นี่ก็แว่บมาเขียนตอนพักกลางวัน
Again เขียนสั้น ๆ เป็นช่วง ๆ นะคะ
ตั้งหัวกระทู้ว่า “อยู่กันอย่างไรให้ยืด ?” ฟังดูแล้วก็ชวนหมั่นไส้นะคะ
ราวกับว่า “แหม...หล่อน จะขึ้นธรรมาสน์มาสั่งสอนผู้คน ชีวิตแต่งงานของหล่อนน่ะมันกี่ปี ?”
คิดได้ดังนั้นแล้ว เลยต้องรีบมาต่อหัวกระทู้ว่า “แล้วการอยู่กันยืดนี่มันดีจริงหรือ ? “
ความยืนยาวของการแต่งงาน --- หัวข้อนี้ ถ้าจะให้พูดตรง ๆ ก็ต้องบอกว่าแล้วแต่ค่านิยมของแต่ละสมัยนะคะ
เคยอ่านบทความของคนรุ่นน้า รุ่นอา (ตอนนี้ ท่านเหล่านี้ก็อายุสักประมาณ 80 กันแล้ว) ท่านบอกว่า ตอนได้ข่าวว่า ญาติผู้หญิงคนหนึ่งหย่าขาดจากสามี ตกใจมาก เพราะไม่คิดว่า จะเกิดสิ่งนี้ขึ้น
ส่วนตอนนี้น่ะหรือคะ ? ลองหาจาก google ดูพบว่า อัตราการหย่าร้าง (ยึดเอาจากทะเบียนสมรสเป็นหลักนะคะ ไม่นับคู่ที่อยู่ด้วยกันเฉย ๆ ) สูงถึง 50%
แปลว่า ความยืนยาวของชีวิตคู่อาจจะไม่ใช่โฟกัสหลักของผู้คนอีกต่อไปแล้ว
คนทั่วไปมองเรื่องการตอบโจทย์ชีวิตที่ตัวเองต้องการมากกว่าการพยายามรักษาพันธะสมรส และการรักษาสมดุลย์ความสุขของตัวเองเอาไว้
ณ ปัจจุบัน เราอยู่ในสมัยที่หญิงชายเริ่มมีสิทธิเท่าเทียมกันมากขึ้น เราสามารถพูดถึงความสุข และการต้องการอยู่อย่างมีความสุขได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิดเหมือนสมัยโบราณ
คนยุคก่อนอาจจะมองว่า คนสมัยใหม่ไม่ค่อยอดทน
แต่คนสมัยใหม่อาจจะย้อนถามกลับไปเช่นกันว่า
“คำว่าอดทน ควรจะใช้กับสถานการณ์ไหนบ้าง และในสถานการณ์ไหนที่เราควรเลิกจมปลักชีวิตกับคำว่าอดทน และคำว่าอดทนควรอดทนแค่ไหน และอดทนเรื่องอะไร”
สำหรับชีวิตคู่
ถ้าเราเลือกแล้วที่จะตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ จะดีกว่าไหม ถ้าเราจะสามารถอยู่กันได้อย่างมีความสุข ราบรื่น เกื้อกูลแบ่งปัน และเติบโตไปด้วยกันได้ในทุกมิติ ทั้งเรื่องฐานะการเงิน การพัฒนาด้านความคิดอ่าน และมิติทางจิตวิญญาณ ?
เอาจริง ๆ แม้ว่า การดึงดูดภายนอก เช่น หน้าตา รูปร่าง การแต่งตัว การพูดจา เสน่ห์ความสามารถบางอย่างจะเป็นด่านแรกของการเริ่มทำความรู้จัก แต่ลำดับขั้นต่อไปของความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนคือ ความสมประโยชน์ และความสามารถที่จะเมตตาต่อกันได้
มูลเหตุที่อยากเขียนเรื่อง “ความเมตตาต่อกัน” ก็เพราะได้อ่านบทความนี้ของพศิน อินทรวงศ์ เป็นบทความที่พิสุทธิ์หมดจดงดงามมาก
แต่ธาราสินธุ์นี่ยังไม่ละเอียดใสถึงขั้นนั้น ก็ขออนุญาตแชร์มุมมองตัวเองและเล่าสิ่งที่เห็นมาว่า อะไรทำให้ชีวิตคู่อยู่ได้ยั่งยืน (และมีความสุขพอควร)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้พศิน อินทรวงค์
20 ข้อคิดว่าด้วย…ความรัก
พศิน อินทรวงค์
1. ความรักมีหลายนิยาม แต่ตัวตนที่แท้จริงของความรักคือความเมตตา ความเมตตาและความรักเป็นสิ่งเดียวกัน
2. ถ้าท่านรักใคร ท่านจะคิดถึงตนเองน้อยลง ความสุขของท่านย่อมเกิดจากการเห็นคนรักมีความสุข รักทำให้คนธรรมดารู้จักคำว่าเสียสละ
3. ความรักไม่มีเหตุผล เพราะเหตุผลของมันคือการอยู่เหนือเหตุผล รักไม่มีสูตรสำเร็จ ผู้ใดอ้างว่ารู้สูตรสำเร็จ ผู้นั้นคือผู้ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับความรัก
4. ความหลง อารมณ์ทางเพศ ความยึดมั่นถือมั่น กิเลสสามประการ คือผู้ประหารความรักให้หมดสิ้น
5. คู่รักมากมายเรียกหาความเข้าใจจากอีกฝ่าย ขณะที่เขากำลังพูดว่า “ทำไมเธอไม่เข้าใจฉัน” อีกฝ่ายก็กำลังคิดเหมือนกัน
6. ช่วงตกหลุมรัก ยังไม่นับว่าเป็นความรัก มันยังเร็วเกินไป ท่านต้องข้ามผ่านความต้องการทางเพศ ข้ามผ่านช่วงเวลาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ช่วงเวลาเหล่านั้นคือช่วงเวลาแห่งความมึนเมา มันคือความรักแบบสัตว์โลก รักแท้จะเกิดต่อเมื่อท่านได้สติแล้วเท่านั้น เมื่อได้สติ ท่านจะเห็นความไม่สวยงามของคนที่ท่านรัก แรกเริ่มท่านอาจไม่พอใจ อึดอัด แม้ข้ามผ่านความไม่พอใจไปสู่การยอมรับ ยินดี และเบิกบาน รักแท้จะรออยู่ตรงนั้น
7. คำพูดหวานหู การโอบกอด คำมั่นสัญญา พิธีวิวาห์ และทะเบียนสมรส สิ่งเหล่านี้ไม่ได้พิสูจน์อะไรเลยเกี่ยวกับความรัก เพียงการันตีว่าทั้งคู่มีความหลงใหลในกันและกัน ยังต้องผ่านบททดสอบอีกมาก จึงยืนยันได้ว่า ทั้งคู่ได้ถึงดินแดนแห่งความรักแล้ว หนุ่มสาวหลายคู่กระทำสิ่งเหล่านี้ร่วมกันโดยมิได้รักกัน หรือเพียงเข้าใจผิดว่ารักกันเท่านั้นเอง
8. เมื่อท่านรักใครอย่างแท้จริง รูปกายภายนอก เป็นเพียงหีบห่อ สิ่งล้ำค่าอยู่ภายใน ท่านจะสัมผัสกระแสแห่งความเป็นเขาจากวิญญาณของเขา ไม่ใช่เพียงน้ำเสียงหรือใบหน้าของเขา
9. ความลำบาก และความทุกข์เจียระไนความรักให้งดงาม รักแท้ย่อมเปล่งประกายเป็นพิเศษในยามมืดมน แม้รักถูกทำลายเพียงเพราะความทุกข์ยาก นั่นก็ไม่ใช่เพชรแห่งรักแล้วตั้งแต่แรก
10. รักแท้ทำให้ท่านอยากลดละความชั่วช้าของตน เมื่อรักใครสักคนอยากแท้จริง ท่านย่อมปรารถนาเป็นคนที่ดียิ่งขึ้น ในทางตรงกันข้าม ถ้านั่นคือความหลงใหล แม้ท่านได้เชยชมสมใจ มนต์ตราแห่งความหลงย่อมเสื่อมคลาย ยิ่งความสัมพันธ์เนิ่นนาน ความเห็นแก่ตัวยิ่งทับถมทวีคูณ
11. ความคิดถึงเป็นส่วนหนึ่งของความรัก โปรดอย่าเข้าใจผิดว่าความคิดถึงคือความโหยหา ความโหยหาเกิดแต่ราคะและเพศสัมผัส ส่วนความคิดถึงเกิดจากความอาทรห่วงใย
12. เมื่อท่านรักใครสักคน การครอบครองย่อมไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด ท่านอาจไม่ได้อยู่เคียงกัน ทว่ารักยังไม่ตาย แม้รักสูญสิ้นเมื่อสิ้นการครอบครอง นั่นก็หมายความว่า ท่านยังมิได้รักเขา เพียงเข้าใจผิดว่าท่านรักเขา เขาเป็นเพียงวัตถุที่ท่านต้องการตีตราเท่านั้นเอง
13. การค้นพบรักแท้คือการปฏิบัติธรรม มันไม่ต่างอะไรกันเลย เพราะรักทำให้เราทั้งหลายเรียนรู้ที่จะอุทิศตนเพื่อความสุขของผู้อื่น ท่านกำลังเข้าถึงจิตแห่งโพธิสัตว์ เริ่มจากจุดนี้ แล้วแผ่ขยายความรักออกไปให้เพื่อนมนุษย์ทั้งผอง
14. ในชีวิตคู่ สามีหรือภรรยาของท่าน อาจไม่ได้ให้ความรักกับท่านเท่าที่ควร แต่มันไม่สำคัญอะไร ดีเสียอีก เพราะท่านจะได้เป็นผู้ให้ แม้ท่านคิดว่าสิ่งนี้คือหัวใจสำคัญ สิ่งที่ท่านเรียกว่าความรัก ก็ยังมิใช่ความรัก
15. ความรักที่อบอุ่นคือความรักของพ่อแม่ ความรักที่บริสุทธิ์คือความรักของศาสดา ความรักที่เร่าร้อนรุนแรงคือความรักของหนุ่มสาว เมื่อท่านพบใครสักคนที่ท่านพอใจ โปรดลดความเร่าร้อนรุนแรง แล้วเติมเต็มความสัมพันธ์ด้วยความบริสุทธิ์อันอบอุ่น
16. เมื่อท่านรักใคร ท่านย่อมรักทั้งอดีต และปัจจุบันของเขา ความรักทำให้ท่านไม่ติดค้าง เพราะอดีตคือส่วนหนึ่งที่หล่อหลอมให้เขาเป็นเขาอย่างที่ท่านรัก
17. น่าใจหายที่โลกนี้หารักแท้ได้ยาก เพราะผู้คนได้แต่เรียกหาความรัก โดยที่ยังไม่ได้ลดละความเห็นแก่ตัว อย่าตามหารักแท้ เพราะท่านจะไม่มีวันได้พบรักแท้ รักแท้ตามหาที่ใดมิได้ นอกจากใจของตนเอง ผู้ให้ความรักเท่านั้นที่จะพานพบความรักที่แท้จริง
18. การค้นพบรักแท้ในจิตใจของตนเอง คือสุคติภูมิของผู้ยังมีชีวิต แม้ท่านคิดถึงความรู้สึกนี้ก่อนสิ้นลม คิดคำนึงในความเมตตาอันบริสุทธิ์ สรวงสวรรค์ย่อมรอท่านอยู่หลังความตาย
19. ท่านมิอาจห้ามรอยยิ้มได้เมื่อนึกถึงความรัก เมื่อท่านอ่อนแอ รักก็ทำให้ท่านเข้มแข็ง ผู้หญิงขี้กลัวคนหนึ่งกลายเป็นแม่ผู้กล้าหาญ ชายหนุ่มผู้เหลวไหล ลุกขึ้นมุ่งมั่นขยันขันแข็ง รักให้กำเนิดสิ่งดีงามมากมาย มีเพียงรักเท่านั้นงดงามกว่าดอกไม้
20. ชีวิตหนึ่งที่เกิดมา
ขอท่านจงรักใครสักคน
ด้วยความเมตตาอย่างแท้จริง
1. ดิฉันเคยเขียนในกระทู้นี้ว่า
https://ppantip.com/topic/41568052
“ชีวิตคู่ที่ดีอยู่ด้วยความสมประโยชน์” ถึงตอนนี้ ก็ยังยืนยันแบบนั้นอยู่ค่ะ
เวลาพิจารณาถึงความสมประโยชน์ ให้ฟังเสียงในหัวใจคุณ และสถานการณ์จริง ๆ ของคุณนะคะ ไม่ต้องไปฟังคำแนะนำหรือคำวิจารณ์ของพวกหวังดีแบบไม่รู้สี่รู้แปด ที่ไม่ได้มาใช้ชีวิตร่วมกับคุณ
เรื่องชีวิตคู่ คุณอาจจะฟัง feedback จากครอบครัว พ่อ แม่ หรือเพื่อนก็ได้นะคะ
แต่ท้ายที่สุด อย่าลืมว่า มันคือชีวิตคุณเอง
เรามักจะได้ยินคำวิจารณ์เยอะแยะ
ประเภท ที่สามีทำงานงก ๆ อยู่คนเดียว ภรรยาเป็นแม่บ้านเฉย ๆ
ภรรยาเป็นแม่ม่ายลูกติด แต่งงานมาแล้ว 2 ครั้ง
สามีไม่หล่อ แต่ภรรยาสวย
หรือกระทั่ง คู่ที่คนอื่นคิดว่าสมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก คนก็ยังจับจ้องและวิจารณ์ไม่หยุดอยู่นั่นเอง
ความสมประโยชน์ในแต่ละครอบครัวมันต่างกันนะคะ
บางบ้าน ความสมประโยชน์คือ
สามีทำงาน งาน และงาน และไม่ต้องการรับรู้ทั้งนั้นว่า เสื้อผ้าซื้อที่ไหน ค่าไฟจ่ายอย่างไร ไก่ย่างส้มตำ คาโบนาร่าของโปรดที่อยู่บนโต๊ะ เทวดาที่ไหนเสกมาให้ ก็คุณภรรยาที่หลายคนมองว่า ชีวิตแสนสบาย วัน ๆ ไม่ต้องทำอะไรนี่แหละค่ะ ที่จัดการทุกอย่าง
ทั้งต่อประกัน ซื้อเสื้อผ้า ซักรีด ดูแลลูก จัดสวน เตรียมอาหาร ทำให้แน่ใจว่าบ้านอยู่ในสภาพสบายพร้อมอยู่ได้แบบ serviced apartment นี่แหละค่ะ เป็นคนจัดแจง อย่าคิดว่าตู้เย็นที่มีน้ำกรอกเต็ม มีผลไม้ปอกเรียบร้อยแช่ไว้แบบเย็นฉ่ำพร้อมกิน ห้องน้ำที่สะอาดมีทิชชูเติมอยู่เสมอ หรือตู้เสื้อผ้าที่เปิดมาเป็นระเบียบมีเสื้อผ้าซักรีดวางเรียงอยู่เป็นของที่เกิดขึ้นได้เองนะคะ มันมีคนจัดแจงค่ะ
ในแง่นี้ คุณอาจจะไม่ได้ต้องการภรรยาจบจาก ivy league ก็ได้มังคะ ? แค่ต้องการผู้หญิงที่ทำให้บ้านเป็นบ้าน คนที่คอยยิ้มให้ เตรียมข้าวปลาอาหาร ชวนคุณคุยเวลาคุณถึงบ้าน
หรือบางบ้าน แต่งกับพ่อม่าย แม่ม่าย เดี๋ยวก็มีเสียงวิจารณ์อีก หาว่าไม่คู่ควรบ้าง อะไรบ้าง
คือ บางที จะบอกว่า ให้มองข้ามเสียงพวกนี้ไปเถอะ พ่อม่ายลูกติด แม่ม่ายลูกสอง แล้วยังไง ?
ก็คนนี้รึเปล่า ที่ทำให้คุณมีความสุข มีกำลังใจทำงาน คอยดูแลคุณ แล้วคุณก็ชอบเขาด้วย ?
หรือถ้าคุณชอบภรรยาแนว intellectual แนว working woman ก็ไม่ต้องป๊อดค่ะ
ไปให้สุดเลย ไม่ต้องไปฟังเสียงวิจารณ์ประเภท
“ไปได้เมียสูงส่ง ทำงานยุ่งทั้งวัน เดี๋ยวก็ต้องมาช่วยถูบ้าน ซักชั้นในให้เมียหรอก แล้วเนี่ย กับข้าวกับปลา ก็คงจะไม่ได้ทำแน่ ๆ”
ขำใส่ไปเลยค่ะ บอกไปเลยว่า คุณจะซื้อแกงแช่แข็งในเซเว่นมาอุ่นกิน แต่จะไม่ยอมแลกบทสนทนาเรื่องปฏิกริยา nuclear fusion ที่คุยกับภรรยาคนนี้ได้ กับอย่างอื่นแน่ ๆ
2. จงเลือกคนที่คุณจะสามารถเมตตาต่อเค้า และเค้าสามารถเมตตาต่อคุณได้อย่างจริงใจ
เมื่อฤดูกาลของความร้อนแรงมันจาง ๆ ลงไป สิ่งที่จะทำให้ความสัมพันธ์ยั่งยืน คือคนที่คุณสามารถเมตตาเค้าได้อย่างจริงใจ และแน่นอนเค้าก็ควรจะเมตตาคุณอย่างจริงใจได้เช่นกัน
“เมตตา” กับ “ชื่นชม” อาจจะมีส่วนคล้ายแต่ไม่เหมือนกันนะคะ
ชื่นชม อาจเป็นได้แค่ subset ใน set ใหญ่ของความเมตตา
คนเราไม่ได้ top form ตลอดเวลา เราจะมีเวลาที่เรา fail เราป่วย เราโทรม เราดูไม่ดี ยืดอกยืดไหล่ได้ไม่สุด หรือกระทั่งคู้ตัวเครียดจมกับความรู้สึกล้มเหลวในบางขณะ ต้องถามว่า คนที่คุณเลือกมาอยู่ด้วยนี่ จะยอมรับคุณในสภาพนั้น และหาทาง หรือเป็นกำลังใจให้คุณออกจากสภาพนั้นได้หรือไม่ ?
ตอนอายุยังน้อย ๆ ดิฉันเคยสนิทกับคนคนหนึ่ง บอกได้เลยว่า เรารู้สึกได้ว่า เค้าสนิทและชื่นชมเรา เพราะเค้าคิดว่าเราเก่ง แต่ในบาง part ที่เรามีมุมขี้แย ไร้เหตุผลไปบ้าง สีหน้า ท่าทาง แววตา และคำพูดเค้าตัดรอนชัดเจนเลยว่า ผิดหวังในตัวเรามาก “เคยคิดว่าเธอจะเก่งและเข้มแข็ง...”
ดีแล้วที่มันจบค่ะ ... เค้าแค่ชื่นชมเรา แต่เมตตาเราไม่ได้เลย ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องถูกถ้าเรายังจะดึงดันสานสัมพันธ์ต่อ
กับคู่ชีวิตเราตอนนี้น่ะหรือคะ ?
เราเคยเฟลหลายเรื่องมาก บางเรื่องก็หนักหนาสาหัสด้วย สามีเราจะเดินมาลูบหัวแล้วบอกว่า “ไม่เป็นไรนะ” หรือบางครั้ง ก็แค่ลูบหัวเราแล้วไม่พูดอะไร
3. เลือกอยู่กับคนที่คุณทั้งสองสามารถมีหัวข้อสนทนากันได้ อันนี้สำคัญ การพูดคุยกัน มันเป็นสิ่งสำคัญของความเป็นเพื่อน
อ๊ะ...คุณอาจจะบอกว่า นี่จะหาแฟน ไม่ได้จะหาเพื่อน
แต่เชื่อป้าเถอะ... คนเรามันไม่ได้มี moment เป็นผัวเป็นเมียกันตลอดเวลาหรอก ยิ่งอยู่กันไปนาน ๆ มันจะเป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่ ทั้งน้อง ทั้งพ่อ ทั้งแม่ จนคุณนิยามไม่ถูกเลยจริง ๆ แต่สิ่งสำคัญคือ ถ้าคุณรู้สึกไม่เบื่อที่จะคุยกับคนนี้ หรือจะอยู่กับคนนี้ คุณอยู่ในจุดที่ดีแล้วละ
กระทู้ไตรภาคความรัก 2/3 อยู่กันอย่างไรให้ยืด ? แล้วการอยู่กันยืดนี่มันดีจริงหรือ ?
Again เขียนสั้น ๆ เป็นช่วง ๆ นะคะ
ตั้งหัวกระทู้ว่า “อยู่กันอย่างไรให้ยืด ?” ฟังดูแล้วก็ชวนหมั่นไส้นะคะ
ราวกับว่า “แหม...หล่อน จะขึ้นธรรมาสน์มาสั่งสอนผู้คน ชีวิตแต่งงานของหล่อนน่ะมันกี่ปี ?”
คิดได้ดังนั้นแล้ว เลยต้องรีบมาต่อหัวกระทู้ว่า “แล้วการอยู่กันยืดนี่มันดีจริงหรือ ? “
ความยืนยาวของการแต่งงาน --- หัวข้อนี้ ถ้าจะให้พูดตรง ๆ ก็ต้องบอกว่าแล้วแต่ค่านิยมของแต่ละสมัยนะคะ
เคยอ่านบทความของคนรุ่นน้า รุ่นอา (ตอนนี้ ท่านเหล่านี้ก็อายุสักประมาณ 80 กันแล้ว) ท่านบอกว่า ตอนได้ข่าวว่า ญาติผู้หญิงคนหนึ่งหย่าขาดจากสามี ตกใจมาก เพราะไม่คิดว่า จะเกิดสิ่งนี้ขึ้น
ส่วนตอนนี้น่ะหรือคะ ? ลองหาจาก google ดูพบว่า อัตราการหย่าร้าง (ยึดเอาจากทะเบียนสมรสเป็นหลักนะคะ ไม่นับคู่ที่อยู่ด้วยกันเฉย ๆ ) สูงถึง 50%
แปลว่า ความยืนยาวของชีวิตคู่อาจจะไม่ใช่โฟกัสหลักของผู้คนอีกต่อไปแล้ว
คนทั่วไปมองเรื่องการตอบโจทย์ชีวิตที่ตัวเองต้องการมากกว่าการพยายามรักษาพันธะสมรส และการรักษาสมดุลย์ความสุขของตัวเองเอาไว้
ณ ปัจจุบัน เราอยู่ในสมัยที่หญิงชายเริ่มมีสิทธิเท่าเทียมกันมากขึ้น เราสามารถพูดถึงความสุข และการต้องการอยู่อย่างมีความสุขได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิดเหมือนสมัยโบราณ
คนยุคก่อนอาจจะมองว่า คนสมัยใหม่ไม่ค่อยอดทน
แต่คนสมัยใหม่อาจจะย้อนถามกลับไปเช่นกันว่า
“คำว่าอดทน ควรจะใช้กับสถานการณ์ไหนบ้าง และในสถานการณ์ไหนที่เราควรเลิกจมปลักชีวิตกับคำว่าอดทน และคำว่าอดทนควรอดทนแค่ไหน และอดทนเรื่องอะไร”
สำหรับชีวิตคู่
ถ้าเราเลือกแล้วที่จะตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ จะดีกว่าไหม ถ้าเราจะสามารถอยู่กันได้อย่างมีความสุข ราบรื่น เกื้อกูลแบ่งปัน และเติบโตไปด้วยกันได้ในทุกมิติ ทั้งเรื่องฐานะการเงิน การพัฒนาด้านความคิดอ่าน และมิติทางจิตวิญญาณ ?
เอาจริง ๆ แม้ว่า การดึงดูดภายนอก เช่น หน้าตา รูปร่าง การแต่งตัว การพูดจา เสน่ห์ความสามารถบางอย่างจะเป็นด่านแรกของการเริ่มทำความรู้จัก แต่ลำดับขั้นต่อไปของความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนคือ ความสมประโยชน์ และความสามารถที่จะเมตตาต่อกันได้
มูลเหตุที่อยากเขียนเรื่อง “ความเมตตาต่อกัน” ก็เพราะได้อ่านบทความนี้ของพศิน อินทรวงศ์ เป็นบทความที่พิสุทธิ์หมดจดงดงามมาก
แต่ธาราสินธุ์นี่ยังไม่ละเอียดใสถึงขั้นนั้น ก็ขออนุญาตแชร์มุมมองตัวเองและเล่าสิ่งที่เห็นมาว่า อะไรทำให้ชีวิตคู่อยู่ได้ยั่งยืน (และมีความสุขพอควร)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
1. ดิฉันเคยเขียนในกระทู้นี้ว่า https://ppantip.com/topic/41568052
“ชีวิตคู่ที่ดีอยู่ด้วยความสมประโยชน์” ถึงตอนนี้ ก็ยังยืนยันแบบนั้นอยู่ค่ะ
เวลาพิจารณาถึงความสมประโยชน์ ให้ฟังเสียงในหัวใจคุณ และสถานการณ์จริง ๆ ของคุณนะคะ ไม่ต้องไปฟังคำแนะนำหรือคำวิจารณ์ของพวกหวังดีแบบไม่รู้สี่รู้แปด ที่ไม่ได้มาใช้ชีวิตร่วมกับคุณ
เรื่องชีวิตคู่ คุณอาจจะฟัง feedback จากครอบครัว พ่อ แม่ หรือเพื่อนก็ได้นะคะ
แต่ท้ายที่สุด อย่าลืมว่า มันคือชีวิตคุณเอง
เรามักจะได้ยินคำวิจารณ์เยอะแยะ
ประเภท ที่สามีทำงานงก ๆ อยู่คนเดียว ภรรยาเป็นแม่บ้านเฉย ๆ
ภรรยาเป็นแม่ม่ายลูกติด แต่งงานมาแล้ว 2 ครั้ง
สามีไม่หล่อ แต่ภรรยาสวย
หรือกระทั่ง คู่ที่คนอื่นคิดว่าสมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก คนก็ยังจับจ้องและวิจารณ์ไม่หยุดอยู่นั่นเอง
ความสมประโยชน์ในแต่ละครอบครัวมันต่างกันนะคะ
บางบ้าน ความสมประโยชน์คือ
สามีทำงาน งาน และงาน และไม่ต้องการรับรู้ทั้งนั้นว่า เสื้อผ้าซื้อที่ไหน ค่าไฟจ่ายอย่างไร ไก่ย่างส้มตำ คาโบนาร่าของโปรดที่อยู่บนโต๊ะ เทวดาที่ไหนเสกมาให้ ก็คุณภรรยาที่หลายคนมองว่า ชีวิตแสนสบาย วัน ๆ ไม่ต้องทำอะไรนี่แหละค่ะ ที่จัดการทุกอย่าง
ทั้งต่อประกัน ซื้อเสื้อผ้า ซักรีด ดูแลลูก จัดสวน เตรียมอาหาร ทำให้แน่ใจว่าบ้านอยู่ในสภาพสบายพร้อมอยู่ได้แบบ serviced apartment นี่แหละค่ะ เป็นคนจัดแจง อย่าคิดว่าตู้เย็นที่มีน้ำกรอกเต็ม มีผลไม้ปอกเรียบร้อยแช่ไว้แบบเย็นฉ่ำพร้อมกิน ห้องน้ำที่สะอาดมีทิชชูเติมอยู่เสมอ หรือตู้เสื้อผ้าที่เปิดมาเป็นระเบียบมีเสื้อผ้าซักรีดวางเรียงอยู่เป็นของที่เกิดขึ้นได้เองนะคะ มันมีคนจัดแจงค่ะ
ในแง่นี้ คุณอาจจะไม่ได้ต้องการภรรยาจบจาก ivy league ก็ได้มังคะ ? แค่ต้องการผู้หญิงที่ทำให้บ้านเป็นบ้าน คนที่คอยยิ้มให้ เตรียมข้าวปลาอาหาร ชวนคุณคุยเวลาคุณถึงบ้าน
หรือบางบ้าน แต่งกับพ่อม่าย แม่ม่าย เดี๋ยวก็มีเสียงวิจารณ์อีก หาว่าไม่คู่ควรบ้าง อะไรบ้าง
คือ บางที จะบอกว่า ให้มองข้ามเสียงพวกนี้ไปเถอะ พ่อม่ายลูกติด แม่ม่ายลูกสอง แล้วยังไง ?
ก็คนนี้รึเปล่า ที่ทำให้คุณมีความสุข มีกำลังใจทำงาน คอยดูแลคุณ แล้วคุณก็ชอบเขาด้วย ?
หรือถ้าคุณชอบภรรยาแนว intellectual แนว working woman ก็ไม่ต้องป๊อดค่ะ
ไปให้สุดเลย ไม่ต้องไปฟังเสียงวิจารณ์ประเภท
“ไปได้เมียสูงส่ง ทำงานยุ่งทั้งวัน เดี๋ยวก็ต้องมาช่วยถูบ้าน ซักชั้นในให้เมียหรอก แล้วเนี่ย กับข้าวกับปลา ก็คงจะไม่ได้ทำแน่ ๆ”
ขำใส่ไปเลยค่ะ บอกไปเลยว่า คุณจะซื้อแกงแช่แข็งในเซเว่นมาอุ่นกิน แต่จะไม่ยอมแลกบทสนทนาเรื่องปฏิกริยา nuclear fusion ที่คุยกับภรรยาคนนี้ได้ กับอย่างอื่นแน่ ๆ
2. จงเลือกคนที่คุณจะสามารถเมตตาต่อเค้า และเค้าสามารถเมตตาต่อคุณได้อย่างจริงใจ
เมื่อฤดูกาลของความร้อนแรงมันจาง ๆ ลงไป สิ่งที่จะทำให้ความสัมพันธ์ยั่งยืน คือคนที่คุณสามารถเมตตาเค้าได้อย่างจริงใจ และแน่นอนเค้าก็ควรจะเมตตาคุณอย่างจริงใจได้เช่นกัน
“เมตตา” กับ “ชื่นชม” อาจจะมีส่วนคล้ายแต่ไม่เหมือนกันนะคะ
ชื่นชม อาจเป็นได้แค่ subset ใน set ใหญ่ของความเมตตา
คนเราไม่ได้ top form ตลอดเวลา เราจะมีเวลาที่เรา fail เราป่วย เราโทรม เราดูไม่ดี ยืดอกยืดไหล่ได้ไม่สุด หรือกระทั่งคู้ตัวเครียดจมกับความรู้สึกล้มเหลวในบางขณะ ต้องถามว่า คนที่คุณเลือกมาอยู่ด้วยนี่ จะยอมรับคุณในสภาพนั้น และหาทาง หรือเป็นกำลังใจให้คุณออกจากสภาพนั้นได้หรือไม่ ?
ตอนอายุยังน้อย ๆ ดิฉันเคยสนิทกับคนคนหนึ่ง บอกได้เลยว่า เรารู้สึกได้ว่า เค้าสนิทและชื่นชมเรา เพราะเค้าคิดว่าเราเก่ง แต่ในบาง part ที่เรามีมุมขี้แย ไร้เหตุผลไปบ้าง สีหน้า ท่าทาง แววตา และคำพูดเค้าตัดรอนชัดเจนเลยว่า ผิดหวังในตัวเรามาก “เคยคิดว่าเธอจะเก่งและเข้มแข็ง...”
ดีแล้วที่มันจบค่ะ ... เค้าแค่ชื่นชมเรา แต่เมตตาเราไม่ได้เลย ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องถูกถ้าเรายังจะดึงดันสานสัมพันธ์ต่อ
กับคู่ชีวิตเราตอนนี้น่ะหรือคะ ?
เราเคยเฟลหลายเรื่องมาก บางเรื่องก็หนักหนาสาหัสด้วย สามีเราจะเดินมาลูบหัวแล้วบอกว่า “ไม่เป็นไรนะ” หรือบางครั้ง ก็แค่ลูบหัวเราแล้วไม่พูดอะไร
3. เลือกอยู่กับคนที่คุณทั้งสองสามารถมีหัวข้อสนทนากันได้ อันนี้สำคัญ การพูดคุยกัน มันเป็นสิ่งสำคัญของความเป็นเพื่อน
อ๊ะ...คุณอาจจะบอกว่า นี่จะหาแฟน ไม่ได้จะหาเพื่อน
แต่เชื่อป้าเถอะ... คนเรามันไม่ได้มี moment เป็นผัวเป็นเมียกันตลอดเวลาหรอก ยิ่งอยู่กันไปนาน ๆ มันจะเป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่ ทั้งน้อง ทั้งพ่อ ทั้งแม่ จนคุณนิยามไม่ถูกเลยจริง ๆ แต่สิ่งสำคัญคือ ถ้าคุณรู้สึกไม่เบื่อที่จะคุยกับคนนี้ หรือจะอยู่กับคนนี้ คุณอยู่ในจุดที่ดีแล้วละ