ตามคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก เราเชื่อว่า พระเยซูคริสตเจ้า องค์พระมหาไถ่ของเรา ทรงประทับอยู่ในศีลมหาสนิทจริงๆ เราเชื่อพระวาจาของพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระเป็นเจ้า ใกล้ทะเลสาปกาลิลี พระองค์ทรงสัญญาประทานพระกาย และพระโลหิตเป็นอาหารของเรา (ยอห์น 6:48-60) และได้ทำตามพระสัญญานั้นในขณะรับประทานอาหารค่ำมื้อสุดท้าย (มัทธิว 26:26-28; ลูกา 22:19-20; มาระโก14:22-24; 1 โครินธ์ 11:23-25)
เรายังมีพยานหลักฐานของพระศาสนจักรที่พระองค์ได้ทรงตั้ง สภาสังคายนาแห่งเทรนท์ (Council of Trent) สอนว่า ในมิสซาหลังจากพิธีเสกปังและเหล้าองุ่น พระเยซูคริสตเจ้า พระเป็นเจ้าแท้และมนุษย์แท้ทรงประทับอยู่จริงๆในแผ่นศีล ภายใต้รูปปัง🍞และเหล้าองุ่น🍷
หลายศตวรรษผ่านพ้นไป พระเยซูเจ้าได้เห็นเหมาะสมทำมหัศจรรย์กว่าร้อยครั้งเพื่อยืนยันการประทับของพระองค์อย่างแท้จริงในศีลมหาสนิท จุดมุ่งหมายของมหัศจรรย์เหล่านี้เพื่อประโยชน์อะไร? ก็เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสเป็นจริงตามคำบอกเล่าในพระคัมภีร์ "ผู้ที่เชื่อและรับศีลล้างบาปก็จะรอดพ้น ผู้ที่ไม่เชื่อจะถูกตัดสินลงโทษ" (มาระโก 16:16) พระองค์ต้องการให้เราเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระองค์ และทรงเตือนเราถึงภัยอันตรายถ้าเราไม่เชื่อฟังพระองค์ "ผู้ที่เชื่อและรับศีลล้างบาปก็จะรอดพ้นผู้ที่ไม่เชื่อจะถูกตัดสินลงโทษ" (มาระโก 16:16) พระเป็นเจ้าทรงพระทัยดีประทานสิ่งเหนือธรรมชาติเพื่อช่วยเราให้มีความเชี่ออย่างมั่นคง เพราะพระองค์ทรงปรารถนากอบกู้วิญญาณเรา พระเยซูเจ้ายังตรัสว่า"แต่ถ้าเราทำ แม้ว่าท่านทั้งหลายไม่เชื่อเรา อย่างน้อยก็จงเชื่อในกิจการที่เราทำนั้นเถิด แล้วท่านจะรู้และเข้าใจว่า พระบิดาสถิตในเรา และเราอยู่ในพระบิดา" (ยอห์น 10:38)
ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวมหัศจรรย์ 4 เรื่อง ซึ่งยืนยันการประทับของพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท
🌟 เรื่องที่ 1
ในประเทศสเปน🇪🇸 ปีค.ศ. 1392 พระสงฆ์เจ้าวัดที่เมืองมอนคาดา (Moncada) ได้ถวายมิสซา โดยไม่มีข้อสงสัยใดๆทั้งสิ้น เป็นเวลาหลายปี แต่วันหนึ่งท่านได้ตกเป็นเหยื่อแห่งความสงสัยว่าท่านได้รับศีลบวชอย่างถูกต้องสมบูรณ์หรือไม่? ในความวิตกกังวล ท่านได้ตัดสินใจขออนุญาตเข้าพบบิชอป โดยไม่รีรอท่านได้ออกเดินทางด้วยเท้าไปยังเมืองวาเลนเซีย (Valencia) ศูนย์กลางของสังฆมณฑล ณ สถานที่แห่งนี้ พระเป็นเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ พอพระทัยช่วยท่านพ้นจากความทุกข์ยาก พระองค์ประทานความสว่างและสันติสุขแก่ท่านอย่างมหัศจรรย์
พระสงฆ์องค์นั้นได้รับมอบหมายให้ถวายมิสซาในวันคริสต์มาส เมื่อถึงตอนเสกศีล ท่านได้หยิบปังด้วยมือสั่นเทา และสวดบทภาวนาเสกศีลด้วยเสียงสั่นเครือ ขณะที่ท่านชูแผ่นศีลขึ้นเหนือศีรษะ และคุกเข่าแสดงความเคารพด้วยอาการสั่นๆ หนูน้อยอายุ 5 ขวบได้ร้องเสียงดังท่ามกลางสัตบุรุษที่กำลังฟังมิสซาอย่างเงียบกริบว่า "โอ้ คุณแม่ครับ เด็กช่างน่ารักมากๆ! แม่ดูที่นั่นสิครับ เขาอยู่บนพระแท่น" เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ลืมหมดทุกสิ่ง ยืนบนเก้าอี้ และตบมืออย่างร่าเริงยินดี แม่ของเด็กรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่สุด จึงสั่งให้เขานิ่งเงียบ เพราะไม่มีใครมองเห็นภาพอันสวยงามเช่นนั้น นอกจากเด็กไร้เดียงสาเพียงคนเดียว ผู้ซึ่งได้มองเห็นภาพนั้นเมื่อแผ่นศีลถูกยกชูขึ้นในอากาศ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาได้ขอร้องให้แม่ของเขาดู เขากระซิบว่า"คุณแม่ครับ เด็กคนนั้นช่างสวยงามจริงๆ เหมือนกับพระกุมารที่นอนอยู่ในรางหญ้าในถ้ำเลี้ยงสัตว์"
ตอนรุ่งอรุณ แม่ลูกรอฟังมิสซาที่ 2 ซึ่งพระสงฆ์องค์เดียวกันเป็นผู้ถวาย และอีกครั้งหนึ่ง ตอนยกแผ่นศีลเด็กน้อยได้อุทานออกมาว่า "โอ้ พระกุมารอยู่ที่นั่นอีก คุณแม่มองไม่เห็นหรือครับ? พระสงฆ์กำลังอุ้มพระองค์ขึ้นด้วยมือสองข้าง และบัดนี้ได้วางพระองค์ลงบนพระแท่น!" แม่ได้สั่งให้ลูกนิ่งเงียบ เธอมองไม่เห็นอะไรเลย สวรรค์ได้ประทานพระหรรษทานพิเศษนี้แก่ลูกชายเล็กๆของเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น
ในวันคริสตสมภพพระสงฆ์ได้ทำหน้าที่สมบูรณ์โดยถวายมิสซาที่ 3 ตอนพระสงฆ์ยกแผ่นศีลขึ้นเหนือศีรษะ เด็กชายคนนั้นตื่นเต้นมาก เพราะเขาได้มองเห็นภาพมหัศจรรย์นั้นอีก แม่ได้เล่าเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นให้คนรู้จักฟัง จากปากหนึ่งไปอีกปากหนึ่ง ในที่สุดเรื่องเล่าก็ไปเข้าหูพระสงฆ์องค์นั้น ผู้ซึ่งคงได้รับความบันเทาใจอย่างใหญ่หลวง อย่างไรก็ตาม ข้อสงสัยทั้งหมดยังไม่อันตรธานหายไปจากความนึกคิดของท่าน ท่านยังสงสัยว่า เด็กอาจถูกปิศาจหลอกลวงก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงขอสืบสาวราวเรื่องจากเด็กโดยส่วนตัว แต่เขาได้ให้คำตอบแก่ท่านอย่างถูกต้องแม่นยำ จนท่านเชื่อว่ามีสิ่งเหนือธรรมชาติอุบัติขึ้น พระสงฆ์ เปี่ยมด้วยความปิติยินดีและความกตัญญูรู้คุณต่อพระเป็นเจ้า ได้เชิญเด็กน้อยและแม่มาฟังทุกมิสซาที่ท่านถวายเท่าที่เขาทั้งสองสามารถจะทำได้ ทุกครั้งก็มีมหัศจรรย์เกิดขึ้น เนื่องจากข้อสงสัยยังไม่หมดสิ้นในจิตใจ ท่านได้วอนขอเบื้องบน โปรดประทานข้อพิสูจน์ที่ช่วยท่านตัดสินใจในเรื่องนี้
ท่านนำแผ่นปัง 3 แผ่นไปยังพระแท่น วางและเสกสองแผ่นบนจานรองแผ่นศีล และวางแผ่นปังที่ไม่ได้เสกไว้บนพระแท่นใกล้ๆ หลังจากมิสซาจบแล้ว ท่านได้เรียกเด็กน้อยมายังพระแท่น และถามว่าเขาได้มองเห็นพระกุมารในแผ่นศีลแผ่นไหนบ้าง? เขาตอบว่า "โอ้ คุณพ่อครับ พระองค์อยู่ที่นั่น เห็นมั้ยครับ พระองค์กำลังกางพระหัตถ์" ดูเหมือนเด็กน้อยปิติยินดีอย่างเหลือล้น แล้วพระสงฆ์ก็ชี้ไปที่แผ่นปังอีกอันหนึ่ง ถามว่า "แล้วอันนี้ล่ะ พระกุมารทรงสถิตอยู่หรือเปล่า?" เขาตอบว่า "ไม่อยู่ครับ" พระสงฆ์ถามอีกว่า "หนูแน่ใจหรือ?" เขาตอบว่า "แน่ใจสิครับ คุณพ่อ ในแผ่นนั้นไม่มีอะไรเลย" โดยเหตุการณ์มหัศจรรย์อันสุดท้ายนี้พระสงฆ์ก็เปี่ยมด้วยสันติสุขในจิตใจ ความกังวลและข้อสงสัยทั้งสิ้นได้อันตรธานหายไป ตลอดชีวิตที่เหลือท่านได้รับใช้พระเป็นเจ้าด้วยความรักและความศรัทธาที่เพิ่มขึ้นทุกวัน
ให้เราภาวนา :
"โอ้ ศีลศักดิ์สิทธิ์! โอ้ ศีลมหัศจรรย์! จงสรรเสริญพระเป็นเจ้า และโมทนาคุณพระองค์ทุกเวลาเทอญ"
🌟 เรื่องที่ 2
เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1899 รถไปรษณีย์ขนส่งของด่วนจากเมืองบอร์โด (Bordeaux) ถึงกรุงปารีส (Paris) ประเทศฝรั่งเศส🇫🇷 ได้เกิดอุบัติเหตุชนกับรถไฟ บุรุษไปรษณีย์ชื่อ กาเบรียล การ์แกม(Gabriel Gargam) อายุ 30 ปี อยู่ในรถขนส่ง ขณะที่ชนกันดังสนั่นหวั่นไหว รถไฟวิ่งด้วยความเร็วอัตรา50 ไมล์ต่อชั่วโมง และกาเบรียล การ์แกม (Gabriel Gargam) ถูกเหวี่ยงกระเด็นออกจากรถเป็นระยะ 32 ฟุต ร่างกายของเขาบอบช้ำทั้งตัว กระดูกหัก กระดุกกระดิกไม่ได้ เขาเป็นอัมพาตจากบั้นเอวลงไป อาการปางตายเมื่อคนแบกเขาขึ้นเปล หามส่งโรงพยาบาล บางครั้งการมีชีวิตของเขาเหมือนตายทั้งเป็น หลังจากเวลาผ่านไป 8 เดือนเขาผอมเหลือหนังหุ้มกระดูก เมื่อก่อนนี้เขาเป็นคนมีรูปร่างใหญ่โต บัดนี้เขาหนักแค่ 78 ปอนด์ เท้าของเขา 2 ข้างลีบ เขากินอาหารแข็งไม่ได้ กินได้แต่อาหารเหลวทางสายยาง แม้โดยวิธีนี้ก็ตาม เขารับประทานวันละครั้งเดียวเท่านั้น
สภาพของกาเบรียล การ์แกม (Gabriel Gargam) ดูแล้วน่าหดหู่ใจที่สุด เขาไม่สามารถช่วยตัวเองแม้แต่ในสิ่งเล็กๆน้อยๆ ตลอดวันและคืนมีนางพยาบาลผลัดกันคอยดูแลเอาใจใส่เขา ก่อนเกิดอุบัติเหตุเขาได้ทิ้งวัดเป็นเวลานาน 15 ปี ป้าของเขาเป็นนักบวชหญิงคณะพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ (Order of the Sacred Heart) ขอร้องเขาเดินทางไปเมืองลูร์ด (Lourdes) เขาปฏิเสธ ด้วยความพยายามอย่างไม่ลดละเธออ้อนวอนเขาฝากตัวไว้ในการพิทักษ์รักษาของแม่พระเมืองลูร์ด (Our Lady of Lourdes) เขาไม่ฟังคำแนะนำของเธอ หลังจากแม่ของเขาได้ขอร้องเขาติดต่อกันหลายๆครั้ง เขาตกลงเดินทางไปเมืองลูร์ด(Lourdes) อุบัติเหตุได้เกิดขึ้นกับเขา 2 ปีมาแล้ว และเขาไม่เคยลุกออกจากเตียงนอนเลย คนต้องหามเขาขึ้นรถไฟ ความพิการในร่างกาย คือ สาเหตุที่เขาเป็นลมหมดสติ 1 ชั่วโมง คณะร่วมทางเกือบตัดสินใจยกเลิกการเดินทางแสวงบุญ เพราะดูท่าทางเขาอาจสิ้นใจระหว่างทาง แต่แม่ของเขาเป็นผู้คะยั้นคะยอให้การเดินทางดำเนินต่อไป
พอถึงเมืองลูร์ด (Lourdes) คนก็ช่วยกันหามเขาไปยังสระน้ำมหัศจรรย์ และค่อยๆวางเขาลงในน้ำแทนที่จะเกิดผลดี กลับเกิดผลร้าย เนื่องจากร่างกายของเขาอ่อนเพลียหมดแรง เขาเป็นลมหมดสติ อาการเหมือนคนใกล้ตายอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างเดินทางกลับ คณะร่วมทางได้มองเห็นขบวนแห่ศีลมหาสนิทอันศักดิ์สิทธิ์กำลังเดินใกล้เข้ามา พวกเขาได้หลบเข้าข้างทาง เพื่อให้ขบวนผ่านไปอย่างสะดวกไม่ติดขัด เขาทั้งหลายคิดว่า กาเบรียล การ์แกม (Gabriel Gargam) ได้หมดลมหายใจแล้ว จึงเอาผ้าผืนหนึ่งคลุมตัวเขาไว้
ขณะที่พระสงฆ์ถือรัศมีบรรจุแผ่นศีลมหาสนิท ท่านได้อวยพระพรคณะที่คุกเข่าอยู่รอบๆร่างที่ถูกคลุมไว้ทันใดนั้นเองภายใต้ผ้าคลุมมีการเคลื่อนไหว คนที่ยืนอยู่เคียงข้างตกตลึง ร่างนั้นลุกขึ้นมานั่ง คนในครอบครัวมองดูด้วยความฉงน พูดไม่ออกบอกไม่ถูก และผู้แสวงบุญจ้องดูอย่างพิศวงงงงวย กาเบรียลการ์แกม (Gabriel Gargam) พูดเสียงดังฟังชัดว่า เขาต้องการลุกขึ้น เขาลุกขึ้นยืนตัวตรง เดินไปข้างหน้า2-3 ก้าว และพูดว่าเขาหายดีแล้ว ฝูงชนได้เป็นพยานเห็นอัศจรรย์ แล้วคุกเข่าลงโมทนาคุณพระเป็นเจ้าสำหรับหมายสำคัญใหม่แห่งพระฤทธานุภาพของพระองค์ ณ พระวิหารของพระมารดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของพระองค์ ไม่มีอาหารแม้แต่นิดเดียวผ่านริมฝีปากของเขาลงไปในกระเพาะเป็นเวลา 2 ปีเต็ม แต่บัดนี้เขานั่งลงกินอาหารบนโต๊ะอย่างเอร็ดอร่อย
วันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 1901 นายแพทย์ผู้มีชื่อเสียง 60 คนตรวจร่างกายของกาเบรียล การ์แกม(Gabriel Gargam) โดยไม่ได้ระบุผลของการหายจากโรคภัยไข้เจ็บ เขาทั้งหลายได้ลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า เขาได้หายจากโรคร้ายแรงอย่างสิ้นเชิง กาเบรียล การ์แกม (Gabriel Gargam) ซึ้งในพระมหาธิคุณขององค์พระเจ้าในศีลมหาสนิทและพระมารดาของพระองค์ จึงถวายตัวอุทิศชีวิตรับใช้คนพิการที่เมืองลูร์ด (Lourdes) 15 ปีแล้ว หลังจากที่เขาได้หายป่วยอย่างอัศจรรย์ เขาก็ยังคงทำงานกุศลอยู่ที่นั่นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเป็นสักขีพยานเหุตการณ์เหนือธรรมชาติเป็นเวลานานหลายๆปี
ให้เราภาวนา :
“จงสรรเสริญ นมัสการ และ รัก อย่างกตัญญูรู้คุณ พระหฤทัยของพระเยซูเจ้า ในศีลมหาสนิทอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง ทุกเวลา บนพระแท่นทั่วโลก จนถึงวันสิ้นพิภพเทอญ”
ศีลมหาสนิท ศักดิ์สิทธิ์และมหัศจรรย์ บทความจาก สิริโรจนา
เรายังมีพยานหลักฐานของพระศาสนจักรที่พระองค์ได้ทรงตั้ง สภาสังคายนาแห่งเทรนท์ (Council of Trent) สอนว่า ในมิสซาหลังจากพิธีเสกปังและเหล้าองุ่น พระเยซูคริสตเจ้า พระเป็นเจ้าแท้และมนุษย์แท้ทรงประทับอยู่จริงๆในแผ่นศีล ภายใต้รูปปัง🍞และเหล้าองุ่น🍷
หลายศตวรรษผ่านพ้นไป พระเยซูเจ้าได้เห็นเหมาะสมทำมหัศจรรย์กว่าร้อยครั้งเพื่อยืนยันการประทับของพระองค์อย่างแท้จริงในศีลมหาสนิท จุดมุ่งหมายของมหัศจรรย์เหล่านี้เพื่อประโยชน์อะไร? ก็เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสเป็นจริงตามคำบอกเล่าในพระคัมภีร์ "ผู้ที่เชื่อและรับศีลล้างบาปก็จะรอดพ้น ผู้ที่ไม่เชื่อจะถูกตัดสินลงโทษ" (มาระโก 16:16) พระองค์ต้องการให้เราเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระองค์ และทรงเตือนเราถึงภัยอันตรายถ้าเราไม่เชื่อฟังพระองค์ "ผู้ที่เชื่อและรับศีลล้างบาปก็จะรอดพ้นผู้ที่ไม่เชื่อจะถูกตัดสินลงโทษ" (มาระโก 16:16) พระเป็นเจ้าทรงพระทัยดีประทานสิ่งเหนือธรรมชาติเพื่อช่วยเราให้มีความเชี่ออย่างมั่นคง เพราะพระองค์ทรงปรารถนากอบกู้วิญญาณเรา พระเยซูเจ้ายังตรัสว่า"แต่ถ้าเราทำ แม้ว่าท่านทั้งหลายไม่เชื่อเรา อย่างน้อยก็จงเชื่อในกิจการที่เราทำนั้นเถิด แล้วท่านจะรู้และเข้าใจว่า พระบิดาสถิตในเรา และเราอยู่ในพระบิดา" (ยอห์น 10:38)
ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวมหัศจรรย์ 4 เรื่อง ซึ่งยืนยันการประทับของพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท
🌟 เรื่องที่ 1
ในประเทศสเปน🇪🇸 ปีค.ศ. 1392 พระสงฆ์เจ้าวัดที่เมืองมอนคาดา (Moncada) ได้ถวายมิสซา โดยไม่มีข้อสงสัยใดๆทั้งสิ้น เป็นเวลาหลายปี แต่วันหนึ่งท่านได้ตกเป็นเหยื่อแห่งความสงสัยว่าท่านได้รับศีลบวชอย่างถูกต้องสมบูรณ์หรือไม่? ในความวิตกกังวล ท่านได้ตัดสินใจขออนุญาตเข้าพบบิชอป โดยไม่รีรอท่านได้ออกเดินทางด้วยเท้าไปยังเมืองวาเลนเซีย (Valencia) ศูนย์กลางของสังฆมณฑล ณ สถานที่แห่งนี้ พระเป็นเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ พอพระทัยช่วยท่านพ้นจากความทุกข์ยาก พระองค์ประทานความสว่างและสันติสุขแก่ท่านอย่างมหัศจรรย์
พระสงฆ์องค์นั้นได้รับมอบหมายให้ถวายมิสซาในวันคริสต์มาส เมื่อถึงตอนเสกศีล ท่านได้หยิบปังด้วยมือสั่นเทา และสวดบทภาวนาเสกศีลด้วยเสียงสั่นเครือ ขณะที่ท่านชูแผ่นศีลขึ้นเหนือศีรษะ และคุกเข่าแสดงความเคารพด้วยอาการสั่นๆ หนูน้อยอายุ 5 ขวบได้ร้องเสียงดังท่ามกลางสัตบุรุษที่กำลังฟังมิสซาอย่างเงียบกริบว่า "โอ้ คุณแม่ครับ เด็กช่างน่ารักมากๆ! แม่ดูที่นั่นสิครับ เขาอยู่บนพระแท่น" เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ลืมหมดทุกสิ่ง ยืนบนเก้าอี้ และตบมืออย่างร่าเริงยินดี แม่ของเด็กรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่สุด จึงสั่งให้เขานิ่งเงียบ เพราะไม่มีใครมองเห็นภาพอันสวยงามเช่นนั้น นอกจากเด็กไร้เดียงสาเพียงคนเดียว ผู้ซึ่งได้มองเห็นภาพนั้นเมื่อแผ่นศีลถูกยกชูขึ้นในอากาศ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาได้ขอร้องให้แม่ของเขาดู เขากระซิบว่า"คุณแม่ครับ เด็กคนนั้นช่างสวยงามจริงๆ เหมือนกับพระกุมารที่นอนอยู่ในรางหญ้าในถ้ำเลี้ยงสัตว์"
ตอนรุ่งอรุณ แม่ลูกรอฟังมิสซาที่ 2 ซึ่งพระสงฆ์องค์เดียวกันเป็นผู้ถวาย และอีกครั้งหนึ่ง ตอนยกแผ่นศีลเด็กน้อยได้อุทานออกมาว่า "โอ้ พระกุมารอยู่ที่นั่นอีก คุณแม่มองไม่เห็นหรือครับ? พระสงฆ์กำลังอุ้มพระองค์ขึ้นด้วยมือสองข้าง และบัดนี้ได้วางพระองค์ลงบนพระแท่น!" แม่ได้สั่งให้ลูกนิ่งเงียบ เธอมองไม่เห็นอะไรเลย สวรรค์ได้ประทานพระหรรษทานพิเศษนี้แก่ลูกชายเล็กๆของเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น
ในวันคริสตสมภพพระสงฆ์ได้ทำหน้าที่สมบูรณ์โดยถวายมิสซาที่ 3 ตอนพระสงฆ์ยกแผ่นศีลขึ้นเหนือศีรษะ เด็กชายคนนั้นตื่นเต้นมาก เพราะเขาได้มองเห็นภาพมหัศจรรย์นั้นอีก แม่ได้เล่าเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นให้คนรู้จักฟัง จากปากหนึ่งไปอีกปากหนึ่ง ในที่สุดเรื่องเล่าก็ไปเข้าหูพระสงฆ์องค์นั้น ผู้ซึ่งคงได้รับความบันเทาใจอย่างใหญ่หลวง อย่างไรก็ตาม ข้อสงสัยทั้งหมดยังไม่อันตรธานหายไปจากความนึกคิดของท่าน ท่านยังสงสัยว่า เด็กอาจถูกปิศาจหลอกลวงก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงขอสืบสาวราวเรื่องจากเด็กโดยส่วนตัว แต่เขาได้ให้คำตอบแก่ท่านอย่างถูกต้องแม่นยำ จนท่านเชื่อว่ามีสิ่งเหนือธรรมชาติอุบัติขึ้น พระสงฆ์ เปี่ยมด้วยความปิติยินดีและความกตัญญูรู้คุณต่อพระเป็นเจ้า ได้เชิญเด็กน้อยและแม่มาฟังทุกมิสซาที่ท่านถวายเท่าที่เขาทั้งสองสามารถจะทำได้ ทุกครั้งก็มีมหัศจรรย์เกิดขึ้น เนื่องจากข้อสงสัยยังไม่หมดสิ้นในจิตใจ ท่านได้วอนขอเบื้องบน โปรดประทานข้อพิสูจน์ที่ช่วยท่านตัดสินใจในเรื่องนี้
ท่านนำแผ่นปัง 3 แผ่นไปยังพระแท่น วางและเสกสองแผ่นบนจานรองแผ่นศีล และวางแผ่นปังที่ไม่ได้เสกไว้บนพระแท่นใกล้ๆ หลังจากมิสซาจบแล้ว ท่านได้เรียกเด็กน้อยมายังพระแท่น และถามว่าเขาได้มองเห็นพระกุมารในแผ่นศีลแผ่นไหนบ้าง? เขาตอบว่า "โอ้ คุณพ่อครับ พระองค์อยู่ที่นั่น เห็นมั้ยครับ พระองค์กำลังกางพระหัตถ์" ดูเหมือนเด็กน้อยปิติยินดีอย่างเหลือล้น แล้วพระสงฆ์ก็ชี้ไปที่แผ่นปังอีกอันหนึ่ง ถามว่า "แล้วอันนี้ล่ะ พระกุมารทรงสถิตอยู่หรือเปล่า?" เขาตอบว่า "ไม่อยู่ครับ" พระสงฆ์ถามอีกว่า "หนูแน่ใจหรือ?" เขาตอบว่า "แน่ใจสิครับ คุณพ่อ ในแผ่นนั้นไม่มีอะไรเลย" โดยเหตุการณ์มหัศจรรย์อันสุดท้ายนี้พระสงฆ์ก็เปี่ยมด้วยสันติสุขในจิตใจ ความกังวลและข้อสงสัยทั้งสิ้นได้อันตรธานหายไป ตลอดชีวิตที่เหลือท่านได้รับใช้พระเป็นเจ้าด้วยความรักและความศรัทธาที่เพิ่มขึ้นทุกวัน
ให้เราภาวนา :
"โอ้ ศีลศักดิ์สิทธิ์! โอ้ ศีลมหัศจรรย์! จงสรรเสริญพระเป็นเจ้า และโมทนาคุณพระองค์ทุกเวลาเทอญ"
🌟 เรื่องที่ 2
เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1899 รถไปรษณีย์ขนส่งของด่วนจากเมืองบอร์โด (Bordeaux) ถึงกรุงปารีส (Paris) ประเทศฝรั่งเศส🇫🇷 ได้เกิดอุบัติเหตุชนกับรถไฟ บุรุษไปรษณีย์ชื่อ กาเบรียล การ์แกม(Gabriel Gargam) อายุ 30 ปี อยู่ในรถขนส่ง ขณะที่ชนกันดังสนั่นหวั่นไหว รถไฟวิ่งด้วยความเร็วอัตรา50 ไมล์ต่อชั่วโมง และกาเบรียล การ์แกม (Gabriel Gargam) ถูกเหวี่ยงกระเด็นออกจากรถเป็นระยะ 32 ฟุต ร่างกายของเขาบอบช้ำทั้งตัว กระดูกหัก กระดุกกระดิกไม่ได้ เขาเป็นอัมพาตจากบั้นเอวลงไป อาการปางตายเมื่อคนแบกเขาขึ้นเปล หามส่งโรงพยาบาล บางครั้งการมีชีวิตของเขาเหมือนตายทั้งเป็น หลังจากเวลาผ่านไป 8 เดือนเขาผอมเหลือหนังหุ้มกระดูก เมื่อก่อนนี้เขาเป็นคนมีรูปร่างใหญ่โต บัดนี้เขาหนักแค่ 78 ปอนด์ เท้าของเขา 2 ข้างลีบ เขากินอาหารแข็งไม่ได้ กินได้แต่อาหารเหลวทางสายยาง แม้โดยวิธีนี้ก็ตาม เขารับประทานวันละครั้งเดียวเท่านั้น
สภาพของกาเบรียล การ์แกม (Gabriel Gargam) ดูแล้วน่าหดหู่ใจที่สุด เขาไม่สามารถช่วยตัวเองแม้แต่ในสิ่งเล็กๆน้อยๆ ตลอดวันและคืนมีนางพยาบาลผลัดกันคอยดูแลเอาใจใส่เขา ก่อนเกิดอุบัติเหตุเขาได้ทิ้งวัดเป็นเวลานาน 15 ปี ป้าของเขาเป็นนักบวชหญิงคณะพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ (Order of the Sacred Heart) ขอร้องเขาเดินทางไปเมืองลูร์ด (Lourdes) เขาปฏิเสธ ด้วยความพยายามอย่างไม่ลดละเธออ้อนวอนเขาฝากตัวไว้ในการพิทักษ์รักษาของแม่พระเมืองลูร์ด (Our Lady of Lourdes) เขาไม่ฟังคำแนะนำของเธอ หลังจากแม่ของเขาได้ขอร้องเขาติดต่อกันหลายๆครั้ง เขาตกลงเดินทางไปเมืองลูร์ด(Lourdes) อุบัติเหตุได้เกิดขึ้นกับเขา 2 ปีมาแล้ว และเขาไม่เคยลุกออกจากเตียงนอนเลย คนต้องหามเขาขึ้นรถไฟ ความพิการในร่างกาย คือ สาเหตุที่เขาเป็นลมหมดสติ 1 ชั่วโมง คณะร่วมทางเกือบตัดสินใจยกเลิกการเดินทางแสวงบุญ เพราะดูท่าทางเขาอาจสิ้นใจระหว่างทาง แต่แม่ของเขาเป็นผู้คะยั้นคะยอให้การเดินทางดำเนินต่อไป
พอถึงเมืองลูร์ด (Lourdes) คนก็ช่วยกันหามเขาไปยังสระน้ำมหัศจรรย์ และค่อยๆวางเขาลงในน้ำแทนที่จะเกิดผลดี กลับเกิดผลร้าย เนื่องจากร่างกายของเขาอ่อนเพลียหมดแรง เขาเป็นลมหมดสติ อาการเหมือนคนใกล้ตายอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างเดินทางกลับ คณะร่วมทางได้มองเห็นขบวนแห่ศีลมหาสนิทอันศักดิ์สิทธิ์กำลังเดินใกล้เข้ามา พวกเขาได้หลบเข้าข้างทาง เพื่อให้ขบวนผ่านไปอย่างสะดวกไม่ติดขัด เขาทั้งหลายคิดว่า กาเบรียล การ์แกม (Gabriel Gargam) ได้หมดลมหายใจแล้ว จึงเอาผ้าผืนหนึ่งคลุมตัวเขาไว้
ขณะที่พระสงฆ์ถือรัศมีบรรจุแผ่นศีลมหาสนิท ท่านได้อวยพระพรคณะที่คุกเข่าอยู่รอบๆร่างที่ถูกคลุมไว้ทันใดนั้นเองภายใต้ผ้าคลุมมีการเคลื่อนไหว คนที่ยืนอยู่เคียงข้างตกตลึง ร่างนั้นลุกขึ้นมานั่ง คนในครอบครัวมองดูด้วยความฉงน พูดไม่ออกบอกไม่ถูก และผู้แสวงบุญจ้องดูอย่างพิศวงงงงวย กาเบรียลการ์แกม (Gabriel Gargam) พูดเสียงดังฟังชัดว่า เขาต้องการลุกขึ้น เขาลุกขึ้นยืนตัวตรง เดินไปข้างหน้า2-3 ก้าว และพูดว่าเขาหายดีแล้ว ฝูงชนได้เป็นพยานเห็นอัศจรรย์ แล้วคุกเข่าลงโมทนาคุณพระเป็นเจ้าสำหรับหมายสำคัญใหม่แห่งพระฤทธานุภาพของพระองค์ ณ พระวิหารของพระมารดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของพระองค์ ไม่มีอาหารแม้แต่นิดเดียวผ่านริมฝีปากของเขาลงไปในกระเพาะเป็นเวลา 2 ปีเต็ม แต่บัดนี้เขานั่งลงกินอาหารบนโต๊ะอย่างเอร็ดอร่อย
วันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 1901 นายแพทย์ผู้มีชื่อเสียง 60 คนตรวจร่างกายของกาเบรียล การ์แกม(Gabriel Gargam) โดยไม่ได้ระบุผลของการหายจากโรคภัยไข้เจ็บ เขาทั้งหลายได้ลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า เขาได้หายจากโรคร้ายแรงอย่างสิ้นเชิง กาเบรียล การ์แกม (Gabriel Gargam) ซึ้งในพระมหาธิคุณขององค์พระเจ้าในศีลมหาสนิทและพระมารดาของพระองค์ จึงถวายตัวอุทิศชีวิตรับใช้คนพิการที่เมืองลูร์ด (Lourdes) 15 ปีแล้ว หลังจากที่เขาได้หายป่วยอย่างอัศจรรย์ เขาก็ยังคงทำงานกุศลอยู่ที่นั่นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเป็นสักขีพยานเหุตการณ์เหนือธรรมชาติเป็นเวลานานหลายๆปี
ให้เราภาวนา :
“จงสรรเสริญ นมัสการ และ รัก อย่างกตัญญูรู้คุณ พระหฤทัยของพระเยซูเจ้า ในศีลมหาสนิทอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง ทุกเวลา บนพระแท่นทั่วโลก จนถึงวันสิ้นพิภพเทอญ”