ผมเป็นนักเรียนม 6 จากโรงเรียนดังย่านหอนาฬิกาแห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานีผมมักจะโดนแกล้งบ่อยมากครับและส่วนใหญ่ก็จะมีแต่เพื่อนดีๆทั้งนั้นครับดีไม่ห่างเหินเลยครับมีแต่ช่วย..............ช่วยซ้ำเติมครับ คือเรื่องมันมีอยู่ว่าครั้งหนึ่งตอนนั้นเป็นช่วงเรียนออนไลน์แล้วก็ซัดกำซ้อนพ่อผมดันล้มป่วยซึ่งตอนนั้นผมกำลังศึกษาอยู่ชั้นม 4 แล้วเหมือนโชคชะตาจะกลั่นแกล้งเพราะผมสอบไม่ได้ห้องวิทย์คณิตที่ผมต้องการแต่ซ้ำร้ายผมถูกปัดมาอยู่ห้องท้ายและแถมตอนนั้นผมไม่ค่อยจะถูกกับเรื่องของแดนอาทิตย์อุทัยสักเท่าไหร่นักแต่ผมกลับต้องได้มาเรียนศิลป์ญี่ปุ่นตอนแรกก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรผมคิดว่าจะดีแล้วเพราะผมถูกแกล้งมาตั้งแต่ม.3 ซึ่งเอาจริงๆมันก็แค่ไม่ใช่ ม.3 หรอกเพราะมันต้องแต่ผมเข้ามาโรงเรียนแล้ว แต่เพราะความซวยหรือยังไงก็ไม่ทราบผมดันตื่นเต้นมากเกินไปจนเผลอไปส่งมีมเล่นกับเพื่อนๆแล้วทีนี้เพื่อนๆเขาเหมือนแบบไม่รู้ผิดใจอะไรกับผมหรือไม่ชอบอะไรผมเขาเลยไม่มีใครอยากคุยกับผมเลยทั้งห้องผมเลยยากมากที่จะทำงานกลุ่มแล้วเก็บคะแนนและความซวยมันก็ยังไม่จบแค่นั้นเพราะว่าผมเครียดมากผมก็เลยเผลอไปป่วนกลุ่มห้องแต่เพื่อนเขาก็ไม่เข้าใจและคิดว่าผมเป็นคนบ้าก็เลยรังเกียจผมแล้วกลั่นแกล้งผมโดยการแบนแต่ความซวยมันก็ยังไม่จบอีกเพราะผมเรียนญี่ปุ่นไม่เข้าหัวเลยแต่ผมดันทำได้ทุกวิชาที่ไม่ใช่ญี่ปุ่นในเทอมแรกผมเลยติดศูนย์ญี่ปุ่นและผมก็ได้เกรดน้อยมากเพราะญี่ปุ่นมันเป็นหน่วยกิตสูงสุดในหลักวิชานั้นแล้วทีนี้มาเทอม 2 พ่อผมก็ป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะโรคมะเร็งและแม่ผมก็ทำธุรกิจค้าขายแต่เพราะว่าแม่ต้องไปเยี่ยมพ่อผมเลยต้องมาช่วยดูแลธุรกิจแทนแม่ของผมชั่วคราวผมเครียดมากครับเพราะว่าเรียนแทบไม่เข้าหัวกว่าเดิมเลยและแถมซ้ำร้ายจากวีรกรรมคราวก่อนของผมที่ผมไม่ได้อยากตั้งใจทำมันมากนักมันก็ส่งผลทำให้ผมเรียนหนักขึ้นกว่าเดิมแล้วก็ต้องทำงานทุกอย่างหนักขึ้นกว่าเดิมแล้วญาติๆก็บอกว่าผมสบายแล้วไม่มีใครปลอบใจผมเลยมีแต่บอกว่าผมอย่าบ่นให้มากผมละเบื่อจริงๆแล้วผมก็ยิ่งสติแตกยิ่งกว่าเดิมอีกไปทำวีรกรรมเช่นไปป่วนกลุ่มห้องซึ่งไม่รู้ห้องนี้เป็นอะไรเหมือนไม่ค่อยถูกจริตกับผมทั้งๆที่เขาก็รู้อยู่แล้วว่าผมเจอกับอะไรแต่พวกเขาไม่สนใจและเมินผมต่อไปผมก็เลยยากมากๆเวลาจะทำงานกลุ่มเพราะทุกกลุ่มจะปฏิเสธผมเป็นเสียงเดียวกันหมดเพราะห้องนี้เป็นสามัคคีกันมากที่จะไล่ผมแต่ว่าเขาไม่ได้ไล่หรอกนะเขาแค่ไม่สนใจจนเทอม 2 ได้จบไปขึ้นม 5 เทอม 1ตอนผมเปิดเทอมผมก็ได้ไปโรงเรียนแค่เดือนเดียวเขาก็ปิดโรงเรียนแต่แล้วก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นคือหลังจากที่ผมไปหาหมอสายตาที่กรุงเทพฯมาเสร็จตอนช่วงเดือนมีนาคมวันที่ 1 ผมก็ต้องมาดูแลพ่อของผมแต่อีกไม่ถึง 5 วันต่อมาพ่อผมก็ได้จากโลกนี้ไปด้วยอาการหัวใจวายผมก็ค่อนข้างเสียใจและในเวลาเดียวกันผมก็ทำใจไว้นานแล้วแต่ผมก็หลังจากจบงานศพพ่อผมก็ได้เกิดอาการแพนิคขึ้นทันที่พร้อมเหนื่อยด้วยจนต้องนอนโรงพยาบาลถึง 2 ครั้งแล้วพ่อผมออกจากโรงพยาบาลครั้งแรกผมก็ตื่นตระหนกมากเพราะมันมีอาการเจ็บหน้าอกแต่ไม่ได้มีอะไรมากแต่พี่ชายของผมที่เป็นญาติผมกลับพูดว่าจะเอาอะไรมากเขาก็ต้องตรวจจนละเอียดแล้วเขาถึงให้ออกมาและตอนนั้นผมก็อยู่กับแม่ด้วยแล้วต้องเกริ่นไว้ก่อนนะครับว่าบ้านผมเป็นครอบครัวคนจีนเขาเลยจะค่อนข้างให้สิทธิคนที่เป็นพี่มากกว่าน้องแล้วแม่ผมก็ไม่ห้ามพี่ด้วยผมไม่อยากโทษแม่ผมเลยครับเพราะว่าแม่ผมเนี่ยเขาเป็นคนที่เข้าใจอะไรยากแล้วแถมซ้ำร้ายเขายังไม่ค่อยรู้อะไรเพราะว่าเขาเป็นคนโต้มาที่ชนบทและแถมถูกเลี้ยงดูแบบผมที่เป็นน้องเล็กสุดคือโดนใช้แรงงานสุดเยอะนั่นแหละเลยไม่ค่อยมีเวลาได้สนิทกับใครหลังจากที่จบเรื่องนี้ผมก็ได้เปิดเรียนต่อแต่ก็แทบไม่มีใครพูดกับผมเลยนอกจากคนที่ไม่ค่อยเต็มๆแถมยังหลบเรียนไม่เคยทำงานผมต้องมาตามให้มันไปเรียนตลอดด้วยและพวกเพื่อนที่พามันหลบเรียนนี่แหละครับตัวปัญหาเลยมันจะทำให้ผมซวยสุดๆในอนาคตเพราะหลังจากนั้นได้ไม่นานภัยพิบัติครั้งใหม่ก็ได้เริ่มต้นขึ้นคือผมดันไปสนใจน้องผู้หญิงที่เขาเป็นดาวโรงเรียนคนนึงและด้วยความที่ผมเป็นเด็กใสๆซื่อๆที่โดนรังแกมาตลอดผมเลยไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผมพอผมไม่ทักน้องเขาแล้วน้องเขาเหมือนกลัวหรืออยากเพิ่มยอดวิวยังไงก็ไม่ทราบเขาเลยอัดเสียงผมแล้วก็เขียนข้อความพร้อมแนบเสียงผมและในข้อความนั้นก็พูดประมาณว่าผมเป็นโรคจิตที่คอยจ้องตามน้องเขาตลอดผมก็เลยซวยฟรีๆเพราะว่ากลุ่มพวกพวกที่เป็นเพื่อนกับคนไม่เต็มที่ผมต้องมาตามมันเข้าเรียนตลอดนั้นมันได้ช่วยผมไว้ครับช่วยซ้ำเติมแล้วมาตักเตือนว่าผมไม่ควรทำอย่างนั้นแล้วแล้วก็ไม่ควรไปทักใครผมล่ะเครียดเลยครับเพราะว่ามันเหมือนไม่ได้เป็นการช่วยผมเลยและข่าวนั้นมันก็ส่งผลต่อชีวิตผมอย่างมากเพราะหลายคนก็เกลียดผมเพราะว่าเชื่อว่าผมเป็นโรคจิตบ้างแล้วก็อีกสารพัดแล้วมันไม่ใช่ครั้งเดียวเพราะผมมีเสน่ห์อะไรก็ไม่รู้ในการทำให้คนกลัวกลัว
แล้วหน้าตาผมก็ไม่ได้แย่อะไรมากแต่ผมก็ไม่รู้อ่ะนะว่าคนกลัวอะไรที่หน้าตาผมหรือกลัวคำพูดผมก็ไม่ทราบเหมือนกันเพราะว่าเวลาผมไปทักใครเขาจะตกใจมากๆแล้วเขาก็ไปบอกเพื่อนและด้วยความที่ว่าผมไม่รู้ว่ามันมีข่าวลือเกี่ยวกับผมมันก็เลยทำให้เพื่อนๆในหมู่ผู้หญิงที่ผมไปทักโดยผู้หญิงคนที่โดนผมทักจะมักไปบอกเพื่อนแล้วผู้หญิงโรงเรียนนี้ก็มีแต่ดีๆทั้งนั้นบอกว่าไอ้นั้นเป็นคนโรคจิตอย่าไปยุ่งกับมันแถมซ้ำร้ายยังมีคนชอบมาว่าผมอีกว่าทำแบบนี้ไม่ดีนะเว้ยไปยุ่งกับเขาเนี่ยเอ้าเลยผมกูผิดอะไรวะซึ่งตอนนั้นผมคิดมากสุดๆจนแทบบ้าเลยกลายเป็นว่าเจ้าพ่อกรมข่าวลือได้นักข่าวเพิ่มก็คือผมเองนี่แหละแล้วความโชคร้ายมันก็ได้ดำเนินมาจนถึงม 6 ซึ่งผมแทบไม่คุยกับใครเลยนอกจากเพื่อนสนิทผมที่จะคุยกับมันเลยดีกว่าถ้าเครียดเพราะว่าเรื่องเล็กน้อยเรื่องอะไรมันติหมดแล้วไม่ใช่ติเฉยๆดูถูกด้วยแต่มันก็สภาพเละไม่ต่างจากผมเพราะมันโดนแกล้งมาตั้งแต่เด็กเหมือนกันแต่มันโชคดีกว่าผมหน่อยตรงที่มันเป็นคนไม่ค่อยแคร์สังคมและไอ้ไม่เต็มที่ผมได้เจอตอนม 4 และนานๆทีจะมีคนที่เป็นเพื่อนคนนึงที่เชื่องช้ามาคุยด้วยแต่นานๆครั้งก็จะมีเพื่อนอีกคนที่เขาเรียนอยู่ห้องวิทย์คณิตเข้ามาคุยกับผมด้วยเพราะว่ามันเคยฉลาดถึงไอ้คิว 211 แต่มันก็ไม่ค่อยอยากเรียนมากนักแต่มันก็ยังเรียนอยู่มันก็เลยไม่ค่อยใส่ใจการเรียนมากนักแต่ก็ยังทำเกรดได้ดีกว่าผมและมันก็ตั้งใจทำงานด้วยเมื่อมันมีงานเพราะแก๊งเพื่อนผมเนี่ยจะค่อนข้างเป็นแก๊งศูนย์รวมพวกเด็กมีปัญหาอะน่ะแต่มันก็ยังเป็นสิ่งหนึ่งที่ยังทำให้ผมสบายใจได้บ้างในบางครั้งแต่ถ้ากลับมาเรื่องงานของผมนี่ผมแทบจะเครียดไม่เว้นวันเลยเพราะว่าผมไม่ค่อยจะถูกกับเพื่อนในห้องผมสักเท่าไหร่นักแต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเพราะช่วงนึงผมกำลังศึกษาเรื่องการทำสิ่งประดิษฐ์ที่มันไม่ค่อยมีใครอยากจะทำกันแต่ถ้าถามว่ามันเกินสามัญสำนึกของคนทั่วไปไหมบอกเลยครับว่าไม่เพราะมันเป็นเพียงแค่สูตรการเรียนของพวกเด็กช่างและวิศวะแค่นั้นครับแต่มันก็ยังมีอีกเรื่องนึงที่ไม่ค่อยจะมีใครพูดถึงกันของวงการสุขภาพจิตบำบัดซึ่งผมก็เหมือนเป็นผู้โชคร้ายเพราะตอนแรกนั้นผมได้รักษาโรคสมาธิสั้นหรือ(ADHD) อยู่แล้วตั้งแต่ผมยังอยู่ม. ต้นเพราะว่าผมโดนแกล้งบ่อยเลยเครียดหนักจนเคลืยดและเหม่อลอยและถูกเข้าใจว่าเป็นสมาธิสั้นตอนช่วงนั้นทุกอย่างมันเริ่มอยู่ตัวแล้วแล้วผมก็สร้างสิ่งประดิษฐ์เล็กๆน้อยๆเช่นไมโครโฟนและลำโพงขึ้นมาใช้เองได้จากนั้นผมก็เริ่มมีความมั่นใจแล้วว่าสิ่งประดิษฐ์ที่ผมกำลังคิดค้นและกำลังจะทำแต่ด้วยความโชคร้ายของผมเพราะผมได้เผลอไปเล่าแนวคิดสิ่งประดิษฐ์ของผมให้จิตแพทย์ท่านหนึ่งที่โรงพยาบาลแห่งนึงในจังหวัดอุบลและจิตแพทย์ท่านนั้นก็ได้ก็ได้เข้าใจว่าผมมีโรคใหม่มาแล้วก็คือไบโพล่าหรือ (bipolar disorder) ซึ่งตอนหมอวินิจฉัยตอนนั้นผมดันต้องไปทัศนศึกษากับเพื่อนโครงการภาษาอังกฤษที่ผมอยู่และด้วยความหวังดีของหมอคนนั้นเขาจะให้ผมนอนโรงพยาบาลเลยครับแต่ว่าโชคดีที่แม่ผมอย่างน้อยก็ขอให้ฉีดยาก็พอซึ่งผมแบบคือแม่เขาเข้าใจยากอ่ะนะคือแค่หมอพูดกล่อม 10 วิเชื่อแล้วแต่ว่าผมอธิบายไป 10 ชั่วโมงแม่ก็ไม่มีทางเชื่อเพราะว่าผมเป็นเด็กกว่าเขาคิดอย่างนั้นซึ่งตอนก่อนจะได้รับการบำบัดผมร้องไห้อย่างหนักเลยครับเพราะผมเหมือนถูกหาว่าบ้าแล้วผมเหมือนโดนล่าแม่มดอย่างนั้นหลังจากผมได้รับการบำบัดแล้วเนื่องจากฤทธิ์ของยาแม้แต่เดินยังกระเผลกเลยแล้วผมก็เลิกรักษาไม่ได้ด้วยเพราะตอนนั้นผมยังอยู่ในขั้นตอนของการรักษาอยู่แล้วผมก็เครียดมากด้วยเพราะว่าผมยังเหลืองานต้องทำอีกเยอะงานเรื่องเรียนงานนู่นงานนี่เยอะแยะแล้วแม้แต่จะเดินยังยากเลยยังจะให้ทำงานเนี่ยยิ่งคิดไม่ตกเลยครับพอผมไปทัศนศึกษาผมก็เหนื่อยมากๆเลยครับแล้วก็ยังสติแตกไปครั้งนึงด้วยครับผมแทบอยากตายเลยครับแต่หลังจากที่ผมรักษาไปได้ประมาณ 1 เดือนซึ่งหมอเขาคงไม่ให้ลดยาแน่ครับแต่โชคดีที่มีญาติคนหนึ่งของผมคิดได้ว่าให้ผมลองไปหาหมอจิตเวชบำบัดที่คลินิกท่านอื่นซึ่งผมรออยู่นานมากครับกว่าจะได้พบกับจิตแพทย์ท่านนั้นแล้วมันก็ทำให้ผมสบายใจไปได้อีกเยอะเลยครับเพราะเขาวินิจฉัยว่าผมไม่มีความผิดปกติอะไรทั้งนั้นครับผมจึงสามารถเลิกยาได้แล้วกว่าจะฟื้นตัวได้ก็นานเลยครับแต่ต้องแต่ตอนหมอพูดครั้งนั้นมันทำให้ผมเหมือนรอดแล้วอย่างน้อยผมก็จะได้ไม่ต้องหนักใจมากก็ตอนแรกผมก็คิดไปก่อนแล้วว่าผมอาจจะไม่ได้หยุดยาแต่มันก็ได้เปลี่ยนชีวิตผมไปเยอะเพราะความจริงก็คือความจริงผมไม่ได้เป็นไรถึงบางครั้งผมจะเครียดแล้วปรี๊ดแตกบ้างแต่ผมก็ต้องใช้ชีวิตต่อไปเพราะผมใกล้จะจบม. 6 แล้วแต่เพื่อนห้องผมก็ยังคงอคติกับผมหรือไม่ก็แกล้งผมอยู่บ้าง
แล้วเมื่อคุณอ่านจบไม่ถึงตรงนี้แล้วผมไม่ได้มีเจตนาใดๆที่จะทำให้ผู้ใดเสียหายเป็นอันขาดนี่เป็นเพียงเรื่องราวส่วนตัวของผมเท่านั้นที่อยากมาเล่าให้ฟังว่าถึงชีวิตจะลำบากแค่ไหนถ้าเราได้เกิดมาเราก็ต้องสู้ต่อไปและทำเพื่อคนอื่นและตัวเองด้วย
โดนเพื่อนแกล้งและโชคร้ายหนักมากครับ
แล้วหน้าตาผมก็ไม่ได้แย่อะไรมากแต่ผมก็ไม่รู้อ่ะนะว่าคนกลัวอะไรที่หน้าตาผมหรือกลัวคำพูดผมก็ไม่ทราบเหมือนกันเพราะว่าเวลาผมไปทักใครเขาจะตกใจมากๆแล้วเขาก็ไปบอกเพื่อนและด้วยความที่ว่าผมไม่รู้ว่ามันมีข่าวลือเกี่ยวกับผมมันก็เลยทำให้เพื่อนๆในหมู่ผู้หญิงที่ผมไปทักโดยผู้หญิงคนที่โดนผมทักจะมักไปบอกเพื่อนแล้วผู้หญิงโรงเรียนนี้ก็มีแต่ดีๆทั้งนั้นบอกว่าไอ้นั้นเป็นคนโรคจิตอย่าไปยุ่งกับมันแถมซ้ำร้ายยังมีคนชอบมาว่าผมอีกว่าทำแบบนี้ไม่ดีนะเว้ยไปยุ่งกับเขาเนี่ยเอ้าเลยผมกูผิดอะไรวะซึ่งตอนนั้นผมคิดมากสุดๆจนแทบบ้าเลยกลายเป็นว่าเจ้าพ่อกรมข่าวลือได้นักข่าวเพิ่มก็คือผมเองนี่แหละแล้วความโชคร้ายมันก็ได้ดำเนินมาจนถึงม 6 ซึ่งผมแทบไม่คุยกับใครเลยนอกจากเพื่อนสนิทผมที่จะคุยกับมันเลยดีกว่าถ้าเครียดเพราะว่าเรื่องเล็กน้อยเรื่องอะไรมันติหมดแล้วไม่ใช่ติเฉยๆดูถูกด้วยแต่มันก็สภาพเละไม่ต่างจากผมเพราะมันโดนแกล้งมาตั้งแต่เด็กเหมือนกันแต่มันโชคดีกว่าผมหน่อยตรงที่มันเป็นคนไม่ค่อยแคร์สังคมและไอ้ไม่เต็มที่ผมได้เจอตอนม 4 และนานๆทีจะมีคนที่เป็นเพื่อนคนนึงที่เชื่องช้ามาคุยด้วยแต่นานๆครั้งก็จะมีเพื่อนอีกคนที่เขาเรียนอยู่ห้องวิทย์คณิตเข้ามาคุยกับผมด้วยเพราะว่ามันเคยฉลาดถึงไอ้คิว 211 แต่มันก็ไม่ค่อยอยากเรียนมากนักแต่มันก็ยังเรียนอยู่มันก็เลยไม่ค่อยใส่ใจการเรียนมากนักแต่ก็ยังทำเกรดได้ดีกว่าผมและมันก็ตั้งใจทำงานด้วยเมื่อมันมีงานเพราะแก๊งเพื่อนผมเนี่ยจะค่อนข้างเป็นแก๊งศูนย์รวมพวกเด็กมีปัญหาอะน่ะแต่มันก็ยังเป็นสิ่งหนึ่งที่ยังทำให้ผมสบายใจได้บ้างในบางครั้งแต่ถ้ากลับมาเรื่องงานของผมนี่ผมแทบจะเครียดไม่เว้นวันเลยเพราะว่าผมไม่ค่อยจะถูกกับเพื่อนในห้องผมสักเท่าไหร่นักแต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเพราะช่วงนึงผมกำลังศึกษาเรื่องการทำสิ่งประดิษฐ์ที่มันไม่ค่อยมีใครอยากจะทำกันแต่ถ้าถามว่ามันเกินสามัญสำนึกของคนทั่วไปไหมบอกเลยครับว่าไม่เพราะมันเป็นเพียงแค่สูตรการเรียนของพวกเด็กช่างและวิศวะแค่นั้นครับแต่มันก็ยังมีอีกเรื่องนึงที่ไม่ค่อยจะมีใครพูดถึงกันของวงการสุขภาพจิตบำบัดซึ่งผมก็เหมือนเป็นผู้โชคร้ายเพราะตอนแรกนั้นผมได้รักษาโรคสมาธิสั้นหรือ(ADHD) อยู่แล้วตั้งแต่ผมยังอยู่ม. ต้นเพราะว่าผมโดนแกล้งบ่อยเลยเครียดหนักจนเคลืยดและเหม่อลอยและถูกเข้าใจว่าเป็นสมาธิสั้นตอนช่วงนั้นทุกอย่างมันเริ่มอยู่ตัวแล้วแล้วผมก็สร้างสิ่งประดิษฐ์เล็กๆน้อยๆเช่นไมโครโฟนและลำโพงขึ้นมาใช้เองได้จากนั้นผมก็เริ่มมีความมั่นใจแล้วว่าสิ่งประดิษฐ์ที่ผมกำลังคิดค้นและกำลังจะทำแต่ด้วยความโชคร้ายของผมเพราะผมได้เผลอไปเล่าแนวคิดสิ่งประดิษฐ์ของผมให้จิตแพทย์ท่านหนึ่งที่โรงพยาบาลแห่งนึงในจังหวัดอุบลและจิตแพทย์ท่านนั้นก็ได้ก็ได้เข้าใจว่าผมมีโรคใหม่มาแล้วก็คือไบโพล่าหรือ (bipolar disorder) ซึ่งตอนหมอวินิจฉัยตอนนั้นผมดันต้องไปทัศนศึกษากับเพื่อนโครงการภาษาอังกฤษที่ผมอยู่และด้วยความหวังดีของหมอคนนั้นเขาจะให้ผมนอนโรงพยาบาลเลยครับแต่ว่าโชคดีที่แม่ผมอย่างน้อยก็ขอให้ฉีดยาก็พอซึ่งผมแบบคือแม่เขาเข้าใจยากอ่ะนะคือแค่หมอพูดกล่อม 10 วิเชื่อแล้วแต่ว่าผมอธิบายไป 10 ชั่วโมงแม่ก็ไม่มีทางเชื่อเพราะว่าผมเป็นเด็กกว่าเขาคิดอย่างนั้นซึ่งตอนก่อนจะได้รับการบำบัดผมร้องไห้อย่างหนักเลยครับเพราะผมเหมือนถูกหาว่าบ้าแล้วผมเหมือนโดนล่าแม่มดอย่างนั้นหลังจากผมได้รับการบำบัดแล้วเนื่องจากฤทธิ์ของยาแม้แต่เดินยังกระเผลกเลยแล้วผมก็เลิกรักษาไม่ได้ด้วยเพราะตอนนั้นผมยังอยู่ในขั้นตอนของการรักษาอยู่แล้วผมก็เครียดมากด้วยเพราะว่าผมยังเหลืองานต้องทำอีกเยอะงานเรื่องเรียนงานนู่นงานนี่เยอะแยะแล้วแม้แต่จะเดินยังยากเลยยังจะให้ทำงานเนี่ยยิ่งคิดไม่ตกเลยครับพอผมไปทัศนศึกษาผมก็เหนื่อยมากๆเลยครับแล้วก็ยังสติแตกไปครั้งนึงด้วยครับผมแทบอยากตายเลยครับแต่หลังจากที่ผมรักษาไปได้ประมาณ 1 เดือนซึ่งหมอเขาคงไม่ให้ลดยาแน่ครับแต่โชคดีที่มีญาติคนหนึ่งของผมคิดได้ว่าให้ผมลองไปหาหมอจิตเวชบำบัดที่คลินิกท่านอื่นซึ่งผมรออยู่นานมากครับกว่าจะได้พบกับจิตแพทย์ท่านนั้นแล้วมันก็ทำให้ผมสบายใจไปได้อีกเยอะเลยครับเพราะเขาวินิจฉัยว่าผมไม่มีความผิดปกติอะไรทั้งนั้นครับผมจึงสามารถเลิกยาได้แล้วกว่าจะฟื้นตัวได้ก็นานเลยครับแต่ต้องแต่ตอนหมอพูดครั้งนั้นมันทำให้ผมเหมือนรอดแล้วอย่างน้อยผมก็จะได้ไม่ต้องหนักใจมากก็ตอนแรกผมก็คิดไปก่อนแล้วว่าผมอาจจะไม่ได้หยุดยาแต่มันก็ได้เปลี่ยนชีวิตผมไปเยอะเพราะความจริงก็คือความจริงผมไม่ได้เป็นไรถึงบางครั้งผมจะเครียดแล้วปรี๊ดแตกบ้างแต่ผมก็ต้องใช้ชีวิตต่อไปเพราะผมใกล้จะจบม. 6 แล้วแต่เพื่อนห้องผมก็ยังคงอคติกับผมหรือไม่ก็แกล้งผมอยู่บ้าง
แล้วเมื่อคุณอ่านจบไม่ถึงตรงนี้แล้วผมไม่ได้มีเจตนาใดๆที่จะทำให้ผู้ใดเสียหายเป็นอันขาดนี่เป็นเพียงเรื่องราวส่วนตัวของผมเท่านั้นที่อยากมาเล่าให้ฟังว่าถึงชีวิตจะลำบากแค่ไหนถ้าเราได้เกิดมาเราก็ต้องสู้ต่อไปและทำเพื่อคนอื่นและตัวเองด้วย