่บ้านมากขึ้น พ่อเริ่มพูดว่าเรื่องรถอาจจะไม่ได้นะ ซึ่งหนูไม่ได้มีปัญหาอะไรเพราะส่วนตัวก็ไม่ชอบขับรถมากขนาดนั้นอยู่แล้ว หนูจึงเริ่มคิดว่าแพลนต่อปอโทของหนูน่าจะล่มไปด้วยเช่นกัน ซึ่งหนูไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น
          หนูเริ่มมีการหาช่องทางการหาเงิน ส่วนตัวแล้วหนูติดตามศิลปินเกาหลีและได้เห็นลู่ทางในการขายสินค้าต่างๆ จำพวกอัลบั้ม สินค้าเกี่ยวกับศิลปิน พอจับทางได้หนูก็เริ่มหาวิธีค้าขาย มีเพื่อนคนนึงที่รู้จักกันจากการตามศิลปินแนะนำว่าเราควรไปรับจากนายหน้า เพราะได้ราคาถูกกว่าทั่วไปและติดต่อได้ไว ด้วยความไม่เคยจับทางธุรกิจหนูจึงเชื่อเพื่อนคนนี้ทั้งๆที่ไม่เคยเจอกัน ค่ะ เพราะความโลภของเด็กคนนึง หนูจึงทำการเปิดพรีออเดอร์สินค้าทุกอย่างเท่าที่จะหาได้ ซึ่งได้รับการตอบรับดีมากเพราะหนูค่อนข้างเป็นที่รู้จัก เป็นครั้งแรกที่หนูได้เห็นเงินในบัญชีมากกว่า1แสนบาท มันเป็นอะไรที่ชื่นใจมาก เพราะถ้าหนูมาถูกทางหนูคงได้เรียนปอโทสมใจ หนูได้เริ่มทำการจ่ายเงินค่าสินค้าให้ทางต่างประเทศ จ่ายค่าของแถม ค่าอุปกรณ์การแพค จนเหลือเงินในมือหลักหมื่น อาจจะไม่มาก แต่ถ้าทำหลายๆครั้งก็น่าจะเป็นรายได้ที่ค่อนข้างดีได้ แต่ชีวิตมันก็แย่มากไปกว่านั้นอีกค่ะ วันที่ต้องไปรับของจากศุลกากร หนูไม่ว่างจึงให้พี่ชายลูกพี่ลูกน้องไปรับมา และจัดการเรื่องทุกอย่างให้ แต่สิ่งที่ได้รับ มันไม่ใช่สินค้าที่สั่งไป แต่เป็นเสื้อผ้าของใช้แล้วยัดๆกันมาจนเต็มกล่อง ตอนนั้นหนูหน้าชาทำตัวไม่ถูก พยายามติดต่อกลับไปทางนู้นก็เงียบไม่มีใครตอบ พยายามติดต่อเพื่อนที่ให้ซื้อขายกับคนนี้ก็หายเหมือนกัน ตอนนั้นหนูรู้แล้วล่ะค่ะว่าโดนโกง ตอนนั้นเป็นช่วงใกล้จบ หัวหนูตื้อไปหมด เงินจากเป็นแสนเหลือส่วนกำไรแค่ไม่กี่หมื่น หนูจะทำอย่างไร เพราะถ้าหนูหายไปลูกค้าที่ซื้อขายกันตามตัวได้แน่นอนเพราะเราค่อนข้างเป็นที่รู้จัก หนูมืดแปดด้าน บอกใครไม่ได้ที่บ้านก็มีปัญหา หนูจึงทำสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะคิดได้ตอนนั้น
          หนูได้ทำการจ้างร้านสมัครสินเชื่อ สมัครสินเชื่อส่วนบุคลของธนาคาร ธนาคารนึงให้ โดยได้เงินมาประมาณเกือบแสน ตอนนั้นหนูไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะส่งไหวมั้ย หรือต้องทำยังไงต่อเพราะตอนนั้นคิดเพียงแค่ต้องคืนตังค์ลูกค้า ไม่อยากให้เรื่องใหญ่ ซึ่งพอได้เงินจากสินเชื่อ+เงินเก็บแะเงินส่วนต่างที่เป็นกำไรที่ยังเหลืออยู่ก็พอจะคืนลูกค้าได้หมด ที่เหลือประมาณ2-3พันก็ขอยืมเพื่อนที่สนิทมากๆมาคืนให้จบ จนได้คืนเงินลูกค้าครบทุกคน หลังจากนั้นก็พยายามติดต่อคนที่รู้เรื่องนี้ มีคนบอกว่าโดนกันหลายคนมากๆ และไม่เคยดำเนินคดีได้เลยเพราะเค้าถือว่าเค้าส่งของมา ส่วนของจะเป็นอะไรเราต้องเคลียร์กับผู้ส่งเองทางตำรวจไม่ตามเรื่องให้ มันทำให้หนูยิ่งท้อจนแทบจะคิดสั้น แต่เพราะพ่อกับแม่จึงทำให้หนูฮึดสู้ชีวิตต่อจนเรียนจบ
          หนูเรียนจบมาต้องกลับบ้านมาทำงานทันทีเงินเดือนหักประกันสังคมเหลือไม่ถึง14000บาท จ่ายหนี้เพื่อน ค่าเดินทาง ค่ากินแต่ละวัน ค่าสินเชื่อ+ดอกเบี้ย หนูแทบไม่พอใช้ ต้องไปยืมตรงนั้น ยืมตรงนี้มา จนพอกเป็นเงินก้อนใหญ่ พอได้กลับบ้านมาก็รู้ถึงปัญหาว่าตอนนี้ที่บ้านกำลังแย่มากๆ ไม่มีเงินจ่ายค่าบ้านจนต้องไปประนอมหนี้ ไม่มีเงินจ่ายค่าน้ำจนโดนตัด ไม่มีเงินจ่ายค่าคนงาน จนเหลือแค่พ่อกับแม่หนูแค่สองคน เงินแค่3000ที่ต้องจ่ายค่าแต่งหน้าทำผมวันรับปริญญายังต้องไปก็รายวันมาจ่าย น้องสาวที่เรียนม.5ก็ต้องติดรถแม่เพื่อนไปเรียนทุกวันเพราะไม่มีเงินจ่ายค่ารถรับส่งนักเรียน ยิ่งตอกย้ำถึงความย่ำแย่ของครอบครัว
          จากที่แม่ให้เงินใช้จ่าย แม่เริ่มมาถามว่าพอจะมีให้แม่มั้ย พอจะหายืมใครได้บ้าง หนูยอมรับเลยว่าหนูเกลียดการที่เห็นว่าบ้านเราไม่มีเงินมากๆ หนูยอมรับไม่ได้ว่าเราไม่มีเงินแม้แต่จะจ่ายค่าน้ำค่าไฟ แม่หนูต้องหาทุกทางเพื่อที่จะเอามาจ่ายค่าเช่าที่ ค่ากินค่าอยู่ของพวกเรา พ่อแม่เริ่มทะเลาะกันเพราะความเครียดสะสม บ้านที่เริ่มพังไม่ได้รับการซ่อม ฝ้าที่น้ำเริ่มซึม กระเบื้องที่แตก สีที่ลอก บ้านไม่ได้รับการบำรุงอะไรสักอย่าง น้ำรั่ว ปลั๊กพัง มันอยู่อย่างนั้นจนถึงทุกวันนี้
          สถานการณ์เป็นอย่างนี้วนไปทุกเดือนมาจะปีนึงแล้วค่ะ บ้านหนูไม่มีเงินไม่มีรายได้ พ่อแม่ผอมโทรม ทะเลาะกันทุกวัน น้อสาวกำลังจะจบม.6 แต่เครียดเรื่องเงินส่งน้องเรียนมหาลัย ไหนจะค่าหอค่ากิน เงินเดือนของหนูก็เริ่มไม่พอใช้เพราะพ่อแม่ให้ช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่าน้ำค่าไฟค่าของใช้ จนทำให้ต้องปล่อยสินเชื่อธนาคาร มีคนโทรตามทุกวัน จนตอนนี้เค้าน่ากำลังจะทำเรื่องฟ้องเพราะขาดส่งมาหลายเดือน
          ทุกอย่างส่งผลต่อความสัมพันธ์ของหนูกับแฟน เพราะเราคบกันตอนที่หนูยังมีเงิน เราฐานะเท่ากัน เขาและหนูสมัยคบกันแรกๆหนูก็กินอยู่แบบวัยรุ่นมีเงิน อยากเที่ยว อยากซื้อ อยากกิน ก็ทำไม่ได้เดือดร้อน แต่ตอนนี้หนูไม่มี แต่ต้องทำเหมือนเดิมทุกอย่างเพราะกลัวจะเสียเค้าไป ถ้าเค้ารู้ว่าบ้านเรามีปัญหา ทำให้หนูกลัวจนระแวงว่าเค้าจะทิ้งว่าเค้าจะนอกใจ จนทะเลาะกันหลายรอบ
          กับเพื่อนๆหนูก็ไม่ได้ไปเจอ จนเดี๋ยวนี้เพื่อนมักจะไปเที่ยวกันโดยไม่ชวนหนูเพราะที่ผ่านมาหนูไม่เคยไปกับเพื่อนเพราะไม่มีเงิน แต่ก็บอกเหตุผลจริงๆกับเพื่อนไม่ได้ ได้แต่บอกว่าอยู่กับแฟน มาหาญาติ จนเพื่อนคิดว่าติดแฟนมากจนไม่ชวนไปเที่ยวอีก ทำให้ความสนิท ความใกล้ชิดกับเพื่อนในกลุ่มหายไป
          จนถึงวันนี้บ้านหนูก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น ติดหนี้ญาติ คนรู้จัก หนี้บ้านหนี้รถ อยู่รวมๆแล้วคงจะหลายแสน เพราะหนูรู้มาว่าช่วงโควิดพ่อแม่ต้องยืมเงินมาเพื่อให้กิจการของเรามันยังคงอยู่ต่อไปได้ ทุกวันนี้หนูต้องคอยหาสินเชื่อให้แม่ว่าพอจะยืมตัวไหนได้บ้าง เพราะส่วนตัวหนูเองก็ติดบูโร ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง แม่หนูพูดเสมอว่าวันนี้ไม่ใช่วันของเรา วันข้างหน้าอะไรๆมันต้องดีขึ้น

          ตอนนี้หนูตื่นเช้ามาทำงาน เห็นฝ้าห้องนอนด่างๆดวงๆเพราะน้ำซึม อาบน้ำในห้องน้ำที่กระเบื้องแตกๆ เปิดหน้าต่างที่มีเสียงเอี๊ยดอ้าดเพราะความเก่า ใส่รองเท้าไปทำงานที่พื้นขาดๆ ทำงานด้วยจิตใจระแวงว่าวันนี้แม่จะทักมาคุยเรื่องเครียด เรื่องเงินมั้ย หรือจะมีเจ้าหนี้หรือฝ่ายกฏหมายที่ไหนโทรมาทวงหนี้หรือเปล่า กลับบ้านมาเจอพ่อแม่คุยกันด้วยอาการหงุดหงิด กินข้าวพร้อมความวุ่นวายของเสียงข่าวจากโทรศัพท์เพราะทีวีพังไม่ได้ซื้อใหม่ เข้านอนด้วยจิตใจย่ำแย่แล้วตื่นมาเจอเรื่องเดิมๆอีกทุกวัน
          หนูท้อค่ะ ท้อจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ
          หนูไม่ได้เล่าให้ใครฟังเพราะเมื่อเล่าให้ใครฟัง มักจะได้แต่คำตอกย้ำซ้ำเติม ไม่เผื่ออนาคต ไม่วางแผน ไม่มีหัวคิด ไม่มีความรู้แต่ก็ยังกล้าจะลงทุน เด็กอายุ 21-22ที่ไม่เคยเจอสถานการณืเกี่ยวกับเรื่องการเงิน มีกินมีใช้มาตลอด ถ้าเจอแบบนั้นคาดหวังจะให้เด็กคนนั้นทำยังไงหรอคะ ทุกครั้งที่เล่ามักจะได้รับแต่คำตอกย้ำของเรื่องในอดีต ไม่มีใครแนะนำวิธีการหรือเรื่องในอนาคตสักคน หวังว่าทุกๆคนที่ได้อ่านจะไม่ซ้ำเติมกันจนมากเกินไป และขอใอวยพรให้ตัวหนูเองมีชีวิตให้อยู่ถึงวันต่อๆไปได้ เพราะหนูยังอยากเห็นท้องฟ้าสวยๆ แต่จิตใจมันท้อ เวลาเห็นเชือก มีด ยา จิตใจมันสั่น อยากจบตรงนี้ไปทุกที ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่