ถ้าหาก The Long Walk เป็นการเดินทางข้ามเวลาในรูปแบบการสืบสวนผ่านยุคสมัยไปอย่างน่าพิศวง ฉะนั้น Karmalink จึงเป็นการนำเสนอโลกอนาคตอีกแง่มุมหนึ่งที่ประยุกต์หลักการทางวิทยาศาสตร์เข้ากับหลักการของศาสนาผ่านรูปแบบของการโจรกรรมสมบัติในอดีตชาติอย่างน่าตื่นตาตื่นใจไปกับไอเดียที่สด แปลกใหม่ และ กล้าหยิบในเรื่องที่คนส่วนใหญ่ในบ้านเราไม่กล้าพูดกล้าตั้งคำถามกันอย่างเช่น ความเชื่อ แต่พอมาโฟกัสไปที่ตัวของเด็กจึงทำให้การเดินเรื่องถูกบังคับให้ลดความรุนแรงลงไปแล้วแทรกความซื่อ ๆ ไร้เดียงสาของเด็กลงไปในความเป็นไทบ้านลงไปโดยอัตโนมัติ ผลที่ได้ทำให้การเล่าเรื่องทั้งหมดยังดูครึ่ง ๆ กลาง ๆ จะใสซื่อบริสุทธิ์แบบ Coming of Age ก็ไม่ใช่ Way นั้น จะทำให้มัน Dark สุด ๆ ไปเลยก็กลัวผู้ปกครองที่พาเด็กมาดูด้วยจะตำหนิอีก คือ ถ้าเปลี่ยนจากเด็กเป็นวัยที่โตกว่านี้โทนเรื่องก็จะเปลี่ยนไปตามวัยตามบริบททันที
ระยะเวลา 1 ชั่วโมง 41 นาที สำหรับผมสนุกนะ แต่สนุกแบบงง ๆ หน่อย ดูไปมีแต่คำถามเต็มไปหมด อืดเป็นบางช่วง เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้างกับมุกและวัฒนธรรมความเป็น Local ของบ้านเขา ตอนเปิดเรื่องปูทางด้วยการทิ้งปมได้น่าสนใจ มีการใส่ sound แนว Punk เรียกจังหวะขาโจ๋ได้ดี กระทั่งผ่านไปประมาณ 15 - 20 นาทีก็มาถึงช่วงน่าเบื่อถึงกับวูบหลับไปช่วงหนึ่ง เพราะ ดันไปวนอ่างอยู่กับชีวิตประจำวันตัวเอกอย่าง Leng Heng ไม่ไปไหนซะที แถมกินเวลาไปค่อนข้างเยอะ ยังดีที่ผ่านจากตรงนั้นไปเริ่มจูนติดกันอีกครั้งก็ช่วงกลางเรื่องเป็นต้นไปตัวหนังเริ่มกลับมาให้ความสนใจกับปมที่เกริ่นไว้ตอนแรกอีกครั้งแถมเริ่มกระชับขึ้นพร้อมกับการปรากฎตัวของ Dr.Vattanak ที่รับบทโดย คุณปู สหจักร ผู้มีปมอันลึกลับ และ คุณ ซินดี้ สิรินยา ในบท Dr.Sophie ผู้ช่วยสาวที่สวยดุจนางพญา ความรู้สึกของผมบอกได้เลยว่า 2 คนนี้ปรากฎฉากเมื่อไหร่จะต้องมีประเด็นอะไรที่ซ่อนอยู่อยากจะเล่าต่อแน่นอน ซึ่งสิ่งที่คิดไว้ก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ
ถ้าบอกว่าเรื่องนี้มีกลิ่นไอของเรื่อง The Long Walk หรือ บ่มีวันจาก หน่อย ๆ ก็คงไม่แปลก คิดว่าเป็นภาค Spin-Off อีกทีเลยก็ว่าได้ เพียงแค่ไม่มีผีปรากฎก็เท่านั้นแถมยังโฟกัสในประเด็นทางสังคมรากหญ้าของชนชั้นกลางและล่างที่คล้ายกันอีก เช่น ชุมชนสลัมกลางดงตึก หรือ ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมอย่างปัญหาการไล่ที่ของชนชั้นสูง ซึ่งเรื่องนี้ขยายภาพให้เห็นชัดเจนกว่าเรื่องนั้น ด้วยการโชว์อุปกรณ์ Gadget , ภาพโฮโลแกรมเมกทริคซ์ หรือ จรวดมิสไซส์ ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันอีกว่าเราอยู่ในโลกอนาคตจริง ๆ แล้วนะ
สิ่งที่ชอบมากอีกอย่าง คือ การกล้าฉีกกรอบจากขนบทางเดิมด้วยการตั้งคำถามในเรื่องของศาสนาที่ไม่ได้ถูกจำกัดแค่ให้เชื่อและนับถือปฏิบัติตามอย่างเดียว แต่เปิดโอกาสให้เรากล้าสงสัยใน Details มากมายอยู่ในใจเป็นหมื่นล้านคำแต่ไม่กล้าพูดออกไปถึงข้อเท็จจริงเหล่านั้นว่ามันสมเหตุสมผลหรือไม่ เช่น กรรมมีหน้าตายังไง บาปบุญมีอยู่เท่าไหร่ หรือ สวรรค์นรกมีจริงหรือไม่ ถ้าหากว่าเราอยากส่งกรรมของตัวเองไปให้ผู้อื่นรับไว้แทนทำได้หรือไม่ บลา ๆ ซึ่งขอชื่นชมผู้กำกับ Jake Wachtel ผู้กำกับชาวตะวันตกที่มีความสนใจในวัฒนธรรมตะวันออก ที่นำ Keywords เหล่านี้มาเปลี่ยนเป็นกระบอกเสียงทำให้ถูกพูดถึงได้ด้วยเหตุผลในวงกว้างขึ้นและไม่ได้มองว่าเรื่องศาสนาเป็นเรื่องต้องห้ามแล้วอยากให้วงการหนังไทยดูเรื่องนี้ไว้เป็นกรณีศึกษาเช่นกัน
ถึงแม้จะมีไอเดียดีแต่บางอย่างใส่มาเยอะเกินความจำเป็นไปหน่อยจนกลายเป็นไปบดบังส่วนอื่นแทน เช่น ปมของ Srey Leak เพื่อนสาวของ Leng Heng ที่ไม่ถูกพูดถึงเลย หรือ ก๊วนฟันน้ำนม ที่โผล่มาแค่วิ่งเล่นตอนต้นเรื่องเท่านั้นแล้วหายไปไม่ร่ำลาใคร เสียดายอีกอย่างคือประเด็นการโจรกรรมปูทางไว้อย่างดีแต่กลับทิ้งดื้อ ๆ ทั้ง ๆ ที่เกริ่นนำไว้อย่างดี ยังดีที่ยังให้พื้นที่แก่น้อง Srey Leak ได้โชว์ฝีมือและเป็นที่พูดถึงกันบ้างแล้วแสดงได้ดีเสียด้วย รวมถึงบทสรุปในการคลี่คลายหาทางลงได้ดีแล้วแต่ก็จบแบบเร่งรัดไปหน่อยจนไม่ได้รู้สึกตกตะลึงแต่อย่างใด แม้จะงง ๆ อยู่บ้างบางอย่าง หรือหนังนำหน้าเราไปแล้วแต่ตัวเราตังหากที่ก้าวไม่ทันตามเขาจากที่จะดูเอาความสนุก แทนที่จะดูเพื่อความบันเทิงกลับต้องใช้สมองคิดตามแทน
สรุป คือ เป็นหนัง Drama + Sci-Fi สไตล์ไทบ้านที่ตื่นตากับไอเดีย ตื่นใจกับงาน Visual Effects แถมสนุกเกินกว่าที่คิดผสมกับวัฒนธรรมเอเชียได้ลงตัว แม้จะมีฉาก CG ไม่สมจริงจนรู้เลยว่าปลอม หรือ ข้อมูลบางอย่างใส่มาเป็นจะคลาดเคลื่อนกับของจริงอยู่บ้าง แต่ก็ให้อภัยได้ ถ้าให้เทียบเรื่องนี้กับ The Long Walk ผมว่าเรื่องนั้นเล่ายาก ปมซับซ้อนกว่า แต่เข้าใจประเด็นและเคลียร์บทสรุปทุกอย่างออกมาง่ายกว่าเรื่องนี้ที่แอบเล่นท่ายากพอสมควรด้วยการขายภาพความทันสมัยของโลก Cyper Punk ล่อตาล่อใจให้หลงเคลิ้มแล้วตลบหลังด้วยการใส่ Plot ที่ซ่อนองค์ความรู้ทุกสรรพสิ่งเกินหยั่งรู้มา Hook เราจนสลบตื่นมาก็รู้สึกตัวก็ได้แต่ทำหน้าตามึนงง ทั้งนี้อาจต้องดูซ้ำเพื่อให้เวลาในการย่อยสาระต่าง ๆ ให้เข้าที่เข้าทางพอสมควรแล้วถ้าเข้าใจเนื้อเรื่องทั้งหมดก็อาจจะเป็นผู้ค้นพบความสำเร็จทางธรรมเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานก็เป็นได้แล้วยังถีบหน้าอุตสาหกรรมวงการไทยอีกว่าหนังบ้านกูก้าวหน้าไปกว่าแล้ว
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ ติดตามช่องทาง Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.57 Karmalink : ประติมากรรม วิทยานิพพาน
ถ้าหาก The Long Walk เป็นการเดินทางข้ามเวลาในรูปแบบการสืบสวนผ่านยุคสมัยไปอย่างน่าพิศวง ฉะนั้น Karmalink จึงเป็นการนำเสนอโลกอนาคตอีกแง่มุมหนึ่งที่ประยุกต์หลักการทางวิทยาศาสตร์เข้ากับหลักการของศาสนาผ่านรูปแบบของการโจรกรรมสมบัติในอดีตชาติอย่างน่าตื่นตาตื่นใจไปกับไอเดียที่สด แปลกใหม่ และ กล้าหยิบในเรื่องที่คนส่วนใหญ่ในบ้านเราไม่กล้าพูดกล้าตั้งคำถามกันอย่างเช่น ความเชื่อ แต่พอมาโฟกัสไปที่ตัวของเด็กจึงทำให้การเดินเรื่องถูกบังคับให้ลดความรุนแรงลงไปแล้วแทรกความซื่อ ๆ ไร้เดียงสาของเด็กลงไปในความเป็นไทบ้านลงไปโดยอัตโนมัติ ผลที่ได้ทำให้การเล่าเรื่องทั้งหมดยังดูครึ่ง ๆ กลาง ๆ จะใสซื่อบริสุทธิ์แบบ Coming of Age ก็ไม่ใช่ Way นั้น จะทำให้มัน Dark สุด ๆ ไปเลยก็กลัวผู้ปกครองที่พาเด็กมาดูด้วยจะตำหนิอีก คือ ถ้าเปลี่ยนจากเด็กเป็นวัยที่โตกว่านี้โทนเรื่องก็จะเปลี่ยนไปตามวัยตามบริบททันที
ระยะเวลา 1 ชั่วโมง 41 นาที สำหรับผมสนุกนะ แต่สนุกแบบงง ๆ หน่อย ดูไปมีแต่คำถามเต็มไปหมด อืดเป็นบางช่วง เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้างกับมุกและวัฒนธรรมความเป็น Local ของบ้านเขา ตอนเปิดเรื่องปูทางด้วยการทิ้งปมได้น่าสนใจ มีการใส่ sound แนว Punk เรียกจังหวะขาโจ๋ได้ดี กระทั่งผ่านไปประมาณ 15 - 20 นาทีก็มาถึงช่วงน่าเบื่อถึงกับวูบหลับไปช่วงหนึ่ง เพราะ ดันไปวนอ่างอยู่กับชีวิตประจำวันตัวเอกอย่าง Leng Heng ไม่ไปไหนซะที แถมกินเวลาไปค่อนข้างเยอะ ยังดีที่ผ่านจากตรงนั้นไปเริ่มจูนติดกันอีกครั้งก็ช่วงกลางเรื่องเป็นต้นไปตัวหนังเริ่มกลับมาให้ความสนใจกับปมที่เกริ่นไว้ตอนแรกอีกครั้งแถมเริ่มกระชับขึ้นพร้อมกับการปรากฎตัวของ Dr.Vattanak ที่รับบทโดย คุณปู สหจักร ผู้มีปมอันลึกลับ และ คุณ ซินดี้ สิรินยา ในบท Dr.Sophie ผู้ช่วยสาวที่สวยดุจนางพญา ความรู้สึกของผมบอกได้เลยว่า 2 คนนี้ปรากฎฉากเมื่อไหร่จะต้องมีประเด็นอะไรที่ซ่อนอยู่อยากจะเล่าต่อแน่นอน ซึ่งสิ่งที่คิดไว้ก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ
ถ้าบอกว่าเรื่องนี้มีกลิ่นไอของเรื่อง The Long Walk หรือ บ่มีวันจาก หน่อย ๆ ก็คงไม่แปลก คิดว่าเป็นภาค Spin-Off อีกทีเลยก็ว่าได้ เพียงแค่ไม่มีผีปรากฎก็เท่านั้นแถมยังโฟกัสในประเด็นทางสังคมรากหญ้าของชนชั้นกลางและล่างที่คล้ายกันอีก เช่น ชุมชนสลัมกลางดงตึก หรือ ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมอย่างปัญหาการไล่ที่ของชนชั้นสูง ซึ่งเรื่องนี้ขยายภาพให้เห็นชัดเจนกว่าเรื่องนั้น ด้วยการโชว์อุปกรณ์ Gadget , ภาพโฮโลแกรมเมกทริคซ์ หรือ จรวดมิสไซส์ ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันอีกว่าเราอยู่ในโลกอนาคตจริง ๆ แล้วนะ
สิ่งที่ชอบมากอีกอย่าง คือ การกล้าฉีกกรอบจากขนบทางเดิมด้วยการตั้งคำถามในเรื่องของศาสนาที่ไม่ได้ถูกจำกัดแค่ให้เชื่อและนับถือปฏิบัติตามอย่างเดียว แต่เปิดโอกาสให้เรากล้าสงสัยใน Details มากมายอยู่ในใจเป็นหมื่นล้านคำแต่ไม่กล้าพูดออกไปถึงข้อเท็จจริงเหล่านั้นว่ามันสมเหตุสมผลหรือไม่ เช่น กรรมมีหน้าตายังไง บาปบุญมีอยู่เท่าไหร่ หรือ สวรรค์นรกมีจริงหรือไม่ ถ้าหากว่าเราอยากส่งกรรมของตัวเองไปให้ผู้อื่นรับไว้แทนทำได้หรือไม่ บลา ๆ ซึ่งขอชื่นชมผู้กำกับ Jake Wachtel ผู้กำกับชาวตะวันตกที่มีความสนใจในวัฒนธรรมตะวันออก ที่นำ Keywords เหล่านี้มาเปลี่ยนเป็นกระบอกเสียงทำให้ถูกพูดถึงได้ด้วยเหตุผลในวงกว้างขึ้นและไม่ได้มองว่าเรื่องศาสนาเป็นเรื่องต้องห้ามแล้วอยากให้วงการหนังไทยดูเรื่องนี้ไว้เป็นกรณีศึกษาเช่นกัน
ถึงแม้จะมีไอเดียดีแต่บางอย่างใส่มาเยอะเกินความจำเป็นไปหน่อยจนกลายเป็นไปบดบังส่วนอื่นแทน เช่น ปมของ Srey Leak เพื่อนสาวของ Leng Heng ที่ไม่ถูกพูดถึงเลย หรือ ก๊วนฟันน้ำนม ที่โผล่มาแค่วิ่งเล่นตอนต้นเรื่องเท่านั้นแล้วหายไปไม่ร่ำลาใคร เสียดายอีกอย่างคือประเด็นการโจรกรรมปูทางไว้อย่างดีแต่กลับทิ้งดื้อ ๆ ทั้ง ๆ ที่เกริ่นนำไว้อย่างดี ยังดีที่ยังให้พื้นที่แก่น้อง Srey Leak ได้โชว์ฝีมือและเป็นที่พูดถึงกันบ้างแล้วแสดงได้ดีเสียด้วย รวมถึงบทสรุปในการคลี่คลายหาทางลงได้ดีแล้วแต่ก็จบแบบเร่งรัดไปหน่อยจนไม่ได้รู้สึกตกตะลึงแต่อย่างใด แม้จะงง ๆ อยู่บ้างบางอย่าง หรือหนังนำหน้าเราไปแล้วแต่ตัวเราตังหากที่ก้าวไม่ทันตามเขาจากที่จะดูเอาความสนุก แทนที่จะดูเพื่อความบันเทิงกลับต้องใช้สมองคิดตามแทน
สรุป คือ เป็นหนัง Drama + Sci-Fi สไตล์ไทบ้านที่ตื่นตากับไอเดีย ตื่นใจกับงาน Visual Effects แถมสนุกเกินกว่าที่คิดผสมกับวัฒนธรรมเอเชียได้ลงตัว แม้จะมีฉาก CG ไม่สมจริงจนรู้เลยว่าปลอม หรือ ข้อมูลบางอย่างใส่มาเป็นจะคลาดเคลื่อนกับของจริงอยู่บ้าง แต่ก็ให้อภัยได้ ถ้าให้เทียบเรื่องนี้กับ The Long Walk ผมว่าเรื่องนั้นเล่ายาก ปมซับซ้อนกว่า แต่เข้าใจประเด็นและเคลียร์บทสรุปทุกอย่างออกมาง่ายกว่าเรื่องนี้ที่แอบเล่นท่ายากพอสมควรด้วยการขายภาพความทันสมัยของโลก Cyper Punk ล่อตาล่อใจให้หลงเคลิ้มแล้วตลบหลังด้วยการใส่ Plot ที่ซ่อนองค์ความรู้ทุกสรรพสิ่งเกินหยั่งรู้มา Hook เราจนสลบตื่นมาก็รู้สึกตัวก็ได้แต่ทำหน้าตามึนงง ทั้งนี้อาจต้องดูซ้ำเพื่อให้เวลาในการย่อยสาระต่าง ๆ ให้เข้าที่เข้าทางพอสมควรแล้วถ้าเข้าใจเนื้อเรื่องทั้งหมดก็อาจจะเป็นผู้ค้นพบความสำเร็จทางธรรมเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานก็เป็นได้แล้วยังถีบหน้าอุตสาหกรรมวงการไทยอีกว่าหนังบ้านกูก้าวหน้าไปกว่าแล้ว
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ ติดตามช่องทาง Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้