สวัสดีครับ ผมมีเรื่องจะเล่าและสารภาพกับทุกคน
ผมมีแฟนคนหนึ่งและอยู่กันมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว คบตั้งแต่มหาวิทยาลัยด้วยกัน แฟนผมมีหน้าที่การงานที่ดีเป็นชิ้นเป็นอัน แม้ในช่วงที่สภาพเศรษฐกิจและเหตุการณ์บ้านเมืองไม่ดีกระทบรายได้งานหลักของเทออย่างมาก แต่เทอก็สามารถปรับตัวได้เสมอโดยหางานอื่นเสริม ขยัน ดูแลทุกคนได้ดีไม่ตกบกพร่องเลย
แต่ในขณะที่ผมเองอยู่กับแฟนมา 10 ปีแล้ว มีแค่งานประจำหลักอยู่แค่งานเดียว ประเด็นของเรื่องคือเงินเดือนผมไม่พอที่จะเลี้ยงใคร หรือสร้างครอบครัวได้เลย ใช้จ่ายแบบเดือนชนเดือน ซ้ำยังขอเงินพ่อแม่อยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเงินค่าประกันต่าง ๆ ค่าไฟ เงินซื้อรถ เงินสำหรับซื้อโทรศัพท์ ค่าประกันชีวิตของตัวเอง เป็นต้น ผมก็ยังต้องขอให้พ่อแม่หรือคนอื่นๆช่วยเหลือค่าใช้จ่าย ผมก็ยอมรับความจริงว่าผมแย่มากในเรื่องนี้ เป็นปมและไม่เคยมีความภาคภูมิใจในชีวิต ผมไม่เคยมีความสุขที่เป็นแบบนี้ แต่ผมก็วนอยู่อย่างนี้มาตลอดตั้งแต่เริ่มทำงานครั้งแรก ได้รับความช่วยเหลือโดยตลอดมา ไม่เคยแก้ปัญหาอะไรเลย
ถามว่าผมเติบโตมาอย่างไร ผมยอมรับว่าตั้งแต่เด็กจนโตผมถูกตามใจมาตลอด ผมอยากได้อะไรพ่อแม่ผมก็ให้ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาคนในบ้านมักจะอวยผมและเวลาผมทำผิด ก็โทษว่าเป็นเพราะคนอื่น แม้แต่คุณครูก็เคยพูดถึงผมให้พ่อแม่ฟังว่าผมปากไม่ดี ไม่รู้กาลเทศะ ผมมักจะโดนเพื่อนๆกลั่นแกล้งเพราะผมปากไม่ดีและขี้อวด ผมชอบอวดเพราะรู้สึกเท่สูงส่ง ผมเคยโดนรุ่นพี่แบนผมเพราะความหยิ่งยโสและชอบดูถูกคนอื่น แม้ช่วงที่ผมทำงานที่แห่งหนึ่ง ด้วยการที่ผมไม่ฉลาดด้านอารมณ์ ไม่รู้จะวางตัวอย่างไร ไม่มีความอดทนใดๆ พ่อแม่ก็ยังปกป้องผมว่าไม่ได้เป็นเพราะผมไม่อดทน ผมไม่เคยมีความคิดว่าจะต้องเก็บเงิน เพราะผมต้องการเท่าไหร่บ้านผมก็มีให้ ผมไม่เคยทำงานบ้าน เพราะบ้านผมมีแม่บ้าน ผมไม่เคยช่วยพ่อแม่ทำงาน เพราะพ่อแม่บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ ผมใช้ชีวิตสบายๆเที่ยวเล่นไปวันๆ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ผมไม่เคยต้องวางแผนเพราะผมมีพ่อแม่ที่วางแผนให้ เพียงผมทำตามคำสั่งของพวกเค้า เวลาผมทำผิด ผมก็มีพ่อแม่มาเคลียร์ให้ ผมจึงไม่เคยต้องรับผิดชอบอะไรจริงๆ เพราะหากผมมีปัญหาแล้วไม่บอกพ่อแม่ พ่อแม่ผมจะโกรธผมด้วยซ้ำ แม้ขณะรถผมถูกเฉี่ยวชนผมจะเรียกประกันเอง แม่ผมยังหาว่าผมปีกกล้าขาแข็งไม่ให้พ่อแม่จัดการ แล้วเวลาผมไม่ชอบใครผมก็แค่เล่าเรื่องคนที่ผมไม่ชอบแบบบิดเบือนให้พ่อแม่ผมฟังจนผมเป็นคนดี แล้วพ่อแม่ผมก็เชื่อทุกอย่างที่ผมเล่าจนพ่อแม่ผมแอนตี้ตามผมไปด้วย พ่อแม่ผมไม่สนใจว่าผมจะทำงานได้เงินเท่าไหร่ จะดูแลตัวเองได้มั้ย เค้าขอแค่มีงานก็พอ แล้วถ้าไม่พอก็ให้มาขอ แต่ต้องเชื่อฟังทำตามคำสั่งทุกอย่าง ทุกวันนี้ผมก็ใช้เงินของเค้าซื้อทุกอย่างจนสุขสบายทั้งรถทั้งบ้าน ผมเริ่มค่อยๆรู้ตัวว่าผมที่เคยคิดว่าผมสูงส่งเป็นเทวดา ที่เคยคิดว่าครอบครัวผมเป็นตัวอย่าง เมื่อผมได้ออกไปเจออะไรมากมายนอกบ้าน ผมเริ่มรู้สึกว่าแท้จริงผมเป็นคนต่ำต้อยโดยแท้จริง ขณะที่เพื่อนๆผมมีชีวิตที่ดีขึ้น มีการงานการเงินที่หาด้วยตัวเอง ดูแลครอบครัวได้ มันทำให้ผมเริ่มรู้สึกกลัวใครจะถามถึงผม ผมอายที่จะตอบ ยิ่งโตขึ้นผมยิ่งกลัวเพราะผมค้นพบว่าผมไม่สามารถแก้ปัญหาในชีวิตจริงได้โดยลำพัง ผมไม่สามารถคิดวิเคราะห์อะไรได้ ผมมองคนไม่ออก อ่านหนังสือผมยังสรุปใจความยังไม่ได้เลย ผมไม่เคยต้องฝึกเพิ่มความสามารถอะไร ไม่มีสกิล ไม่มีความรู้ วางแผนไม่เป็น นี่เป็นเพียงคร่าวๆคับ
คราวนี้เข้าเรื่องครับ คือแฟนผมเค้ารับรู้เข้าใจผมทุกอย่าง เค้ามีความตั้งใจมากที่จะช่วย support ผม ปรับทัศนคติผม เพื่อไม่ให้ผมใช้ชีวิตแบบไม่มีความภาคภูมิใจแบบนี้ เพราะผมมักจะตัดพ้อชีวิต มักพูดแต่เรื่องความไม่เอาไหนของตัวเองตลอดเวลา คอยอิจฉาคนอื่นๆที่มีชีวิตดีกว่า แต่ผมก็ไม่เคยลุกขึ้นมาทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอยู่ดี แล้วผมก็ไม่ต้องการให้ใครพูดถึงผมไม่ดีเพราะผมยอมรับความจริงไม่ได้ ก็คงมีแค่แฟนผมที่รับฟังผมแล้วกระตือรือร้นที่จะหาทางช่วยผม แฟนผมมีความอดทนมาก พยายามแชร์แนวคิดต่างๆ ในเรื่องการบริหารเงิน แชร์ความรู้ แชร์ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เค้ารู้ ให้ผมได้รับรู้โดยตลอดโดยหวังว่าผมจะมีแรงบันดาลใจจะทำอะไรขึ้นมาบ้าง อาจจะเป็นไอเดียที่ดีให้กับผมได้ ซึ่งผมก็ทั้งฟังตามทันบ้าง ไม่ทันบ้าง แต่ส่วนใหญ่มักจะตามไม่ทัน เช่น เรื่องความรู้เรื่องการเงิน การลงทุน เทคโนโลยี ข่าวสารบ้านเมือง โดยนิสัยทุนเดิมผมเป็นพวกไม่สนใจอะไร ผมชอบโฟกัสในสิ่งที่ผมสนใจซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยจะมีสาระมากนัก แต่บางครั้งผมก็พยายามตั้งใจฟังนะ แบบเพ่งสมาธิมากๆ สีหน้าออกชัดเจน แต่ก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะตัวผมเองไม่รู้จักผ่อนคลายในการฟัง หรืออาจเพราะผมมักปิดใจเวลาที่ต้องฟังอะไรแบบนี้หรือเปล่า ผมก็ไม่แน่ใจ แล้วทุกครั้งที่ต้องฟังสิ่งมีสาระผมมักรู้สึกว่าทุกอย่างมันดูยากไปหมด
แฟนผมเค้าอยากให้ผมมีรายได้มากพอที่จะ cover ค่าใช้จ่ายในชีวิตของผม รวมถึงค่าใช้จ่ายมากพอที่จะสร้างครอบครัว สร้างอนาคตได้ เพราะผมบ่นเครียดเรื่องรายได้ ค่าใช้จ่ายที่มีมาก เงินที่ดูเหมือนจะติดลบทุกเดือน จนต้องใช้เงินเก่าและนับวันก็ลดลงไปจนใจหาย ผมเองปัจจุบันยังคงทำงานหลักเป็นตำแหน่งหนึ่งที่มีเกียรติ แต่รายได้ไม่สูงนัก รายได้ในสายงานที่ผมทำคือน้อยมาก การจะไต่ระดับในสายงานนี้ก็แลดูยากลำบาก ขยับรายได้ขึ้นก็ไม่ได้มาก แฟนผมเห็นปัญหาจึงแนะนำให้ผมลองหาอะไรใหม่ๆทำ ให้ผมลองเปิดใจกับสิ่งใหม่ๆ หาความรู้ช่องทางใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการหางานใหม่ทำ หรือจะอยู่ในสายงานเดิมแล้วหางานอื่นเสริมเพิ่ม อย่างไรก็ได้เค้ายินดีหมด ขอแค่ผมมีรายได้เพียงพอดูแลตัวเองให้ได้ ซึ่งก็เป็นคำแนะนำเดิมที่เคยบอกผมตั้งแต่ก่อนที่ผมจะทำงานในสายงานนี้ด้วยซ้ำ เพราะแฟนผมเค้ารู้แต่แรกแล้วว่าสายงานนี้ลำบาก งานมากแต่เงินน้อย คือสภาพชีวิตไม่ทรงก็ทรุด ดีก็คงดีไม่ได้มากไปกว่านี้ แต่แฟนผมก็ยอมให้ทำเพราะผมดื้อจะทำให้ได้ผมก็ยืนยันว่าเป็นสิ่งที่ผมชอบ แม้ว่าแฟนผมจะย้ำว่าไม่ควรสนใจแค่ความชอบอย่างเดียว อย่าลืมให้ความสำคัญเรื่องมีรายได้เพียงพอดูแลตัวเองให้ได้ด้วย แต่ตอนนั้นผมต่อต้าน ผมมองว่าเขาไม่มีสิทธิ์มาตัดสินใจในส่วนนี้ของผม ผมก็คิดแค่ผมชอบ ผมทำได้แค่อาชีพนี้เท่านั้น โดยที่ไม่สนใจว่าจะลำบาก จนดันทุรังทำตามใจมาหลายปีผมก็ได้รับผลของมันแล้ว
ตัวผมเองก็มีบางช่วงที่ไปลองหางานเสริมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ทันจะหาข้อมูลอะไรมากมาย ผมก็ชอบหาข้ออ้างมากมายเพื่อทำให้มันเป็นอุปสรรคที่ทำสิ่งนั้นนี้ไม่ได้ เช่น ทำงานสายงานนี้งานเยอะ ไม่มีเวลาทำอย่างอื่น อ้างว่าแม้กระทั่งเวลาออกกำลังกายยังไม่มี แต่ความจริงผมกลับมีเวลาให้กับสิ่งที่ผมชอบมันเป็นแค่คำกล่าวอ้าง
ผมเคยลองขายของออนไลน์ และรู้สึกไม่เวิร์ค ความจริงเป็นเพราะตัวผมเองไม่ไขว่คว้าอะไร ซื้อของมาขายมั่วๆ หวังเพียงร่ำรวย ผมไม่เคยติดตามโปรโมชั่นในแต่ละเดือน ไม่ศึกษาเทรนด์สินค้า ไม่ให้ความสำคัญหรือศึกษาอะไร ทำให้การขายของออนไลน์ล้มไม่เป็นท่า ขายไม่ได้เลยสักชิ้นแล้ว ก็ล้มเลิกไปในเวลาสั้นๆ
นอกจากนี้ผมก็ลองดูคลิป YouTube ลองหาอะไรดูไปเรื่อย ๆ เผื่อได้แนวคิดอะไรบ้าง
ผ่านไประยะเวลาหนึ่งจนมาวันนี้ ซึ่งแฟนผมก็ถามขึ้นมาว่าผมคิดได้รึยังว่าจะทำอะไรต่อจากนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้แฟนก็เคยแชร์คลิปการขายของในแพลตฟอร์มจีนแห่งหนึ่งซึ่งก็เป็นโอกาสที่ดีของสินค้าไทย จะศึกษาวิธีการเองดูก่อน หรือถ้าไม่ไหวจะผ่าน Agent ก็ได้ ผมก็ได้ดูคลิปนั้นคร่าวๆ ยังไม่ค่อยมีความรู้มากนัก แล้วผมก็ตอบเค้าแบบไม่คิดมากว่าเลือกจะผ่าน agent โดยที่ผมไม่ต้องศึกษาอะไรเอง แฟนผมมองว่าผมเป็นคนทำอะไรเอาง่าย ซึ่งเป็นเรื่องจริง เพราะผมไม่กล้าพยายามลองทำอะไรหรือศึกษาอะไรด้วยตัวเอง แต่แทนที่ผมจะสำนึก ผมกลับเห็นเค้าเป็นศัตรูทันทีที่คำพูดไม่เข้าหูผม
ต่อมาผมก็บอกว่าอยากทำธุรกิจแฟรนไชส์ แต่ไม่รู้ทำอะไร คิดไม่ออกว่าอันไหนสำเร็จ จะขายได้หรือเปล่า ความจริงผมก็พูดแบบนี้มาเป็นปีๆไม่ลงมือทำสักครั้ง แฟนผมเลยแนะนำว่าถ้าอยากลองทำ ให้ลองไปศึกษาจริงๆจังๆดูก่อนว่ามองเห็นอะไรที่น่าจะพอขายได้ รวบรวมข้อมูลมาก่อน แล้วเราค่อยมาคุยกันอีกทีก็ได้หลังจากที่ผมมีข้อมูลแล้ว ผมก็พูดแต่อยากทำมีแต่ความปรารถนาแต่ผมก็เหมือนเดิมคือยังไม่ทำอะไร พร้อมกับหาข้ออ้างมากมายว่าไม่มีเวลา แล้วผมก็คิดอีกว่าถ้าทำแฟรนไชส์ ผมก็ต้องเข้าไปเข้าอบรมอีกหลายวัน และจะต้องมีเวลาส่วนนึงที่จะต้องดูแลร้าน ผมจึงประชดแฟนว่าถ้าผมจะต้องทำผมก็ต้องลาออกอย่างเดียวสิ ใครจะลางานได้หลายวันขนาดนั้น มาตอนนี้ผมก็ยอมรับว่าผมมีนิสัยชอบประชด ชอบพูดจาเจ็บๆเพราะผมไม่อยากเจ็บคนเดียว แต่แฟนผมก็ใจเย็นบอกผมว่า ถ้าอยากทำจริงๆก็ควรหาวิธีการจัดการอุปสรรคให้ได้ เช่นอาจจะแลกเวร ลากิจ หรืออะไรก็ได้ให้ผ่านช่วงเวลาตรงนี้ไป อย่างไรก็ควรหาวิธีก่อนจะตัดทุกอย่างจบโดยง่าย แล้วจู่ๆผมก็สร้างเรื่องโกรธขึ้นมา ผมดันนึกถึงเมื่อก่อนที่แฟนผมเคยพูดว่าผมไม่น่าจะสามารถบริหารจัดการแฟรนไชส์ได้ ทั้งๆที่ตอนนั้นผมเองนี่แหละที่เป็นคนหาข้ออ้างสารพัดมาจนแฟนผมระอาใจและได้ข้อสรุปมาว่าไม่น่าจะทำได้ แต่ไม่รู้ทำไมผมมักจะนึกคิดหาเรื่องแบบนี้ทุกครั้ง แม้จะมีที่มาที่ไปของเหตุผลของคำพูดแต่ละคำ แต่ผมก็ไม่เลือกสนใจ คำไหนที่ไม่เข้าหูจี้ปมของผม ผมยอมรับให้ใครมาว่าผมไม่ได้
ผมจึงโกรธและประชดแฟนไปในวันนี้ว่า ที่ผมทำแฟรนไชส์ไม่ได้มันเป็นเพราะแฟนผมไม่รู้เงื่อนไขข้อจำกัดในตัวผม กับเนื้อหางานของผม ว่างานผมใช้เวลาค่อนข้างเยอะ (แต่ความจริงแฟนผมทำงานหลายอย่างมากกว่าผมเสียอีกแต่ผมก็เนียนไป โฟกัสที่ตัวเอง) ผมจะเอาเวลาไหนไปทำแฟรนไชส์ หรือดูแลธุรกิจแฟรนไชส์ แม้กระทั่งเวลาที่จะไปอบรมผมจะลาหลายวันได้อย่างไร และก็ประชดไปอีกว่า “ตอนนั้นเธอก็พูดกับเราเองว่าเราไม่น่าจะทำแฟรนไชส์ได้” จริงๆผมแค่กลัว ผมปกปิดปมตัวเองที่ต่ำต้อยไปเสียทุกด้าน ผมมักหาทางออกด้วยการคิดว่าเป็นเพราะแฟนผม ผมพาลใส่แฟนและโทษว่าเป็นเพราะเค้าแบบไม่ยั้งคิดอะไร ผมแค่ระบายอารมณ์ความรู้สึกของผมเท่านั้น ผมรับไม่ได้ที่ผมต่ำต้อยทางความรู้ ไม่มีความพยายาม ไม่มีความกล้าในการทำอะไร ผมกลัวเจ๊ง ผมไม่อยากให้ใครรู้ว่าผมไม่มีความสามารถไม่มีความมั่นใจมากพอในเรื่องของการบริหารจัดการร้าน และอื่น ๆ อีกมาก ผมคิดแค่นี้จริงๆแล้วผมก็เลยเอาทั้งหมดมาโทษว่าเป็นเพราะเค้า ตราหน้าว่าผมทำไม่ได้ เป็นเพราะเค้าที่ทำให้ผมรู้สึกตัวเองต่ำต้อย เค้ามีทุกอย่างจัดการได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องรบกวนผม แต่ในขณะที่ผมต้องพึ่งพาความรู้ความสามารถของเค้า ผมทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่าง ทุกอย่างที่ผมคิดที่ผมทำล้มไม่เป็นท่า เวลาผมจะทำอะไรสักอย่าง ผมก็ต้องให้คนอื่นมาสกรีนให้ว่าผมทำได้หรือเปล่า เวลาที่ผมได้ประโยชน์ผมก็ขอบคุณชื่นชมเค้าแหละครับ แต่เมื่อไหร่ที่ผมรู้สึกต่ำต้อยกว่าผมก็จะว่าเค้าเสียๆหายๆให้เค้าดูแย่ ผมมักอิจฉาแฟนผมตลอดเวลาที่เก่งหลายด้าน และผมก็จะชอบประชดให้เค้ารู้สึกเจ็บปวด ผมไม่ต้องการให้ใครมีความสุขขณะที่ผมเจ็บปวด
แฟนผมเข้าใจและบอกเสมอว่าผมไม่ใช่คู่แข่ง เราเป็นคนรัก เราคือคนๆเดียวกัน เราอย่าแข่งกันเลย แฟนผมบอกว่าความสามารถของเค้า เค้าจะใช้ช่วยเหลือผมอย่างเต็มที่เท่าที่เค้าจะทำได้ และบอกผมว่า จริง ๆ ถ้าแฟนผมเลือกช่วยทำให้ ก็ทำได้ แต่ผมจะภาคภูมิใจอะไร? สุดท้ายผมก็จะมาโทษพาลเกลียดคนอื่นที่ช่วยเหลืออีกใช่มั้ย? อีกอย่างงานเค้าเองก็ล้นมือไม่มีเวลามารับอะไรมากมายที่ผมโยนให้ เกิดทำได้ไม่กี่วันแล้วข้ออ้างมาก เค้าจะทำยังไง แฟนผมอยากให้ผมคิดได้และทำด้วยตัวเอง รู้จักรับผิดชอบ อยากจะทำอะไรก็คือบอก แต่ผมต้องเตรียมข้อมูลมาให้พร้อมนะ ต้องมั่นใจ ต้องวางแผนด้วยตนเองได้ เค้าขอให้ผมช่วยตั้งใจทำอะไรเองจริงๆสักที เค้ายินดีเป็นที่ปรึกษา หลังผมหาข้อมูลพร้อมเมื่อไหร่ผมกับเค้าค่อยมาพูดคุยกันอีกที
เพื่อน ๆ ทุกคนมีความคิดเห็นยังไงครับ รบกวนช่วยคอมเม้นตามสภาพได้เลยครับ
ผมมีแฟนคนหนึ่งและอยู่กันมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว คบตั้งแต่มหาวิทยาลัยด้วยกัน แฟนผมมีหน้าที่การงานที่ดีเป็นชิ้นเป็นอัน แม้ในช่วงที่สภาพเศรษฐกิจและเหตุการณ์บ้านเมืองไม่ดีกระทบรายได้งานหลักของเทออย่างมาก แต่เทอก็สามารถปรับตัวได้เสมอโดยหางานอื่นเสริม ขยัน ดูแลทุกคนได้ดีไม่ตกบกพร่องเลย
แต่ในขณะที่ผมเองอยู่กับแฟนมา 10 ปีแล้ว มีแค่งานประจำหลักอยู่แค่งานเดียว ประเด็นของเรื่องคือเงินเดือนผมไม่พอที่จะเลี้ยงใคร หรือสร้างครอบครัวได้เลย ใช้จ่ายแบบเดือนชนเดือน ซ้ำยังขอเงินพ่อแม่อยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเงินค่าประกันต่าง ๆ ค่าไฟ เงินซื้อรถ เงินสำหรับซื้อโทรศัพท์ ค่าประกันชีวิตของตัวเอง เป็นต้น ผมก็ยังต้องขอให้พ่อแม่หรือคนอื่นๆช่วยเหลือค่าใช้จ่าย ผมก็ยอมรับความจริงว่าผมแย่มากในเรื่องนี้ เป็นปมและไม่เคยมีความภาคภูมิใจในชีวิต ผมไม่เคยมีความสุขที่เป็นแบบนี้ แต่ผมก็วนอยู่อย่างนี้มาตลอดตั้งแต่เริ่มทำงานครั้งแรก ได้รับความช่วยเหลือโดยตลอดมา ไม่เคยแก้ปัญหาอะไรเลย
ถามว่าผมเติบโตมาอย่างไร ผมยอมรับว่าตั้งแต่เด็กจนโตผมถูกตามใจมาตลอด ผมอยากได้อะไรพ่อแม่ผมก็ให้ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาคนในบ้านมักจะอวยผมและเวลาผมทำผิด ก็โทษว่าเป็นเพราะคนอื่น แม้แต่คุณครูก็เคยพูดถึงผมให้พ่อแม่ฟังว่าผมปากไม่ดี ไม่รู้กาลเทศะ ผมมักจะโดนเพื่อนๆกลั่นแกล้งเพราะผมปากไม่ดีและขี้อวด ผมชอบอวดเพราะรู้สึกเท่สูงส่ง ผมเคยโดนรุ่นพี่แบนผมเพราะความหยิ่งยโสและชอบดูถูกคนอื่น แม้ช่วงที่ผมทำงานที่แห่งหนึ่ง ด้วยการที่ผมไม่ฉลาดด้านอารมณ์ ไม่รู้จะวางตัวอย่างไร ไม่มีความอดทนใดๆ พ่อแม่ก็ยังปกป้องผมว่าไม่ได้เป็นเพราะผมไม่อดทน ผมไม่เคยมีความคิดว่าจะต้องเก็บเงิน เพราะผมต้องการเท่าไหร่บ้านผมก็มีให้ ผมไม่เคยทำงานบ้าน เพราะบ้านผมมีแม่บ้าน ผมไม่เคยช่วยพ่อแม่ทำงาน เพราะพ่อแม่บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ ผมใช้ชีวิตสบายๆเที่ยวเล่นไปวันๆ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ผมไม่เคยต้องวางแผนเพราะผมมีพ่อแม่ที่วางแผนให้ เพียงผมทำตามคำสั่งของพวกเค้า เวลาผมทำผิด ผมก็มีพ่อแม่มาเคลียร์ให้ ผมจึงไม่เคยต้องรับผิดชอบอะไรจริงๆ เพราะหากผมมีปัญหาแล้วไม่บอกพ่อแม่ พ่อแม่ผมจะโกรธผมด้วยซ้ำ แม้ขณะรถผมถูกเฉี่ยวชนผมจะเรียกประกันเอง แม่ผมยังหาว่าผมปีกกล้าขาแข็งไม่ให้พ่อแม่จัดการ แล้วเวลาผมไม่ชอบใครผมก็แค่เล่าเรื่องคนที่ผมไม่ชอบแบบบิดเบือนให้พ่อแม่ผมฟังจนผมเป็นคนดี แล้วพ่อแม่ผมก็เชื่อทุกอย่างที่ผมเล่าจนพ่อแม่ผมแอนตี้ตามผมไปด้วย พ่อแม่ผมไม่สนใจว่าผมจะทำงานได้เงินเท่าไหร่ จะดูแลตัวเองได้มั้ย เค้าขอแค่มีงานก็พอ แล้วถ้าไม่พอก็ให้มาขอ แต่ต้องเชื่อฟังทำตามคำสั่งทุกอย่าง ทุกวันนี้ผมก็ใช้เงินของเค้าซื้อทุกอย่างจนสุขสบายทั้งรถทั้งบ้าน ผมเริ่มค่อยๆรู้ตัวว่าผมที่เคยคิดว่าผมสูงส่งเป็นเทวดา ที่เคยคิดว่าครอบครัวผมเป็นตัวอย่าง เมื่อผมได้ออกไปเจออะไรมากมายนอกบ้าน ผมเริ่มรู้สึกว่าแท้จริงผมเป็นคนต่ำต้อยโดยแท้จริง ขณะที่เพื่อนๆผมมีชีวิตที่ดีขึ้น มีการงานการเงินที่หาด้วยตัวเอง ดูแลครอบครัวได้ มันทำให้ผมเริ่มรู้สึกกลัวใครจะถามถึงผม ผมอายที่จะตอบ ยิ่งโตขึ้นผมยิ่งกลัวเพราะผมค้นพบว่าผมไม่สามารถแก้ปัญหาในชีวิตจริงได้โดยลำพัง ผมไม่สามารถคิดวิเคราะห์อะไรได้ ผมมองคนไม่ออก อ่านหนังสือผมยังสรุปใจความยังไม่ได้เลย ผมไม่เคยต้องฝึกเพิ่มความสามารถอะไร ไม่มีสกิล ไม่มีความรู้ วางแผนไม่เป็น นี่เป็นเพียงคร่าวๆคับ
คราวนี้เข้าเรื่องครับ คือแฟนผมเค้ารับรู้เข้าใจผมทุกอย่าง เค้ามีความตั้งใจมากที่จะช่วย support ผม ปรับทัศนคติผม เพื่อไม่ให้ผมใช้ชีวิตแบบไม่มีความภาคภูมิใจแบบนี้ เพราะผมมักจะตัดพ้อชีวิต มักพูดแต่เรื่องความไม่เอาไหนของตัวเองตลอดเวลา คอยอิจฉาคนอื่นๆที่มีชีวิตดีกว่า แต่ผมก็ไม่เคยลุกขึ้นมาทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอยู่ดี แล้วผมก็ไม่ต้องการให้ใครพูดถึงผมไม่ดีเพราะผมยอมรับความจริงไม่ได้ ก็คงมีแค่แฟนผมที่รับฟังผมแล้วกระตือรือร้นที่จะหาทางช่วยผม แฟนผมมีความอดทนมาก พยายามแชร์แนวคิดต่างๆ ในเรื่องการบริหารเงิน แชร์ความรู้ แชร์ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เค้ารู้ ให้ผมได้รับรู้โดยตลอดโดยหวังว่าผมจะมีแรงบันดาลใจจะทำอะไรขึ้นมาบ้าง อาจจะเป็นไอเดียที่ดีให้กับผมได้ ซึ่งผมก็ทั้งฟังตามทันบ้าง ไม่ทันบ้าง แต่ส่วนใหญ่มักจะตามไม่ทัน เช่น เรื่องความรู้เรื่องการเงิน การลงทุน เทคโนโลยี ข่าวสารบ้านเมือง โดยนิสัยทุนเดิมผมเป็นพวกไม่สนใจอะไร ผมชอบโฟกัสในสิ่งที่ผมสนใจซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยจะมีสาระมากนัก แต่บางครั้งผมก็พยายามตั้งใจฟังนะ แบบเพ่งสมาธิมากๆ สีหน้าออกชัดเจน แต่ก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะตัวผมเองไม่รู้จักผ่อนคลายในการฟัง หรืออาจเพราะผมมักปิดใจเวลาที่ต้องฟังอะไรแบบนี้หรือเปล่า ผมก็ไม่แน่ใจ แล้วทุกครั้งที่ต้องฟังสิ่งมีสาระผมมักรู้สึกว่าทุกอย่างมันดูยากไปหมด
แฟนผมเค้าอยากให้ผมมีรายได้มากพอที่จะ cover ค่าใช้จ่ายในชีวิตของผม รวมถึงค่าใช้จ่ายมากพอที่จะสร้างครอบครัว สร้างอนาคตได้ เพราะผมบ่นเครียดเรื่องรายได้ ค่าใช้จ่ายที่มีมาก เงินที่ดูเหมือนจะติดลบทุกเดือน จนต้องใช้เงินเก่าและนับวันก็ลดลงไปจนใจหาย ผมเองปัจจุบันยังคงทำงานหลักเป็นตำแหน่งหนึ่งที่มีเกียรติ แต่รายได้ไม่สูงนัก รายได้ในสายงานที่ผมทำคือน้อยมาก การจะไต่ระดับในสายงานนี้ก็แลดูยากลำบาก ขยับรายได้ขึ้นก็ไม่ได้มาก แฟนผมเห็นปัญหาจึงแนะนำให้ผมลองหาอะไรใหม่ๆทำ ให้ผมลองเปิดใจกับสิ่งใหม่ๆ หาความรู้ช่องทางใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการหางานใหม่ทำ หรือจะอยู่ในสายงานเดิมแล้วหางานอื่นเสริมเพิ่ม อย่างไรก็ได้เค้ายินดีหมด ขอแค่ผมมีรายได้เพียงพอดูแลตัวเองให้ได้ ซึ่งก็เป็นคำแนะนำเดิมที่เคยบอกผมตั้งแต่ก่อนที่ผมจะทำงานในสายงานนี้ด้วยซ้ำ เพราะแฟนผมเค้ารู้แต่แรกแล้วว่าสายงานนี้ลำบาก งานมากแต่เงินน้อย คือสภาพชีวิตไม่ทรงก็ทรุด ดีก็คงดีไม่ได้มากไปกว่านี้ แต่แฟนผมก็ยอมให้ทำเพราะผมดื้อจะทำให้ได้ผมก็ยืนยันว่าเป็นสิ่งที่ผมชอบ แม้ว่าแฟนผมจะย้ำว่าไม่ควรสนใจแค่ความชอบอย่างเดียว อย่าลืมให้ความสำคัญเรื่องมีรายได้เพียงพอดูแลตัวเองให้ได้ด้วย แต่ตอนนั้นผมต่อต้าน ผมมองว่าเขาไม่มีสิทธิ์มาตัดสินใจในส่วนนี้ของผม ผมก็คิดแค่ผมชอบ ผมทำได้แค่อาชีพนี้เท่านั้น โดยที่ไม่สนใจว่าจะลำบาก จนดันทุรังทำตามใจมาหลายปีผมก็ได้รับผลของมันแล้ว
ตัวผมเองก็มีบางช่วงที่ไปลองหางานเสริมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ทันจะหาข้อมูลอะไรมากมาย ผมก็ชอบหาข้ออ้างมากมายเพื่อทำให้มันเป็นอุปสรรคที่ทำสิ่งนั้นนี้ไม่ได้ เช่น ทำงานสายงานนี้งานเยอะ ไม่มีเวลาทำอย่างอื่น อ้างว่าแม้กระทั่งเวลาออกกำลังกายยังไม่มี แต่ความจริงผมกลับมีเวลาให้กับสิ่งที่ผมชอบมันเป็นแค่คำกล่าวอ้าง
ผมเคยลองขายของออนไลน์ และรู้สึกไม่เวิร์ค ความจริงเป็นเพราะตัวผมเองไม่ไขว่คว้าอะไร ซื้อของมาขายมั่วๆ หวังเพียงร่ำรวย ผมไม่เคยติดตามโปรโมชั่นในแต่ละเดือน ไม่ศึกษาเทรนด์สินค้า ไม่ให้ความสำคัญหรือศึกษาอะไร ทำให้การขายของออนไลน์ล้มไม่เป็นท่า ขายไม่ได้เลยสักชิ้นแล้ว ก็ล้มเลิกไปในเวลาสั้นๆ
นอกจากนี้ผมก็ลองดูคลิป YouTube ลองหาอะไรดูไปเรื่อย ๆ เผื่อได้แนวคิดอะไรบ้าง
ผ่านไประยะเวลาหนึ่งจนมาวันนี้ ซึ่งแฟนผมก็ถามขึ้นมาว่าผมคิดได้รึยังว่าจะทำอะไรต่อจากนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้แฟนก็เคยแชร์คลิปการขายของในแพลตฟอร์มจีนแห่งหนึ่งซึ่งก็เป็นโอกาสที่ดีของสินค้าไทย จะศึกษาวิธีการเองดูก่อน หรือถ้าไม่ไหวจะผ่าน Agent ก็ได้ ผมก็ได้ดูคลิปนั้นคร่าวๆ ยังไม่ค่อยมีความรู้มากนัก แล้วผมก็ตอบเค้าแบบไม่คิดมากว่าเลือกจะผ่าน agent โดยที่ผมไม่ต้องศึกษาอะไรเอง แฟนผมมองว่าผมเป็นคนทำอะไรเอาง่าย ซึ่งเป็นเรื่องจริง เพราะผมไม่กล้าพยายามลองทำอะไรหรือศึกษาอะไรด้วยตัวเอง แต่แทนที่ผมจะสำนึก ผมกลับเห็นเค้าเป็นศัตรูทันทีที่คำพูดไม่เข้าหูผม
ต่อมาผมก็บอกว่าอยากทำธุรกิจแฟรนไชส์ แต่ไม่รู้ทำอะไร คิดไม่ออกว่าอันไหนสำเร็จ จะขายได้หรือเปล่า ความจริงผมก็พูดแบบนี้มาเป็นปีๆไม่ลงมือทำสักครั้ง แฟนผมเลยแนะนำว่าถ้าอยากลองทำ ให้ลองไปศึกษาจริงๆจังๆดูก่อนว่ามองเห็นอะไรที่น่าจะพอขายได้ รวบรวมข้อมูลมาก่อน แล้วเราค่อยมาคุยกันอีกทีก็ได้หลังจากที่ผมมีข้อมูลแล้ว ผมก็พูดแต่อยากทำมีแต่ความปรารถนาแต่ผมก็เหมือนเดิมคือยังไม่ทำอะไร พร้อมกับหาข้ออ้างมากมายว่าไม่มีเวลา แล้วผมก็คิดอีกว่าถ้าทำแฟรนไชส์ ผมก็ต้องเข้าไปเข้าอบรมอีกหลายวัน และจะต้องมีเวลาส่วนนึงที่จะต้องดูแลร้าน ผมจึงประชดแฟนว่าถ้าผมจะต้องทำผมก็ต้องลาออกอย่างเดียวสิ ใครจะลางานได้หลายวันขนาดนั้น มาตอนนี้ผมก็ยอมรับว่าผมมีนิสัยชอบประชด ชอบพูดจาเจ็บๆเพราะผมไม่อยากเจ็บคนเดียว แต่แฟนผมก็ใจเย็นบอกผมว่า ถ้าอยากทำจริงๆก็ควรหาวิธีการจัดการอุปสรรคให้ได้ เช่นอาจจะแลกเวร ลากิจ หรืออะไรก็ได้ให้ผ่านช่วงเวลาตรงนี้ไป อย่างไรก็ควรหาวิธีก่อนจะตัดทุกอย่างจบโดยง่าย แล้วจู่ๆผมก็สร้างเรื่องโกรธขึ้นมา ผมดันนึกถึงเมื่อก่อนที่แฟนผมเคยพูดว่าผมไม่น่าจะสามารถบริหารจัดการแฟรนไชส์ได้ ทั้งๆที่ตอนนั้นผมเองนี่แหละที่เป็นคนหาข้ออ้างสารพัดมาจนแฟนผมระอาใจและได้ข้อสรุปมาว่าไม่น่าจะทำได้ แต่ไม่รู้ทำไมผมมักจะนึกคิดหาเรื่องแบบนี้ทุกครั้ง แม้จะมีที่มาที่ไปของเหตุผลของคำพูดแต่ละคำ แต่ผมก็ไม่เลือกสนใจ คำไหนที่ไม่เข้าหูจี้ปมของผม ผมยอมรับให้ใครมาว่าผมไม่ได้
ผมจึงโกรธและประชดแฟนไปในวันนี้ว่า ที่ผมทำแฟรนไชส์ไม่ได้มันเป็นเพราะแฟนผมไม่รู้เงื่อนไขข้อจำกัดในตัวผม กับเนื้อหางานของผม ว่างานผมใช้เวลาค่อนข้างเยอะ (แต่ความจริงแฟนผมทำงานหลายอย่างมากกว่าผมเสียอีกแต่ผมก็เนียนไป โฟกัสที่ตัวเอง) ผมจะเอาเวลาไหนไปทำแฟรนไชส์ หรือดูแลธุรกิจแฟรนไชส์ แม้กระทั่งเวลาที่จะไปอบรมผมจะลาหลายวันได้อย่างไร และก็ประชดไปอีกว่า “ตอนนั้นเธอก็พูดกับเราเองว่าเราไม่น่าจะทำแฟรนไชส์ได้” จริงๆผมแค่กลัว ผมปกปิดปมตัวเองที่ต่ำต้อยไปเสียทุกด้าน ผมมักหาทางออกด้วยการคิดว่าเป็นเพราะแฟนผม ผมพาลใส่แฟนและโทษว่าเป็นเพราะเค้าแบบไม่ยั้งคิดอะไร ผมแค่ระบายอารมณ์ความรู้สึกของผมเท่านั้น ผมรับไม่ได้ที่ผมต่ำต้อยทางความรู้ ไม่มีความพยายาม ไม่มีความกล้าในการทำอะไร ผมกลัวเจ๊ง ผมไม่อยากให้ใครรู้ว่าผมไม่มีความสามารถไม่มีความมั่นใจมากพอในเรื่องของการบริหารจัดการร้าน และอื่น ๆ อีกมาก ผมคิดแค่นี้จริงๆแล้วผมก็เลยเอาทั้งหมดมาโทษว่าเป็นเพราะเค้า ตราหน้าว่าผมทำไม่ได้ เป็นเพราะเค้าที่ทำให้ผมรู้สึกตัวเองต่ำต้อย เค้ามีทุกอย่างจัดการได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องรบกวนผม แต่ในขณะที่ผมต้องพึ่งพาความรู้ความสามารถของเค้า ผมทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่าง ทุกอย่างที่ผมคิดที่ผมทำล้มไม่เป็นท่า เวลาผมจะทำอะไรสักอย่าง ผมก็ต้องให้คนอื่นมาสกรีนให้ว่าผมทำได้หรือเปล่า เวลาที่ผมได้ประโยชน์ผมก็ขอบคุณชื่นชมเค้าแหละครับ แต่เมื่อไหร่ที่ผมรู้สึกต่ำต้อยกว่าผมก็จะว่าเค้าเสียๆหายๆให้เค้าดูแย่ ผมมักอิจฉาแฟนผมตลอดเวลาที่เก่งหลายด้าน และผมก็จะชอบประชดให้เค้ารู้สึกเจ็บปวด ผมไม่ต้องการให้ใครมีความสุขขณะที่ผมเจ็บปวด
แฟนผมเข้าใจและบอกเสมอว่าผมไม่ใช่คู่แข่ง เราเป็นคนรัก เราคือคนๆเดียวกัน เราอย่าแข่งกันเลย แฟนผมบอกว่าความสามารถของเค้า เค้าจะใช้ช่วยเหลือผมอย่างเต็มที่เท่าที่เค้าจะทำได้ และบอกผมว่า จริง ๆ ถ้าแฟนผมเลือกช่วยทำให้ ก็ทำได้ แต่ผมจะภาคภูมิใจอะไร? สุดท้ายผมก็จะมาโทษพาลเกลียดคนอื่นที่ช่วยเหลืออีกใช่มั้ย? อีกอย่างงานเค้าเองก็ล้นมือไม่มีเวลามารับอะไรมากมายที่ผมโยนให้ เกิดทำได้ไม่กี่วันแล้วข้ออ้างมาก เค้าจะทำยังไง แฟนผมอยากให้ผมคิดได้และทำด้วยตัวเอง รู้จักรับผิดชอบ อยากจะทำอะไรก็คือบอก แต่ผมต้องเตรียมข้อมูลมาให้พร้อมนะ ต้องมั่นใจ ต้องวางแผนด้วยตนเองได้ เค้าขอให้ผมช่วยตั้งใจทำอะไรเองจริงๆสักที เค้ายินดีเป็นที่ปรึกษา หลังผมหาข้อมูลพร้อมเมื่อไหร่ผมกับเค้าค่อยมาพูดคุยกันอีกที