เรื่องราวที่ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไป

กระทู้สนทนา
สวัสดีค่ะทุกคน เราแค่อยากมาเล่าเรื่องราวที่ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไป(ระบายแหละ) เข้าเรื่องเลยล่ะกัน เราเคยทำงานที่ห้างสรรพสินค้าแห่ง1ย่านบางพลี เราทำที่นั้นเกือบ6ปี เราทำในแผนก Gr (Good Reception )ในตำแหน่งพนักงานอาวุโส วันที่เกิดเรื่องวันนั้นมีรถจากคลังสินค้าDc มาส่งสินค้า(เวลาประมาณ 09.30)เราซึ่งเป็นแอดมินจะนั่งอยู่ใน office และจะมีน้อง เชกเกอร์และพนักสต๊อครูมาลงสินค้าอยู่ตรงหน้าลานโหลด(นี้ล่ะเรื่องที่เปลี่ยนชีวิตเรา)รถขนส่งคันนี้ได้บรรทุกสินค้ามาส่งหลายพาเลท และมีบล็อก(tote)ใส่มือถือและสินค้าร้านยามาส่งด้วย โดยกฎระเบียบบริษัทถ้ามีสินค้าราคาแพง พนักงานฝ่ายป้องกันการสูญหายจะเป็นคนเช็คสินค้าปริ๊นรายการสินค้ามาตรวจและเรียกพนักงานขายมือถือมานับร่วมกันแต่วันนั้นพนักงานฝ่ายป้องกันการสูญหายไม่เรียกพนักงานหน้าร้านและพนักงานเชคเกอร์มาตรวจและได้ทำการเปิดบล็อก(tote)เอง(ปกติสินค้าราคาแพงจะล็อคซีล)มาแต่ไม่ทำการตรวจนับแล้วทังไว้บริเวณหน้าลานโหลดซึ่งเป็นพื้นที่ที่พนักงานเดินผ่านตลอดเวลาจนเวลา12.00ซึ่งเป็นเวลาที่เราพักเที่ยงมีพนักเช็คเกอร์เดินยกบล็อกใส่มือถือเข้ามาในออฟฟิคและแจ้งเราว่าพนักงานฝ่ายป้องกันการเสียหายให้ยกเข้าบอกกลัวหาย เราจึงโทรแจ้งให้พนักงานขายมาตรวจรับสินค้า หลังจากนั้นเราจึงเดินออกจากออฟฟิศเพื่อไปทานข้าว(ออฟฟิศเป็นระบบเปิดตลอดเวลาเพราะมีหน้าขายต้องมาทำป้าย)หลังจากที่ลงมาจากพักเที่ยง13.00น.เราก็ยังเห็นบล็อกใส่มือถือยังอยู่ที่เดิมเราจึงโทรแจ้งหน้าขายอีกรอบหลังจากนั้นเราก็ไม่ได้สนใจบล็อคนั้นเลย เพราะต้องทำงานจนเวลาล่วงเลยถึงบ่าย2โมงก็ไม่มีใครมารับบล็อคมือถือเลยจนมีพนักงานฝ่ายป้องกันการสูญหายกะบ่ายเข้ามาในออฟฟิศเราจึงแจ้งให้เขาตรวจนับสินค้าแล้วเอาไปส่งหน้าขาย จากเขาก็ไปเอาเอกสารมาตรวจนับปรากฏว่าสินค้าหาย!!!ไป2เครื่อง ตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดอะไรก็บอกให้เขานับให้ดีๆสรุปนับกี่รอบก็หาย2เครื่อง เราจึงแจ้งเขาว่าให้ไปดูกล้องแล้วเอาภาพขณะโหลดเพื่อทำการแจ้งเคลมขาดส่ง2เครื่องไปทางคลังสินค้า
จากนั้นเราก็คิดว่าจบแล้วเดี๋ยวแจ้งเคลมไปตามProcess แต่ไม่จบจ้าพนักงานฝ่ายป้องกันนการสูญหายได้มาค้นออฟฟิคเพื่อหามือถือที่หายไป2เครื่องค้นทั่วออฟฟิศก็ไม่เจอก็แยกย้ายกันไป จนกระทั่งเวลา17.00น.พนักงานฝ่ายป้องกันการสูญหายคนที่เปิดบล็อคคนแรกเดินมาในออฟฟิศแจ้งว่าจะให้ออกตังทั้งแผนกเพื่อจ่ายค่ามือถือ2เครื่องคนล่ะ1000(ทั้งแผนกมี11คนซึ่งเราก็แย้งไปว่าจ่ายทำไมในเมื่อมันเคลมได้ เขาบอกเราว่าหัวหน้าแผนกเขาไม่ให้เคลม เราก็เริ่มงงล่ะสักพักหัวหน้าแผนกเขาโทรขึ้นมาบนออฟฟิศว่าให้เราตามน้องเชคเกอร์ที่เป็นคนยกมาสอบสวน เราก็โอเคตามให้ พอตามน้องมาสอบแล้วก็ไม่มีอะไรก็ปล่อยกลับบ้าน จนเวลา19.00น.เราก็จะกลับหลังจากปิดงาน ดูเมลล์เสร็จ เราก็เก็บของกลับบ้าน จากนั้นเราก็ลงมาแสกนนิ้วกลับบ้านหลังจากที่เราแสกนนิ้วเสร็จพนักงานสต็อครูมโทรมาตามว่ามีรถสินค้าจากDcมาส่งของให้ขึ้นมาทำเอกสารให้หน่อย เราก็ขึ้นไปทำให้ระหว่างรอพนักงานขับรถมาเซ็นเอกสารเราก็เลยเอาถุงขยะในออฟฟิคไปทิ้ง2ถุงพรุ่งนี้จะได้ไม่มีกลิ่น(ไหนๆก็กลับช้า)ก่อนจะเอาถุงขยะไปทิ้งเราได้แจ้งผ่าน.ป.ภแล้วว่าจะไปทิ้งขยะ พอเราทิ้งเสร็จเราก็ขึ้นมายืนรอเอกสารที่พนักงานขับรถเซ็นกับป้า ร.ป.ภ.และพนักงานแผนกอื่น จู่ๆพนักงานฝ่ายป้องกันการสูญหายก็วิ่งไปค้นถังขยะที่เราเอาขยะไปทิ้ง(ที่ทิ้งขยะตรงนี้ทิ้งกันทั้งสาขา) เขาทำการเทถังขยะออกมาแล้วตะโกนว่าเจอมือถือที่หายไปแล้ว2เครื่อง เราก็เลยถามว่าจริงหรอ(ดีใจสิจะได้ไม่ต้องเสียตัง)แต่พอเราเดินตามพนักงานคนนั้นลงไปที่แผนกกลับกลายเป็นว่าเราโดนสอบสวน เขาพยายามยัดเยียดให้เราเป็นโขมย ไม่ว่าจะพูดอะไรไปเขาก็ไม่เชื่อ ในห้องตอนนั้นมีแต่ผู้ชายประมาณ 5-6คนได้ พยายามให้เรารับเป็นโขมยแต่เราก็ปฎิเสธตลอด เอาเอกสารมาให้เราเซ็นรับสารภาพ เอกสารลาออก กดดันเราทุกทาง จนสุดท้ายเขาบอกให้เราเซ็นเพื่อนในแผนกจะไม่เดือดร้อน เขาจะให้เรากลับบ้าน และแค่ไล่ออกเท่านั้น ตอนนั้นเรากลัว เรากดดันเพราะไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้และไม่เคยคิดว่าจะเจอ
พอเขาพูดแบบนั้นเราเชื่อเขา เขาให้เขียนก็เขียนตามที่เขาบอกแต่มันไม่จริงเขาโกหก พอเขียนเสร็จเขาพาเราไปสถานีตำรวจ ไปแจ้งความเพื่อเอาเราเข้าคุก แต่ไม่รู้บุญยังมีอยู่เจอสารวัตรใจดี ท่านถามเราด้วยน้ำเสียงใจดีมาก บอกให้เราอย่าร้องไห้ถ้าคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำก็อย่าร้องใจเย็นๆไม่ได้ทำก็ไม่ต้องกลัว จากนั้นท่านก็หันไปถามทางห้างถึงหลักฐานแต่ทางห้างมีแค่หลักฐานที่เราเอาขยะไปทิ้งแค่นั้น สารวัตรจึงให้ไปหาหลักฐานเพิ่มและปล่อยเรากลับบ้านแล้วจะโทรให้เข้ามารับทราบข้อกล่าวหาวันหลัง พอเรากลับบ้านเรานอนไม่หลับเครียดร้องไห้ทั้งคืน หลังจากนั้นสารวัตรแจ้งให้เราไปรับทราบข้อกล่าวที่ทางห้างแจ้งเราก็ไปตอนนั้นก็ยังร้องไห้อยู่ หลังจากนั้นก็ถึงขั้นสอบสวนเราก็ปฎิเสธทุกข้อกล่าวหา หลังจากนั้นผ่านไปเกือบ3เดือนสารวัตรโทรแจ้งให้เราไปมอบตัวที่อัยการเราก็ไป พอไปถึงก็นั่งรออัยการสรุปเลื่อนนัด(เลื่อนนัด2ครั้ง)ครั้งที่ 3 ที่เราไปอัยการไม่สอบอะไรยึดตามเอกสารตำรวจและนัดขึ้นศาล พอถึงวันไปศาล อัยการพาไปส่งตัวเขาคุกใต้ศาลตอนนั้นเราร้องไห้แบบไม่อายคนเลย ร้องจนผู้ต้องหาคนอื่นสงสาร เราถูกขังรวมกับผู้ต้องขังคนอื่นหลายคดี ทั้งค้ายา เสพยา และอื่น ตอนนั้นเราจิตตกมากคิดอยากจะตายท่าเดียว พอถึงเรียกชื่อ ศาลเรียกไปถามว่ารับสารภาพหรือปฎิเสธ(เราปฎิเสธ)เสียเงินประกันตัว 50,000บาท หลัง
จากนั้นศาลถามว่าจะใช้ทนายศาลหรือหาเองเราเรียกหาเอง ถ้าก็ตกลงแล้วเราก็กลับเข้าห้องขังเดิมเราทางที่เดินกลับตามห้องอื่นๆมีผู้ต้องขังเยอะมากๆใส่โซ่ตรวนกุญแจมือยิ่งทำให้เราจิตตกเข้าไปใหญ่ เรานั่งอยู่ในนั้นจนถึง17.00น.เขาก็เรียกผู้ต้องหาคนอื่นๆออกไปขึ้นไปบ้านใหญ่ส่วนเรารอสักแปบเขาก็ปล่อยออกมาเพราะประกันตัว หลังจากวันนั้นเราก็หาทนายตามเพจเฟสบุ๊คเราก็เจอทนายคนนึงเขารับเป็นทนายเรา พอจะถึงวันขึ้นศาล ศาลก็เลื่อนอีกประมาณ2ครั้ง วันขึ้นศาลวันแรกแค่ไปฟังคำแนะนำของศาล(ไม่รู้เรียกอะไรลืมล่ะ)ครั้งที่2นัดไตร่สวน เราก็เล่าเหตุการณ์ตามที่เรารู้แล้วก็ถูกซักจากอัยการฝั่งโจทย์(เราร้องไห้ตลอดระหว่างที่เล่าแต่ศาลท่านใจดีไม่ว่าอะไร)ครั้งที่3นัดฟังคำพิพากษา วันนั้นเราตื่นเต้นมาก กลัวด้วยระหว่างที่ฟังคำพิพากษาตำรวจศาลก็ใส่กุญแจมือเราตอนนั้นเรากลัวจนร้องไก้ออกมาคิดว่าเราต้องเข้าคุกหรอใส่กุญแจมือแบบนี้ แต่ไม่ใช่ ผลคำพิพากษาออกมาว่าเราไม่ผิด(ยกฟ้อง) ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเราเป็นโขมย เราดีใจมากเหมือนยกภูเขาออกจากอก ระยะเวลาที่เราถูกหาว่าเป็นโขมย 2ปี ถูกปลดล็อค ในระยะเวลา2ปีนั้นเราเปลี่ยนที่ทำงาน3ที่ ทำได้ไม่นานก็ต้องลาออกเพราะเหมือนเป็นแพนิคซึมเศร้าคิดฆ่าตัวตายทุกวัน กลัวเพื่อนร่วมงานรู้ว่าเราถูกฟ้องว่าโขมยของ ไม่กล้าไปสมัครโรงงานกลัวเขาตรวจประวัติอาชญากรรม ไม่กล้าไว้ใจใคร ตอนนี้เรื่องนั้นผ่านมา1ปีแล้ว เราก็ยังไม่หายจากอาการเครียด นอนไม่หลับเลย อยู่ดีอยากร้องไห้ก็ร้องยาวสะอึกสะอื้นเหมือนคนจะขาดใจ ตอนนี้เราออกมาอยู่มาฮีลใจตัวเองที่บ้านไม่รู้จะกลับไปเหมือนเดิมได้ไหม เรากลายเป็นคนกลัวสังคมไปเลย
#ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเรื่องราวของเรา
อาจจะเขียนผิดไปบ้าง ต้องขออภัยมาณ โอกาศนี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่