เราขอท้าวความก่อนว่าเราทำงานอยู่ร้านเช่าชุดแต่งงานแห่งหนึ่ง เท่าที่ทราบมาร้านไม่ได้ทำบัญชีรายรับรายจ่ายแยกออกจากกันเหมือนว่าเงินเข้าบัญชีจากการศื้อแพ็กเกจ การวางเงินประกัน โดยทางร้านจะแยกบัญชีนั้นแหละเป็นเงินซื้อแพ็คเกจบัญชีนึงบัญชี้เงินประกันบัญชีนึง แต่หลังจากลูกค้าโอนเข้ามาแล้ว แต่นายจ้างกลับเอาเงินที่เป็นเงินประกันลูกค้ามาใช้ตามอำเภอใจ คิดอยากจะเอาไปใช้อะไรก็เอาไปใช้ จนยอดประกันติดลบ อพ็คเกจที่ขายได้ไม่เพียงพอต่อการจ่าย จึงใช้วิธีการให้ลูกค้ามารับชุดเร็วเพื่อนดึงเงินประกันที่ลูกค้ามัดจำก่อนรับชุดมาเวียนคืนลูกค้าที่ถึงรอบคืน จนช่วงหลังๆ ติดลบมากๆเนื่องจากลูกค้าใหม่น้อยลง ทำให้หมุนไม่ทันจึกเกิดการค้างเงินพนักงงาน จนถึงลดเงินพนักงาน อย่างกรณีเราเป็นต้น เริ่มแรกเราโดนค้างเงินเดือน จนเดือนสุดท้ายก่อนออกจากงาน เข้าของร้านได้คุยกับเราว่าจะขอลดเงินเดือนเรา โดนเริ่มจากเดือนที่เราใกล้จะถึงวันที่เงินเดือนออก ซึ่งเราไม่โอเคเลยขอลาออก เพราะเราทำงานจนจะถึงวันสุดท้ายของเดือนแล้ว อีก1-2วันเงินก็จะออกแล้ว แต่พึ่งมาแจ้งว่าจะลดเงินเดือนเริ่มจากเดือนนี้เลย เราเงินลาออก
เราได้ไปร้องกรมแรงงาน ให้นายจ้างจ่ายค่าแรง รอ60วันนายจ้างไม่มีการเข้ามาไกล่เกลี่ยหรือวางเงินใด พนักงานตรวจแรงงานพิจารณาว่าเราจะต้องได้เงินเป็นจำนวน 38,000 และมีคำสั่งให้จ่ายภายใน30วัน แต่ครบครบกำหนดนายจ้างไม่ยอมจ่าย เราเลยไปร้องศาลแรงงานเพื่อบังคับให้นายจ้างจ่าย และจะมีการนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์เร็วๆนี้
แต่เราทราบมาจากพนักงานที่ยังทำงานอยู่ว่านายจ้าง จะมาตามนัด แต่จะขอไกล่เกลี่ย โดยจะให้ได้แค่เดือนละ300-500ต่อเดือน โดยเขาบอกว่าให้ได้เท่านี้ เพราะ รายได้เขามีไม่เยอะ ต้องนำมาใช้หนี้ทางอื่นด้วย (คือหนี้ประกันชุดลูกค้าที่เบี้ยวจ่ายลูกค้ามีผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก เหมือนร้านจะทำหนังสือยอมรับสภาพนี้เพื่อต่อรองกับลูกค้าที่รอเงินกระกัน)
เราอยากทราบว่าถ้านายจ้างเอาเรื่องรายได้มาเป็นข้ออ้างในการจะขอผ่อนจ่าย เดือนละ300-500ตามที่เราทราบ ซึ่งมาเรามองว่ามันน้อยเกินไปเราเสียเวลาไปเดินเรื่องไปกลับตจว.ไปกลับ250-300กิโลต่อครั้ง เพื่ออยากได้เงินในส่วนที่เราสมควรได้เอามาลงทุนทำมาค้าขายเล็กๆน้อยๆ แต่กลับทราบเรื่องมาว่าเขาจะใช้ไม้นี้ในการต่อรองเราคำนวนมันคือละยะเวาล6-10ปี ซึ่งมันไม่สมเหตุสมผล อยากได้ความรู้ว่า หากเราไกล่เกลี่ยไม่ลงตัว ศาลท่านจะพิจารณา ตามเงินที่นายจ้างแจ้งหรือเปล่าหรือมีทางออกยังไงบ้าง เราค่อนข้างเคลียดมาก เงินจำนวนนี้สำหรับเราก็ค่อนข้างสูงสำหรับเรา เราไม่อยากยืดยื้อนานเกินไป และเท่าที่เราทราบมา ทางร้านผ่อนจ่ายค่าประกันให้ลูกค้า เดือนละ300/คน/เดือน ยอดเต็มที่ลูกค้าวางเงินประกัน 10,000-25,000เรากลัวว่าจะได้เหมือนที่ลูกค้าได้
#ข้อมูลที่ข้าพเจ้านำมาตั้งกระทู้ ข้าพเจ้าไม่ได้มีเจตนาให้ร้านเสียชื้อเสียง เพียงอยากรู้ข้อปฏิบัตฺให้เราได้เงินแบบสมเหตุสมผล
ฟ้องศาลแรงงาน
เราได้ไปร้องกรมแรงงาน ให้นายจ้างจ่ายค่าแรง รอ60วันนายจ้างไม่มีการเข้ามาไกล่เกลี่ยหรือวางเงินใด พนักงานตรวจแรงงานพิจารณาว่าเราจะต้องได้เงินเป็นจำนวน 38,000 และมีคำสั่งให้จ่ายภายใน30วัน แต่ครบครบกำหนดนายจ้างไม่ยอมจ่าย เราเลยไปร้องศาลแรงงานเพื่อบังคับให้นายจ้างจ่าย และจะมีการนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์เร็วๆนี้
แต่เราทราบมาจากพนักงานที่ยังทำงานอยู่ว่านายจ้าง จะมาตามนัด แต่จะขอไกล่เกลี่ย โดยจะให้ได้แค่เดือนละ300-500ต่อเดือน โดยเขาบอกว่าให้ได้เท่านี้ เพราะ รายได้เขามีไม่เยอะ ต้องนำมาใช้หนี้ทางอื่นด้วย (คือหนี้ประกันชุดลูกค้าที่เบี้ยวจ่ายลูกค้ามีผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก เหมือนร้านจะทำหนังสือยอมรับสภาพนี้เพื่อต่อรองกับลูกค้าที่รอเงินกระกัน)
เราอยากทราบว่าถ้านายจ้างเอาเรื่องรายได้มาเป็นข้ออ้างในการจะขอผ่อนจ่าย เดือนละ300-500ตามที่เราทราบ ซึ่งมาเรามองว่ามันน้อยเกินไปเราเสียเวลาไปเดินเรื่องไปกลับตจว.ไปกลับ250-300กิโลต่อครั้ง เพื่ออยากได้เงินในส่วนที่เราสมควรได้เอามาลงทุนทำมาค้าขายเล็กๆน้อยๆ แต่กลับทราบเรื่องมาว่าเขาจะใช้ไม้นี้ในการต่อรองเราคำนวนมันคือละยะเวาล6-10ปี ซึ่งมันไม่สมเหตุสมผล อยากได้ความรู้ว่า หากเราไกล่เกลี่ยไม่ลงตัว ศาลท่านจะพิจารณา ตามเงินที่นายจ้างแจ้งหรือเปล่าหรือมีทางออกยังไงบ้าง เราค่อนข้างเคลียดมาก เงินจำนวนนี้สำหรับเราก็ค่อนข้างสูงสำหรับเรา เราไม่อยากยืดยื้อนานเกินไป และเท่าที่เราทราบมา ทางร้านผ่อนจ่ายค่าประกันให้ลูกค้า เดือนละ300/คน/เดือน ยอดเต็มที่ลูกค้าวางเงินประกัน 10,000-25,000เรากลัวว่าจะได้เหมือนที่ลูกค้าได้
#ข้อมูลที่ข้าพเจ้านำมาตั้งกระทู้ ข้าพเจ้าไม่ได้มีเจตนาให้ร้านเสียชื้อเสียง เพียงอยากรู้ข้อปฏิบัตฺให้เราได้เงินแบบสมเหตุสมผล