JJNY : จับชีพจร‘ศก.ไทย’ผ่าน‘สารทจีน’│“ก้าวไกล-เป็นธรรม”จ่อยื่นสภา│ชี้คุมศธ.ไร้ความหวัง│สหรัฐฯ ช่วยเหลือทางทหารให้ไต้หวัน

จับชีพจร ‘เศรษฐกิจไทย’ ผ่านการช้อป ‘สารทจีน’
https://www.matichon.co.th/economy/news_4155434
 


จับชีพจร ‘เศรษฐกิจไทย’ ผ่านการช้อป ‘สารทจีน’

วันสารทจีน เป็นเทศกาลที่คนไทยเชื้อสายจีนจะมีการไหว้เจ้าที่และบรรพบุรุษ ก่อนถึงวันไหว้คือวันจ่าย บรรดาลูกหลานจะไปจับจ่ายซื้อของไหว้ผู้ล่วงลับ ปีนี้วันสารทจีนตรงกับวันที่ 30 สิงหาคม
 
ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจราคาสินค้า ในช่วงเทศกาลวันไหว้สารทจีน ประจำปี 2566 ที่ตลาดสดเทศบาลเมืองอุทัยธานี 2 พบว่าปีนี้ราคาสินค้ากลุ่มผลไม้มีการปรับขึ้นราคา โดยเฉพาะส้มเขียวหวาน จากเดิมกิโลกรัมละ 70 บาท ปรับขึ้นมาเป็น 130 บาท ส่วนราคาผลไม้อื่นๆ ที่นิยมใช้ในการไหว้ อย่างกล้วยหอม ฟักทอง สับปะรด แก้วมังกร สาลี่ ลูกพลับ ก็ขึ้นราคาด้วยเช่นเดียวกัน
 
บรรดาแม่ค้าในตลาดสดเทศบาลบอกว่า ปีนี้มีการออกมาจับจ่ายซื้อของไหว้สารทจีนน้อยลง เพราะเศรษฐกิจไม่ค่อยดี ต่างบ่นกันว่าของแพงขึ้นมาก ทำให้บรรดาพ่อค้าแม่ค้าต้องพากันปรับตัวจัดผลไม้ชุดประหยัด โดยการแพคผลไม้มงคล 5 อย่าง ประกอบด้วย ส้ม สับปะรด แก้วมังกร องุ่น และสาลี่ ขายราคาแพคละ 120 บาท เพื่อกระตุ้นการซื้อขายให้เพิ่มมากขึ้น
 
ส่วนราคาเนื้อหมู เนื้อไก่ มีประชาชนมาจับจ่ายเลือกซื้อกันบางตา พ่อค้าแม่ค้าที่ขายเนื้อหมู เนื้อไก่ บอกว่า ปีนี้ลูกค้าสั่งจองหมูแ ละไก่ก่อนวันจ่ายเพื่อหวังเลี่ยงราคาที่จะปรับสูงขึ้นในทุกช่วงเทศกาล ส่วนยอดขายปีนี้ลดลงกว่าปีที่แล้ว แม้ราคาหมูจะยังคงราคาเดิมมา 7 เดือนแล้ว โดยราคาหมูสามชั้นอยู่ที่กิโลกรัมละ 220 บาท สันคอกิโลกรัมละ 220 บาท หมูเนื้อแดงกิโลกรัมละ 200 บาท ส่วนไก่สดราคานั้นลดลงจากเดิม ไก่สดพร้อมเครื่องในจากเดิมอยู่ที่กิโลกรัมละ 95 บาท ตอนนี้กิโลกรัมละ 85 บาท
 
ที่ จ.นครสวรรค์ บรรยากาศการออกมาจับจ่ายของชาวไทยเชื้อสายจีนชาวนครสวรรค์ ที่บริเวณตลาดสดเทศบาลนครนครสวรรค์ อ.เมือง จ.นครสวรรค์ ไม่คึกคักเหมือนปีที่ผ่านๆ มา ขณะที่ราคาสินค้าปรับสูงขึ้น เนื่องจากวัตถุดิบมีราคาต้นทุนสูงหลายรายการ โดยเฉพาะสินค้าประเภท เป็ด ไก่ ผลไม้ ขนมเข่ง ขนมเทียน มีราคาแพงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ชาวไทยเชื้อสายจีนใน จ.นครสวรรค์ ต้องประหยัดเงินในการจับจ่ายเลือกซื้อของเซ่นไหว้เท่าที่จำเป็น และลดจำนวนการซื้อลง เพียงแต่ให้ครบองค์ประกอบเท่านั้น เนื่องจากเศรษฐกิจที่ไม่ดี
 
จันทร์ฉาย ชมพุก แม่ค้าจำหน่ายผลไม้ตลาดสดเทศบาลนครนครสวรรค์ เผยว่า ผลไม้ปรับสูงขึ้นก่อนเทศกาลสารทจีนทุกรายการ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5-10 บาท ส่วนราคาขนมเข่ง ขนมเทียนก็ปรับราคาขึ้น 20 บาท จากกิโลกรัมละ 100 เป็นกิโลกรัมละ 120 บาท ซึ่งมีราคาของหมูเพียงอย่างเดียวที่มีราคาลดลง แต่การออกมาจับจ่ายซื้อของไหว้ไม่คึกคักและค่อนข้างบางตา
 
ส่วนที่ จ.นครราชสีมา บรรยากาศวันไหว้เทศกาลสารทจีนไม่คึกคักเท่าที่ควร โดยเฉพาะที่ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี หรือลานย่าโม ภายในเขตเทศบาลนครนครราชสีมา มีชาวไทยเชื้อสายจีนนำเครื่องเซ่นไหว้มากราบไหว้ดวงทิพย์วิญญาณย่าโมอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่กลางดึกที่ผ่านมาจนถึงช่วงเช้า แต่บรรยากาศปีนี้ถือว่าซบเซากว่าทุกปี เนื่องจากหลายครอบครัวลดปริมาณการซื้อเครื่องเซ่นไหว้ลง จากผลกระทบเศรษฐกิจที่ไม่ดี และข้าวของเครื่องเซ่นไหว้ราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกันกับที่ศาลเจ้าพ่อไฟ ตรงข้ามลานย่าโม ก็มีครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีนนำของเซ่นไหว้มากราบไหว้เทพเจ้าในศาลอย่างบางตา
 
จันทร์ทรา พรมมา อายุ 53 ปี ผู้ดูแลศาลเจ้าปึงเถ๊าพิมาย ต.ในเมือง อ.พิมาย จ.นครราชสีมา เล่าให้ฟังว่า วันสารทจีนปีนี้มีประชาชนออกมาไหว้ศาลเจ้าน้อยกว่าทุกปีที่ผ่านมา คาดว่าน่าจะเกิดจากเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดี ส่งผลให้คนจับจ่ายใช้สอยน้อยลง และอาจรวมไปถึงการที่คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับวันสารทจีนน้อยลง ประกอบกับในช่วงเช้าที่ผ่านมามีฝนตกลงมาในพื้นที่ จึงทำให้ในช่วงเช้านี้มีประชาชนเข้ามาไหว้เจ้าน้อยลง ขณะที่บรรยากาศบริเวณด้านหน้าเมรุพรมทัต ซึ่งเป็นจุดที่มีบรรดาพ่อค้าแม่ค้านำผลไม้ ชุดของเซ่นไหว้เจ้ามาขายให้กับประชาชน ต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าขายของไม่ดี
 
สมัย พัฒนกุล อายุ 68 ปี แม่ค้าขายผลไม้ บอกว่า สารทจีนปีนี้ขายผลไม้ไม่ดีเลยเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว หรือในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ผ่านมา เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้บางครั้งผลไม้ที่ซื้อมานั้นขายไม่ออกจนเน่าเสียทิ้งไปก็มี ซึ่งผลไม้ที่รับมานั้นมีราคาค่อนข้างสูง อีกทั้งยังมาโดนฝนตกซ้ำ ยิ่งทำให้คนที่มาไหว้เจ้าน้อยลงไปอีก ได้แต่หวังว่ารัฐบาลใหม่จะช่วยเรื่องเศรษฐกิจให้กลับมาดีได้อีกครั้ง
 
ส่วนที่ จ.สงขลา บรรยากาศการจับจ่ายซื้อสินค้าสำหรับวันสารทจีนไม่คึกคักมากนัก พ่อค้าแม่ค้าต่างจัดเตรียมสินค้าเพิ่มมากกว่าปกติเพียงเล็กน้อย เนื่องจากการซื้อขายเงียบเหงามาสักระยะแล้ว จากกำลังซื้อของลูกค้าลดน้อยลงไป
 
จากการตรวจสอบการซื้อขายสินค้าที่ตลาดกิมหยง ตลาดใหญ่ของชาวไทยเชื้อสายจีนในอำเภอหาดใหญ่ จ.สงขลา พ่อค้าแม่ค้าบอกว่าแม้จะเป็นวันสารทจีนที่จะมีการซื้อสินค้าสำหรับเซ่นไหว้กันเพิ่มมากขึ้น แต่ปีนี้ถือว่าบรรยากาศเหมือนวันปกติ ไม่ได้คึกคักมากนัก ลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อสินค้าตามความจำเป็นเท่านั้น ส่วนราคาสินค้าเป็นราคาปกติ ไม่ได้มีการปรับขึ้นมาตั้งแต่ต้นทาง ทำให้พ่อค้าแม่ค้าขายในราคาเดิม โดยผลไม้ อย่างส้มราคากิโลกรัมละ 120-180 บาท แล้วแต่ชนิดและขนาด องุ่นไร้เมล็ดกิโลกรัมละ 300-400 บาท
 
ไก่บ้านสด กิโลกรัมละ 150 บาท ผัก ขนมถ้วยฟูลูกละ 50-70 บาท ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นราคาเดิม
 
มนทิพย์ อินทร์จันทร์ แม่ค้าขายไก่บ้าน บอกว่า สารทจีนปีนี้การค้าขายเงียบเหงา ยอดขายลดน้อยกว่าปีที่ผ่านมามากกว่าร้อยละ 70 แม้จะเตรียมสินค้ามากกว่าปกติ แต่ก็ไม่ได้มีลูกค้ามาเลือกซื้อมากนัก โดยลูกค้าส่วนใหญ่เน้นการไหว้ตามประเพณี อีกทั้งภาวะทางเศรษฐกิจก็ไม่ค่อยดีมากนัก จึงมีการประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น
 
อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามพ่อค้าแม่ค้าถึงความคาดหวังกับรัฐบาลชุดใหม่นั้น ส่วนใหญ่บอกว่าไม่ว่าใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ใครจะเป็นรัฐบาล ชาวบ้านก็ยังต้องทำมาหากิน ช่วยเหลือตัวเอง หากินกันเองเหมือนเดิม
 
นี่เป็นบรรยากาศ และเสียงสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจของประเทศว่าชีพจรเต้นแผ่วลง…
ต้องรอลุ้นว่ารัฐบาลใหม่จะกระตุ้นอย่างไรให้เศรษฐกิจคึกคักขึ้น!?!
 


“ก้าวไกล-เป็นธรรม” จ่อยื่นสภาตั้งกมธ.ศึกษาแก้ปัญหาผู้ลี้ภัย
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_606111/

“ก้าวไกล-เป็นธรรม” จ่อยื่นสภาตั้งกมธ.ศึกษาแก้ไขปัญหากรณีผู้ลี้ภัยจากการสู้รบ จี้ ต้องแก้ปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาวให้ได้
 
นายมานพ คีรีภูวดล สส.พรรคก้าวไกล และสส.พรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม แถลงข่าวถึงการเสนอยื่นญัตติเรื่องขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาและหาแนวทางแก้ไขปัญหากรณีผู้ลี้ภัยจากการสู้รบในพื้นที่พักพิงชั่วคราว 9 แห่งในประเทศไทยและผู้หนีภัยจากการสู้รบแนวชายแดนไทยพม่า
 
โดยนายมานพ กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ลี้ภัยและผู้หนีภัยการสู้รบในประเทศไทยมีทั้งหมด 70,000 -90,000 คน กระจายอยู่ใน 4 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดแม่ฮ่องสอน , จังหวัดตาก จังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดราชบุรี บุคคลเหล่านี้ได้เข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2528 และไม่ได้คงอยู่ในสถานะที่ไม่ได้ถูกยอมรับว่าเป็นผู้ลี้ภัยอย่างเป็นทางการเพราะประเทศไทยไม่ได้ลงนามว่าด้วยเรื่องผู้ลี้ภัย สถานะของผู้ลี้ภัยจึงใช้คำว่าผู้พักพิงชั่วคราวเพราะฉะนั้นในระยะเวลาเกือบ 40 ปีที่ได้อาศัยอยู่ในประเทศไทย ชีวิตความเป็นมนุษย์ความเป็นคนในสถานะที่เป็นผู้ลี้ภัย อยู่อย่างยากลำบาก ซึ่ง ประเทศไทยต้องแก้ปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาวให้ได้

ซึ่งในบทบาทสภาผู้แทนราษฎร จึงขอเสนอให้จัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อที่จะแก้ไขเรื่องนี้ เพื่อที่จะสามารถดึงบุคคลภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญแต่ละด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน เรื่องการกลับประเทศ เรื่องความมั่นคง และเรื่อง อื่นๆที่เกี่ยวข้องเข้ามาเป็นคณะกรรมการวิสามัญได้ เพื่อพิจารณาว่าจะแก้ไขปัญหาคนเหล่านี้ในระดับภายในประเทศอย่างไร จะร่วมมือกับนานาประเทศได้อย่างไร และประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นปัญหาจะร่วมมือกันอย่างไร
 
ด้านนายกัณวีร์ กล่าวว่า ความจำเป็นที่ต้องมีกรรมาธิการ เพื่อใช้กรอบของกฎหมายในการแก้ไขปัญหาต่างๆ พร้อมอธิบายรายงานสถานการณ์โลกว่า เรื่องของการกลับประเทศต้นกำเนิดโดยสมัครใจเป็นเรื่องที่ดีที่สุด และแนวทางในการแก้ปัญหา โดยการตั้งถิ่นฐานในประเทศใหม่เป็นเรื่องยาก เพราะมีปริมาณคนกว่า 1 ล้านคนต่อปี นอกจากนี้ การผสมกลมกลืนในประเทศลี้ภัย ที่จะผสมกลมกลืนกันได้ดังนั้นกรรมาธิการจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญนักวิชาการและฝ่ายนิติบัญญัติในการจัดทำแนวทางแก้ปัญหาผู้ลี้ภัยแบบยั่งยืน
 
โดยใช้ฝ่ายนิติบัญญัติเข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งอยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ให้ความสำคัญไม่ว่าจะเป็น นายกรัฐมนตรีคนใหม่หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทยหรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเลขาสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เป็นกรรมการอยู่ในสภาความมั่นคงแห่งชาติด้วย

ขณะเดียวกัน นายมานพ กล่าวเพิ่มเติมว่า จะประสานภาคประชาชนภาควิชาการที่มีประสบการณ์เรื่องนี้อย่างยาวนานและจะดำเนินการในลักษณะเป็นคณะทำงาน ดำเนินการทำงานคู่ขนานไปก่อน เพื่อความรวดเร็ว ทั้งนี้หากคณะรัฐมนตรีได้รับรองชัดเจนคณะทำงานจะเข้าไปพูดคุย กับผู้เกี่ยวข้องโดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยจะไม่รอว่าการตั้งกรรมาธิการจะสำเร็จเมื่อใด เพราะเห็นว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่ไม่ควรละเลยในประเด็นนี้และควรให้ความสำคัญ



นักวิชาการ ชี้ ‘พล.ต.อ.เพิ่มพูน’ คุม ศธ. ฉุดโอกาสการศึกษาดับวูบ ไร้ความหวัง ปชช.รับกรรม
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7842020
 
นักวิชาการ ชี้ “พล.ต.อ.เพิ่มพูน” คุม ศธ. ทำโอกาสการศึกษาเป็นศูนย์ ไร้ความหวัง ประชาชนต้องรับกรรม ไม่เป็นธรรมต่อ เด็ก เยาวชน ผู้ปกครอง
 
31 ส.ค. 66 – นายสมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา เปิดเผยว่า จากกระแสข่าวการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พบว่า ผู้ที่จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) คือ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ ส่วนรัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ. คือ นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุลนั้น

ตนมองว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง โอกาสทางการศึกษาจะดับวูบ เป็นศูนย์ทันที ประชาชนจะรู้สึกยี้อยู่ในใจว่าใครมาเป็นรัฐมนตรีว่าการ ศธ. การที่เอาคนไม่มีภูมิหลัง ไม่มีความสนใจด้านการศึกษา ไม่มีผู้งานด้านการศึกษา มาดูแลการศึกษาของประเทศ ตนมองว่า เรื่องนี้ไม่เป็นธรรมกับเด็ก เยาวชน และผู้ปกครอง
 
นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า อีกทั้งที่ผ่านมา จะพบว่าตั้งแต่ นายเศรษฐา รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่เคยพูดเรื่องการศึกษาเลย พูดแต่เรื่องการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเท่านั้น และจะพบว่า นโยบายด้านการศึกษาของพรรคภูมิใจไทย (ภท.) มีน้อย คือ มีนโยบายเดี่ยว คือ การปลอดดอกเบี้ยกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เท่านั้น
 
ถือเป็นนโยบายอนุรักษ์ประชานิยม การทำงานก็จะเป็นลักษณะเดิม คือ แบ่งงานตามกรม ตามโควต้า ยิ่งทำให้คนเห็นว่า ภาพลักษณ์ศธ.ตกต่ำลง ดูไร้ความหวัง และจะไม่เห็นแนวความคิดเรื่องการปฏิรูปการศึกษาจากพรรค ภท.เลย
 
นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า การเลือกรัฐมนตรีว่าการ ศธ. เช่นนี้ ทำให้ประชาชนต้องรับกรรม และผิดหวังเรื่องการศึกษาไป เพราะพรรคที่มาดูนั้น ไม่มีนโยบายการศึกษาที่เด่นชัด การปฏิรูปการศึกษา ก็ไม่มี รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ที่จะเข้ามาดูแล ก็ไม่มีผลงาน ไม่มีภูมิหลัง วิสัยทัศน์ทางการศึกษาเลย อีกทั้งผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีว่าการ ศธ. ก็มีประเด็นที่ประชาชนคลางแคลงใจสงสัยอยู่ คือ เรื่องคดีของ บอส อยู่วิท
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่