ข้าวสารปรับราคาขึ้น กก.ละ 2 บาท แม่ค้าบ่นอุบช่วงนี้ข้าวขายยาก ลูกค้าลดลงเยอะมาก
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7818304
ขอนแก่น ข้าวสารปรับราคาขึ้น กก.ละ 2 บาท แม่ค้าบ่นอุบช่วงนี้ข้าวขายยาก ลูกค้าลดลงเยอะมาก เหตุข้าวเหนือไม่ค่อยมี อีสานเหลือน้อย โรงสีแจ้งข้าวใกล้หมด ยังไม่ถึงฤดูเก็บเกี่ยว ยืนยันไม่กักตุน
17 ส.ค. 66 – ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจการจำหน่ายข้าวสาร ในเขตเทศบาลนครขอนแก่น หลังพบว่ามีการเตรียมปรับราคาขึ้น ซึ่งจากการสำรวจพบว่าข้าวสารเหนียวและ ข้าวเจ้ารวมถึงข้าวถุง ปรับราคาขึ้นอีกราคากิโลกรัมละ 2 บาท
จากการสำรวจที่ร้านอำนวยค้าขาว ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 183 ถ.หน้าเมือง เขตเทศบาลนครขอนแก่น ซึ่งยังคงมีลูกค้าทยอยมาเลือกซื้อข้าวสาร แต่ก็ไม่คึกคักเหมือนแต่ก่อน
นาง
อำนวย มาซา อายุ 62 ปี เจ้าของร้านอำนวยค้าข้าว กล่าวว่า ข้าวสารช่วงนี้ขึ้นราคาทั้งข้าวเหนียวและข้าวเจ้า เพราะข้าวสารทางภาคเหนือที่เคยสั่งมาก็ไม่ค่อยมี ข้าวภาคอีสานก็เหลือน้อย โรงสีให้เหตุผลว่าข้าวใกล้จะหมดยังไม่ถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว ขณะที่ความต้องการเท่าเดิมแต่ข้าวเหลือน้อยทำให้ต้องมีการปรับราคาข้าวสารขึ้นในช่วงนี้
“
ทั้งข้าวสารเหนียวและข้าวเจ้าขึ้นราคาอีกกิโลกรัมละ 2 บาท ข้าวหอมมะลิใหม่เดิมขายกิโลกรัมละ 35 บาท ปรับใหม่เป็น 37 บาท ข้าวหอมมะลิเขาวงเดิมขายกิโลกรัมละ 30 บาท ปรับใหม่เป็น 32 บาท ข้าวเหนียวสันป่าตองเดิมขายกิโลกรัมละ 30 บาท ปรับใหม่เป็น 32 บาท ข้าวเหนียวใหม่ กข6 เดิมขายกิโลกรัมละ 30 บาท ปรับใหม่เป็น 32 บาท เช่นเดียวกันกับข้าวบรรจุถุงปรับราคาขึ้นอีกกิโลกรัมละ 2 บาทเช่นกัน”
นาง
อำนวย กล่าวต่ออีกว่า ทางร้านจึงได้มีการปรับราคาขึ้นเล็กน้อย เพราะต้นทุนสูงขึ้น ถ้าปรับเยอะก็ขายยากสงสารผู้บริโภค เพราะช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี ลูกค้าลดลงเยอะมาก เพราะร้านค้าต่างๆ ที่มารับข้าวไปขายต่างก็ขายยากขึ้น ทำให้การขายปลีกชะลอตัวลง โดยเฉพาะเดือนนี้ขายข้าวยาก
หากข้าวใหม่ออกน่าจะมีการปรับราคาลง แต่ปีนี้ที่ดูข่าวบอกว่า จะแล้งจึงยังไม่รู้ว่า ปริมาณข้าวฤดูกาลใหม่จะได้เยอะหรือน้อยเพียงใด เพราะฝนตอนนี้ทิ้งช่วงอาจจะทำให้ได้ข้าวใหม่น้อยลง จึงไม่แน่ใจว่าปีนี้ราคาจะลงเยอะแค่ไหน อย่างไรก็ตามร้านไม่มีการตุนข้าวสารไว้ และสั่งมาขายเดือนต่อเดือน ถ้าสั่งมาเยอะขายไม่ออก จะทำให้มอดขึ้นข้าวสารก็จะเสียหายได้
แล้งกระทบขนส่งสินค้า คลองปานามาตื้น ทำเรือปรับลดความจุ-ขึ้นค่าธรรมเนียม
https://www.matichon.co.th/economy/news_4132895
สนค.ศึกษาผลกระทบสถานการณ์ภัยแล้งที่ส่งผลต่อการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศบริเวณคลองปานามา พบมีการปรับลดระดับเพดานสูงสุดของอัตรากินน้ำลึกของเรือขนส่งสินค้า ทำให้เรือต้องลดความจุของตู้คอนเทนเนอร์ และมีการเพิ่มอัตราค่าธรรมเนียมสูงขึ้น เผยเศรษฐกิจฟื้นตัว ทำให้ต้องการซื้อสินค้าเพิ่ม ต้องการเรือและตู้สินค้าเพิ่ม แนะเอกชนเกาะติดสถานการณ์ขนส่ง ปัญหาเอลนีโญ ที่อาจมีผลกระทบ และวางแผนรับมือให้ทันการณ์
นาย
พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้ติดตาม และทำการศึกษาเรื่องผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้งที่ส่งผลต่อการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศบริเวณคลองปานามา ซึ่งผลการศึกษาพบว่า สถานการณ์ภัยแล้งได้ส่งผล
ต่อการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศผ่าน 2 ประเด็นสำคัญ คือ 1.การลดระดับเพดานสูงสุดของอัตรากินน้ำลึก ของเรือขนส่งสินค้า ทำให้เรือต้องลดความจุของตู้คอนเทนเนอร์ในการขนส่งแต่ละเที่ยว และ 2.การเพิ่มอัตราค่าธรรมเนียมผันแปร Fresh Water Surcharge ที่ดำเนินการโดยสำนักงานบริหารคลองปานามา ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศสูงขึ้น ทำให้ปัจจุบันอัตราค่าธรรมเนียมได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 7.99% สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วอยู่ที่ 2-4%
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา สำนักงานบริหารคลองปานามา (Panama Canal Authority) ได้ทำการปรับลดระดับเพดานสูงสุดสำหรับเรือขนาดใหญ่อย่าง Neopanamax แล้ว 9 ครั้ง โดยปัจจุบันได้ลดระดับเพดานสูงสุด มาเหลืออยู่ที่ 44.0 ฟุต หรือ 13.41 เมตร จากเดิมอยู่ที่ 50 ฟุต 15.24 เมตร เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุท้องเรือติดก้นคลองและไม่สามารถเคลื่อนที่ได้จากน้ำหนักบรรทุกที่มากเกินไป หรือ Risk of vessel grounding ซึ่งผลของมาตรการนี้ทำให้นักวิเคราะห์ด้านโลจิสติกส์ในต่างประเทศ ประเมินว่า เรือขนส่งสินค้าจำเป็นต้องลดความจุของตู้คอนเทนเนอร์ลงประมาณ 40% และอาจต้องเพิ่มจำนวนเรือขนส่งให้มากขึ้น เพื่อกระจายน้ำหนักสินค้า
ในปี 2566 ปานามาประสบกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นและปริมาณน้ำฝนที่น้อยกว่าปกติ ส่งผลให้ระดับน้ำในทะเลสาบกาตุน (Gatun Lake) ที่เป็นแหล่งน้ำสำหรับใช้ผันน้ำเข้าคลองปานามาและใช้ในการอุปโภคบริโภคของคนทั้งประเทศลดต่ำลงจนอยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบ 7 ปี นับตั้งแต่ปี 2559 จนกระทบต่อเนื่องไปยังระดับน้ำในคลองปานามา โดยหน่วยงานวิชาการในต่างประเทศได้คาดการณ์ว่า ปี 2566 ปานามาจะเผชิญกับสถานการณ์ภัยแล้งที่เป็นผลพวงจากการเข้าสู่ช่วงปรากฏการณ์เอลนีโญ ตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายนไปจนถึงสิ้นปี
คลองปานามาเป็นคลองที่มีความสำคัญต่อการค้าโลก คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6 ของการค้าทางทะเลโลก เชื่อมการขนส่งทางทะเลระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรแอตแลนติกตลอดความยาว 80 กิโลเมตร ปัจจุบันคลองปานามาเป็นเส้นทางสำหรับการขนส่งสินค้ารวม 180 เส้นทางเดินเรือ เชื่อมโยงการขนส่งสินค้า
ของท่าเรือทั่วโลกกว่า 1,920 ท่าเรือใน 170 ประเทศ แต่ละปีมีเรือขนส่งสินค้าผ่านคลองปานามาประมาณ 13,000-14,000 ลำ โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศในทวีปเอเชีย ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รวมถึงไทย ครอบคลุมตั้งแต่การขนส่งสินค้าโภคภัณฑ์ (น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน ถั่วเหลือง) สินค้าอาหาร สินค้าอุตสาหกรรม และสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งการขนส่งสินค้าผ่านคลองปานามาจะย่นระยะเวลาการขนส่ง และช่วยประหยัดต้นทุนการขนส่งได้มากกว่าเมื่อเทียบกับการขนส่งผ่านแหลมฮอร์นของทวีปอเมริกาใต้ หรือแหลมกู๊ดโฮปของทวีปแอฟริกา
สำหรับประเทศไทยใช้คลองปานามาเป็นเส้นทางการขนส่งสินค้าไปยังท่าเรือฝั่งตะวันออก (East Coast) ของสหรัฐอเมริกา โดยไทยเป็นคู่ค้าลำดับที่ 6 ของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ใช้คลองปานามาเป็นเส้นทางการขนส่งของเรือตู้คอนเทนเนอร์ มีมูลค่าการค้ารวม 17,912.2 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสินค้าที่ไทยขนส่งไปยังท่าเรือฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ ได้แก่ ยางรถบรรทุกหรือรถบัส ส่วนประกอบ ของเครื่องปรับอากาศ โซลาร์เซลล์ ยางรถยนต์นั่ง และปลาทูน่าปรุงแต่ง และมีท่าเรือที่ใช้นำเข้าสินค้าจากไทย
5 อันดับแรก ได้แก่ (1) ท่าเรือ Newark รัฐนิวเจอร์ซี (2) ท่าเรือ Savannah รัฐจอร์เจีย (3) ท่าเรือ Houston รัฐเท็กซัส (4) ท่าเรือ Norfolk-Newport News รัฐเวอร์จิเนีย และ (5) ท่าเรือ Charleston รัฐเซาท์แคโรไลนา นอกจากนี้ ไทยยังใช้คลองปานามาในการขนส่งสินค้าไปยังประเทศที่อยู่ทางตะวันออกของทวีปอเมริกาใต้ ได้แก่ บราซิล เวเนซุเอลา กายอานา ซูรินาเม และเฟรนซ์เกียนา และประเทศที่ตั้งอยู่บริเวณทะเลแคริบเบียน อเมริกากลาง อีกด้วย
นาย
พูนพงษ์ กล่าวว่า ในปี 2567 คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะกลับมาฟื้นตัวและเติบโตมากกว่าปี 2566 ทำให้ความต้องการซื้อสินค้า ความต้องการใช้เรือขนส่งสินค้าและตู้คอนเทนเนอร์กลับมาเพิ่มขึ้น ท่ามกลางปรากฏการณ์เอลนีโญที่มีแนวโน้มยาวนานจนถึงปี 2567 จึงมีความเป็นไปได้ที่ค่าใช้จ่ายสำหรับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ รวมถึงค่าระวางเรือจะปรับตัวสูงขึ้น จึงอยากแนะนำให้ภาคเอกชนคอยติดตามสภาพภูมิอากาศและปรากฏการณ์เอลนีโญที่จะมีผลต่อการขนส่งสินค้าเป็นระยะ ๆ เพื่อปรับตัวและเตรียมกลยุทธ์ทางธุรกิจ เพื่อรับมือให้ทันต่อสถานการณ์โลก ขณะเดียวกัน สนค. จะคอยติดตามและทำการวิเคราะห์ผลกระทบอย่างรอบด้าน เพื่อช่วยเตือนภัยให้แก่ภาคเอกชนรับมือกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทันท่วงที
ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถติดตามอ่านรายละเอียด เรื่อง “
บทบาทของคลองปานามาต่อการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์ภัยแล้งของโลก” ต่อได้ที่เว็บไซต์ของ สนค. www.tpso.moc.go.th
ก้าวไกล ค้านประกาศมท. เบี้ยผู้สูงอายุ ลดบำนาญประชาชน ยันชูสวัสดิการถ้วนหน้า
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7818479
ก้าวไกล ค้านระเบียบมหาดไทย ลดบำนาญประชาชน ซัดเป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ชูร่างพ.ร.บ.สวัสดิการถ้วนหน้า เพื่อไม่ต้องพิสูจน์ความจน
เมื่อเวลา 10.25 น. วันที่ 17 ส.ค.2566 ที่รัฐสภา นาย
เซีย จำปาทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงคัดค้านระเบียบกระทรวงมหาดไทย ลดบำนาญประชาชน พร้อมสนับสนุน พ.ร.บ.บำนาญถ้วนหน้าว่า กรณีการประกาศระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงิน เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566 ที่ออกมาเมื่อวันที่ 11 ส.ค. และบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมา เป็นของขวัญวันแม่ ที่มอบให้กับผู้สูงอายุทั้งประเทศ
นาย
เซีย กล่าวว่า พรรคก้าวไกลเราเห็นว่าประกาศดังกล่าว เป็นการหมุนกงล้อระบบสวัสดิการย้อนกลับจากที่ไทยควรก้าวไปสู่การมีระบบสวัสดิการถ้วนหน้า กลับไปสู่ระบบสงเคราะห์ ที่ต้องพิสูจน์ความจนเพื่อได้รับการช่วยเหลือ เป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างไม่นำให้อภัย และไม่น่าเกิดขึ้นในยุคที่ให้คุณค่ากับสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียม
ปัญหาที่ทางเรากังวลว่าจะมีเพิ่มตามมาคือ เรื่องกฎเกณฑ์ที่จะออกตามมาจากประกาศฉบับนี้ ถ้าหากใช้ฐานข้อมูลจากบัตรคนจน ก็ประเมินว่าจะมีผู้สูงอายุที่หลุดออกจากระบบ ไม่ได้รับเบี้ยผู้สูงอายุประมาณอีก 6 ล้านคน
นอกจากนี้ ฐานข้อมูลของบัตรคนจนก็มีความไม่เที่ยงตรงอยู่พอสมควร เพราะมีการสำรวจ ว่ามีคนจนประมาณ 46% ที่ไม่ได้บัตร แปลว่าข้อมูลตกหล่นจากฐานข้อมูลไปเยอะมาก ฉะนั้น พรรคก้าวไกลเห็นว่าเราจึงต้องใหัสวัสดิการแบบถ้วนหน้า เพื่อไม่ต้องมาเสียเวลาพิสูจน์ความจน เพื่อจะรับเงิน 600 บาทหรือแค่ 20 บาทต่อวันนี้ พรรคก้าวไกลขอคัดค้านการออกระเบียบดังกล่าว
“
เราขอยืนยันในสิ่งที่เราได้หาเสียงไว้คือ การสร้างสวัสดิการถ้วนหน้า ซึ่งพิสูจน์มาแล้วหลายที่ในโลกว่า เป็นสิ่งที่ทำได้ พรรคก้าวไกลเชื่อว่าสวัสดิการถ้วนหน้าไม่ได้มีราคาแพง ไม่เป็นภาระด้านงบประมาณ เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้โดยตรง เพราะเราเชื่อว่าสวัสดิการถ้วนหน้าคือสิ่งที่ประชาชนทุกคนควรได้รับ” นาย
เซีย กล่าว
นาย
เซีย กล่าวต่อว่า เราจะเตรียมยื่น ร่าง พ.ร.บ.บำนาญถ้วนหน้า เพื่อเป็นก้าวแรกที่จะทำให้ระบบสวัสดิการของเราก้าวไปข้างหน้า โดยมีสาระสำคัญ คือ
1.มาตรา 5 ของพ.ร.บ.ของเรา เรายืนยันว่าบุคคลทุกคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปต้องได้รับบำนาญแห่งชาติ โดยไม่ตัดสิทธิ์ประโยชน์ของผู้สูงอายุที่ได้รับบำนาญตามกฎหมายอื่นหรือตามมติคณะรัฐมนตรี
2.จะต้องกำหนดอัตราบำนาญแห่งชาติใหม่ทุก 3 ปี
และ 3.ทุกคนต้องได้รับบำนาญต่อเดือนไม่ต่ำกว่า เส้นความยากจนของสภาพัฒน์ หรือ ตามที่เราเคยหาเสียงไว้คือประมาณ 3,000 บาท และถ้าหากมีการปรับเส้นความยากจน ตัวเงิน บำนาญตัวนี้ ก็ต้องปรับขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
“
พรรคก้าวไกลเราเห็นว่าการยื่นพ.ร.บ.ฉบับนี้ จะเป็นก้าวแรกสู่สวัสดิการถ้วนหน้า และประเทศไทยจะเดินหน้าสู่รัฐสวัสดิการ ด้วยการมี Universal basic income ให้ทุกคนอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ต้องพิสูจน์ความจนกันอีกต่อไป” นาย
เซีย กล่าว
JJNY : ข้าวสารปรับราคาขึ้น│แล้งกระทบขนส่งสินค้า│ก้าวไกลค้านประกาศมท.เบี้ยผู้สูงอายุ│รัสเซียอ้าง สหรัฐฯ วางแผนก่อโรคระบาด
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7818304
ขอนแก่น ข้าวสารปรับราคาขึ้น กก.ละ 2 บาท แม่ค้าบ่นอุบช่วงนี้ข้าวขายยาก ลูกค้าลดลงเยอะมาก เหตุข้าวเหนือไม่ค่อยมี อีสานเหลือน้อย โรงสีแจ้งข้าวใกล้หมด ยังไม่ถึงฤดูเก็บเกี่ยว ยืนยันไม่กักตุน
17 ส.ค. 66 – ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจการจำหน่ายข้าวสาร ในเขตเทศบาลนครขอนแก่น หลังพบว่ามีการเตรียมปรับราคาขึ้น ซึ่งจากการสำรวจพบว่าข้าวสารเหนียวและ ข้าวเจ้ารวมถึงข้าวถุง ปรับราคาขึ้นอีกราคากิโลกรัมละ 2 บาท
จากการสำรวจที่ร้านอำนวยค้าขาว ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 183 ถ.หน้าเมือง เขตเทศบาลนครขอนแก่น ซึ่งยังคงมีลูกค้าทยอยมาเลือกซื้อข้าวสาร แต่ก็ไม่คึกคักเหมือนแต่ก่อน
นางอำนวย มาซา อายุ 62 ปี เจ้าของร้านอำนวยค้าข้าว กล่าวว่า ข้าวสารช่วงนี้ขึ้นราคาทั้งข้าวเหนียวและข้าวเจ้า เพราะข้าวสารทางภาคเหนือที่เคยสั่งมาก็ไม่ค่อยมี ข้าวภาคอีสานก็เหลือน้อย โรงสีให้เหตุผลว่าข้าวใกล้จะหมดยังไม่ถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว ขณะที่ความต้องการเท่าเดิมแต่ข้าวเหลือน้อยทำให้ต้องมีการปรับราคาข้าวสารขึ้นในช่วงนี้
“ทั้งข้าวสารเหนียวและข้าวเจ้าขึ้นราคาอีกกิโลกรัมละ 2 บาท ข้าวหอมมะลิใหม่เดิมขายกิโลกรัมละ 35 บาท ปรับใหม่เป็น 37 บาท ข้าวหอมมะลิเขาวงเดิมขายกิโลกรัมละ 30 บาท ปรับใหม่เป็น 32 บาท ข้าวเหนียวสันป่าตองเดิมขายกิโลกรัมละ 30 บาท ปรับใหม่เป็น 32 บาท ข้าวเหนียวใหม่ กข6 เดิมขายกิโลกรัมละ 30 บาท ปรับใหม่เป็น 32 บาท เช่นเดียวกันกับข้าวบรรจุถุงปรับราคาขึ้นอีกกิโลกรัมละ 2 บาทเช่นกัน”
นางอำนวย กล่าวต่ออีกว่า ทางร้านจึงได้มีการปรับราคาขึ้นเล็กน้อย เพราะต้นทุนสูงขึ้น ถ้าปรับเยอะก็ขายยากสงสารผู้บริโภค เพราะช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี ลูกค้าลดลงเยอะมาก เพราะร้านค้าต่างๆ ที่มารับข้าวไปขายต่างก็ขายยากขึ้น ทำให้การขายปลีกชะลอตัวลง โดยเฉพาะเดือนนี้ขายข้าวยาก
หากข้าวใหม่ออกน่าจะมีการปรับราคาลง แต่ปีนี้ที่ดูข่าวบอกว่า จะแล้งจึงยังไม่รู้ว่า ปริมาณข้าวฤดูกาลใหม่จะได้เยอะหรือน้อยเพียงใด เพราะฝนตอนนี้ทิ้งช่วงอาจจะทำให้ได้ข้าวใหม่น้อยลง จึงไม่แน่ใจว่าปีนี้ราคาจะลงเยอะแค่ไหน อย่างไรก็ตามร้านไม่มีการตุนข้าวสารไว้ และสั่งมาขายเดือนต่อเดือน ถ้าสั่งมาเยอะขายไม่ออก จะทำให้มอดขึ้นข้าวสารก็จะเสียหายได้
แล้งกระทบขนส่งสินค้า คลองปานามาตื้น ทำเรือปรับลดความจุ-ขึ้นค่าธรรมเนียม
https://www.matichon.co.th/economy/news_4132895
สนค.ศึกษาผลกระทบสถานการณ์ภัยแล้งที่ส่งผลต่อการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศบริเวณคลองปานามา พบมีการปรับลดระดับเพดานสูงสุดของอัตรากินน้ำลึกของเรือขนส่งสินค้า ทำให้เรือต้องลดความจุของตู้คอนเทนเนอร์ และมีการเพิ่มอัตราค่าธรรมเนียมสูงขึ้น เผยเศรษฐกิจฟื้นตัว ทำให้ต้องการซื้อสินค้าเพิ่ม ต้องการเรือและตู้สินค้าเพิ่ม แนะเอกชนเกาะติดสถานการณ์ขนส่ง ปัญหาเอลนีโญ ที่อาจมีผลกระทบ และวางแผนรับมือให้ทันการณ์
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้ติดตาม และทำการศึกษาเรื่องผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้งที่ส่งผลต่อการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศบริเวณคลองปานามา ซึ่งผลการศึกษาพบว่า สถานการณ์ภัยแล้งได้ส่งผล
ต่อการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศผ่าน 2 ประเด็นสำคัญ คือ 1.การลดระดับเพดานสูงสุดของอัตรากินน้ำลึก ของเรือขนส่งสินค้า ทำให้เรือต้องลดความจุของตู้คอนเทนเนอร์ในการขนส่งแต่ละเที่ยว และ 2.การเพิ่มอัตราค่าธรรมเนียมผันแปร Fresh Water Surcharge ที่ดำเนินการโดยสำนักงานบริหารคลองปานามา ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศสูงขึ้น ทำให้ปัจจุบันอัตราค่าธรรมเนียมได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 7.99% สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วอยู่ที่ 2-4%
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา สำนักงานบริหารคลองปานามา (Panama Canal Authority) ได้ทำการปรับลดระดับเพดานสูงสุดสำหรับเรือขนาดใหญ่อย่าง Neopanamax แล้ว 9 ครั้ง โดยปัจจุบันได้ลดระดับเพดานสูงสุด มาเหลืออยู่ที่ 44.0 ฟุต หรือ 13.41 เมตร จากเดิมอยู่ที่ 50 ฟุต 15.24 เมตร เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุท้องเรือติดก้นคลองและไม่สามารถเคลื่อนที่ได้จากน้ำหนักบรรทุกที่มากเกินไป หรือ Risk of vessel grounding ซึ่งผลของมาตรการนี้ทำให้นักวิเคราะห์ด้านโลจิสติกส์ในต่างประเทศ ประเมินว่า เรือขนส่งสินค้าจำเป็นต้องลดความจุของตู้คอนเทนเนอร์ลงประมาณ 40% และอาจต้องเพิ่มจำนวนเรือขนส่งให้มากขึ้น เพื่อกระจายน้ำหนักสินค้า
ในปี 2566 ปานามาประสบกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นและปริมาณน้ำฝนที่น้อยกว่าปกติ ส่งผลให้ระดับน้ำในทะเลสาบกาตุน (Gatun Lake) ที่เป็นแหล่งน้ำสำหรับใช้ผันน้ำเข้าคลองปานามาและใช้ในการอุปโภคบริโภคของคนทั้งประเทศลดต่ำลงจนอยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบ 7 ปี นับตั้งแต่ปี 2559 จนกระทบต่อเนื่องไปยังระดับน้ำในคลองปานามา โดยหน่วยงานวิชาการในต่างประเทศได้คาดการณ์ว่า ปี 2566 ปานามาจะเผชิญกับสถานการณ์ภัยแล้งที่เป็นผลพวงจากการเข้าสู่ช่วงปรากฏการณ์เอลนีโญ ตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายนไปจนถึงสิ้นปี
คลองปานามาเป็นคลองที่มีความสำคัญต่อการค้าโลก คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6 ของการค้าทางทะเลโลก เชื่อมการขนส่งทางทะเลระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรแอตแลนติกตลอดความยาว 80 กิโลเมตร ปัจจุบันคลองปานามาเป็นเส้นทางสำหรับการขนส่งสินค้ารวม 180 เส้นทางเดินเรือ เชื่อมโยงการขนส่งสินค้า
ของท่าเรือทั่วโลกกว่า 1,920 ท่าเรือใน 170 ประเทศ แต่ละปีมีเรือขนส่งสินค้าผ่านคลองปานามาประมาณ 13,000-14,000 ลำ โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศในทวีปเอเชีย ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รวมถึงไทย ครอบคลุมตั้งแต่การขนส่งสินค้าโภคภัณฑ์ (น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน ถั่วเหลือง) สินค้าอาหาร สินค้าอุตสาหกรรม และสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งการขนส่งสินค้าผ่านคลองปานามาจะย่นระยะเวลาการขนส่ง และช่วยประหยัดต้นทุนการขนส่งได้มากกว่าเมื่อเทียบกับการขนส่งผ่านแหลมฮอร์นของทวีปอเมริกาใต้ หรือแหลมกู๊ดโฮปของทวีปแอฟริกา
สำหรับประเทศไทยใช้คลองปานามาเป็นเส้นทางการขนส่งสินค้าไปยังท่าเรือฝั่งตะวันออก (East Coast) ของสหรัฐอเมริกา โดยไทยเป็นคู่ค้าลำดับที่ 6 ของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ใช้คลองปานามาเป็นเส้นทางการขนส่งของเรือตู้คอนเทนเนอร์ มีมูลค่าการค้ารวม 17,912.2 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสินค้าที่ไทยขนส่งไปยังท่าเรือฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ ได้แก่ ยางรถบรรทุกหรือรถบัส ส่วนประกอบ ของเครื่องปรับอากาศ โซลาร์เซลล์ ยางรถยนต์นั่ง และปลาทูน่าปรุงแต่ง และมีท่าเรือที่ใช้นำเข้าสินค้าจากไทย
5 อันดับแรก ได้แก่ (1) ท่าเรือ Newark รัฐนิวเจอร์ซี (2) ท่าเรือ Savannah รัฐจอร์เจีย (3) ท่าเรือ Houston รัฐเท็กซัส (4) ท่าเรือ Norfolk-Newport News รัฐเวอร์จิเนีย และ (5) ท่าเรือ Charleston รัฐเซาท์แคโรไลนา นอกจากนี้ ไทยยังใช้คลองปานามาในการขนส่งสินค้าไปยังประเทศที่อยู่ทางตะวันออกของทวีปอเมริกาใต้ ได้แก่ บราซิล เวเนซุเอลา กายอานา ซูรินาเม และเฟรนซ์เกียนา และประเทศที่ตั้งอยู่บริเวณทะเลแคริบเบียน อเมริกากลาง อีกด้วย
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า ในปี 2567 คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะกลับมาฟื้นตัวและเติบโตมากกว่าปี 2566 ทำให้ความต้องการซื้อสินค้า ความต้องการใช้เรือขนส่งสินค้าและตู้คอนเทนเนอร์กลับมาเพิ่มขึ้น ท่ามกลางปรากฏการณ์เอลนีโญที่มีแนวโน้มยาวนานจนถึงปี 2567 จึงมีความเป็นไปได้ที่ค่าใช้จ่ายสำหรับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ รวมถึงค่าระวางเรือจะปรับตัวสูงขึ้น จึงอยากแนะนำให้ภาคเอกชนคอยติดตามสภาพภูมิอากาศและปรากฏการณ์เอลนีโญที่จะมีผลต่อการขนส่งสินค้าเป็นระยะ ๆ เพื่อปรับตัวและเตรียมกลยุทธ์ทางธุรกิจ เพื่อรับมือให้ทันต่อสถานการณ์โลก ขณะเดียวกัน สนค. จะคอยติดตามและทำการวิเคราะห์ผลกระทบอย่างรอบด้าน เพื่อช่วยเตือนภัยให้แก่ภาคเอกชนรับมือกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทันท่วงที
ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถติดตามอ่านรายละเอียด เรื่อง “บทบาทของคลองปานามาต่อการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์ภัยแล้งของโลก” ต่อได้ที่เว็บไซต์ของ สนค. www.tpso.moc.go.th
ก้าวไกล ค้านประกาศมท. เบี้ยผู้สูงอายุ ลดบำนาญประชาชน ยันชูสวัสดิการถ้วนหน้า
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7818479
ก้าวไกล ค้านระเบียบมหาดไทย ลดบำนาญประชาชน ซัดเป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ชูร่างพ.ร.บ.สวัสดิการถ้วนหน้า เพื่อไม่ต้องพิสูจน์ความจน
เมื่อเวลา 10.25 น. วันที่ 17 ส.ค.2566 ที่รัฐสภา นายเซีย จำปาทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงคัดค้านระเบียบกระทรวงมหาดไทย ลดบำนาญประชาชน พร้อมสนับสนุน พ.ร.บ.บำนาญถ้วนหน้าว่า กรณีการประกาศระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงิน เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566 ที่ออกมาเมื่อวันที่ 11 ส.ค. และบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมา เป็นของขวัญวันแม่ ที่มอบให้กับผู้สูงอายุทั้งประเทศ
นายเซีย กล่าวว่า พรรคก้าวไกลเราเห็นว่าประกาศดังกล่าว เป็นการหมุนกงล้อระบบสวัสดิการย้อนกลับจากที่ไทยควรก้าวไปสู่การมีระบบสวัสดิการถ้วนหน้า กลับไปสู่ระบบสงเคราะห์ ที่ต้องพิสูจน์ความจนเพื่อได้รับการช่วยเหลือ เป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างไม่นำให้อภัย และไม่น่าเกิดขึ้นในยุคที่ให้คุณค่ากับสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียม
ปัญหาที่ทางเรากังวลว่าจะมีเพิ่มตามมาคือ เรื่องกฎเกณฑ์ที่จะออกตามมาจากประกาศฉบับนี้ ถ้าหากใช้ฐานข้อมูลจากบัตรคนจน ก็ประเมินว่าจะมีผู้สูงอายุที่หลุดออกจากระบบ ไม่ได้รับเบี้ยผู้สูงอายุประมาณอีก 6 ล้านคน
นอกจากนี้ ฐานข้อมูลของบัตรคนจนก็มีความไม่เที่ยงตรงอยู่พอสมควร เพราะมีการสำรวจ ว่ามีคนจนประมาณ 46% ที่ไม่ได้บัตร แปลว่าข้อมูลตกหล่นจากฐานข้อมูลไปเยอะมาก ฉะนั้น พรรคก้าวไกลเห็นว่าเราจึงต้องใหัสวัสดิการแบบถ้วนหน้า เพื่อไม่ต้องมาเสียเวลาพิสูจน์ความจน เพื่อจะรับเงิน 600 บาทหรือแค่ 20 บาทต่อวันนี้ พรรคก้าวไกลขอคัดค้านการออกระเบียบดังกล่าว
“เราขอยืนยันในสิ่งที่เราได้หาเสียงไว้คือ การสร้างสวัสดิการถ้วนหน้า ซึ่งพิสูจน์มาแล้วหลายที่ในโลกว่า เป็นสิ่งที่ทำได้ พรรคก้าวไกลเชื่อว่าสวัสดิการถ้วนหน้าไม่ได้มีราคาแพง ไม่เป็นภาระด้านงบประมาณ เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้โดยตรง เพราะเราเชื่อว่าสวัสดิการถ้วนหน้าคือสิ่งที่ประชาชนทุกคนควรได้รับ” นายเซีย กล่าว
นายเซีย กล่าวต่อว่า เราจะเตรียมยื่น ร่าง พ.ร.บ.บำนาญถ้วนหน้า เพื่อเป็นก้าวแรกที่จะทำให้ระบบสวัสดิการของเราก้าวไปข้างหน้า โดยมีสาระสำคัญ คือ
1.มาตรา 5 ของพ.ร.บ.ของเรา เรายืนยันว่าบุคคลทุกคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปต้องได้รับบำนาญแห่งชาติ โดยไม่ตัดสิทธิ์ประโยชน์ของผู้สูงอายุที่ได้รับบำนาญตามกฎหมายอื่นหรือตามมติคณะรัฐมนตรี
2.จะต้องกำหนดอัตราบำนาญแห่งชาติใหม่ทุก 3 ปี
และ 3.ทุกคนต้องได้รับบำนาญต่อเดือนไม่ต่ำกว่า เส้นความยากจนของสภาพัฒน์ หรือ ตามที่เราเคยหาเสียงไว้คือประมาณ 3,000 บาท และถ้าหากมีการปรับเส้นความยากจน ตัวเงิน บำนาญตัวนี้ ก็ต้องปรับขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
“พรรคก้าวไกลเราเห็นว่าการยื่นพ.ร.บ.ฉบับนี้ จะเป็นก้าวแรกสู่สวัสดิการถ้วนหน้า และประเทศไทยจะเดินหน้าสู่รัฐสวัสดิการ ด้วยการมี Universal basic income ให้ทุกคนอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ต้องพิสูจน์ความจนกันอีกต่อไป” นายเซีย กล่าว