รีวิว การหางานหลังเรียนภาษาจบที่ประเทศญี่ปุ่น (สายวิศวกร)

กระทู้ต่อเนื่องจาก https://ppantip.com/topic/42133556
 
ท้าวความการคิดจะหางานที่ญี่ปุ่นก่อนนะคะ
เริ่มแรกเนี่ย อยากกลับบ้านมาก คิดว่าทำงานที่นี่คงเหนื่อยแน่ เพราะกำแพงภาษา และวัฒนธรรม
แต่ แต่ แต่... ด้วยความที่ได้ผู้อะนะ เราเจอกับแฟนที่หอค่ะ เรียนคนละโรงเรียนกัน แต่อยู่หอเดียวกัน
แฟนเป็นคนไต้หวัน ซึ่งมาเรียนภาษาที่นี่ แล้วจะเข้ามหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่นต่อ ทำให้เราเปลี่ยนใจ
หางานสินะ รออะไร ! ก่อนอื่นคือถามเค้าก่อนว่าเค้าเล็งพื้นที่ไหนไว้ โชคดีที่น้องเลือกโตเกียว
 
เราก็หางานเลยค่ะ ตอนแรกสมัครตามเว็บบริษัทเอง โดนปฎิเสธหมดเลย ไม่ผ่านตั้งแต่คัดเอกสาร ฮ่า
ยอมแพ้รอบที่ 1 
 
ไปอ่านรีวิวหางาน ก็มีแนะนำให้สมัครผ่าน รีครูท เราก็สมัครไป เค้าก็นัดคุยทาง Zoom ถามประวัติ ต่างๆ
ประสบการณ์ทำงานเอย ประวัติการศึกษาเอย อยากทำอะไรที่ญี่ปุ่น อยากได้เงินเดือนเท่าไหร่ (เราขอหักทุกอย่างแล้ว 2 แสนเยนค่ะ)
จบปุ้บ ก็ต้องเขียน Resume ให้เค้า พูดตรงๆ นะ ว่าความลำบากของการหางานที่ญี่ปุ่น นอกจากสัมภาษณ์ ก็เขียน Resume นี่แหละ
 
ที่ญี่ปุ่นจะต้องเขียน 履歴書 ซึ่งก็คือ ประวัติส่วนตัวหรือ resume นั่นเอง 
และบางบริษัทก็ต้องเขียนฟอร์มที่เป็น 職務経歴書 ซึ่งก็คือ ประวัติย่อด้านการเรียนและทำงานหรือ CV ค่ะ
 
ต้องเป็นฟอร์มทางการของญี่ปุ่นด้วยนะ ของเรารีครูทส่งฟอร์มมาให้กรอกค่ะ 
ยากที่สุดคงเป็นการเขียนแรงจูงใจในการสมัคร เพราะแต่ละบริษัทเราก็ต้องเขียนต่างกันออกไป
ทำให้การสมัครงานในแต่ละครั้ง ตั้งมาแก้ในส่วนนี้ทุกครั้งค่ะ ท้าทายสุดๆ คือเราเขียนไปแบบง่อยๆ เลยอะ 
รีครูทแก้แกรมมา แก้ศัพท์ให้อย่างสวยงาม ปรบมือรัวๆ บริการดีมากกกก แถมฟรีด้วย 
 
หลังจากทำเอกสารเสร็จ รีครูทก็จะส่งบริษัทที่น่าสนใจมาให้เราเลือกค่ะ ถ้าเราสนใจก็กดสมัครได้เลย
ถ้าผ่านการกรองเอกสาร ก็จะได้นัดสัมภาษณ์ค่ะ 
ถามว่าได้บ้างไหม คำตอบคือ ไม่ได้สักบริษัทค่ะ …
ยอมแพ้รอบที่ 2
 
เท่าที่หางานมา สายที่เงินเยอะ และญี่ปุ่นขาดแคลนที่สุดคือวิศวกรไอทีนะ พวกซอฟต์แวร์
เขียนโปรแกรม เขียนโค้ดดด เงินเดือนก็สูงกว่าชาวบ้าน แต่ทำงานหนักกว่าสายอื่น อันนี้วงในว่ามางั้น
 
ต่อมาที่โรงเรียนมีแนะแนวการหางาน มีงานสัมมานา หางานสำหรับชาวต่างชาติที่กำลังจะเรียนจบ
ประจวบเหมาะมาก เพราะตอนนั้นคะแนนสอบรอบสุดท้ายออกแล้ว เราผ่าน N2 
เราก็ดูบริษัทที่สนใจ คอนเฟิร์มวัน เวลา แล้วก็ลาเรียนในช่วงนั้นได้ค่ะ ไม่มีปัญหา 
เราเข้าร่วมประมาณ 15 บริษัท สมัครไป 11 บริษัท ถูกเรียกสัมภาษณ์ 5 บริษัท ค่ะ
แล้วเราถูกเรียกสัมภาษณ์ผ่านรีครูทอีก 1 บริษัทค่ะ รวมแล้วเป็น 6 บริษัท เหงื่อตกเลย
เลยมานั่งคิดว่า ก่อนหน้านี้ยื่นด้วย N3 ไป มันคงจะไม่ไหว เค้าเลยไม่เลือกค่ะ
 
เข้าสู่ขั้นตอนการสัมภาษณ์
ด้วยความที่ตอนนั้นยังโควิดระบาด และเราอยู่ฮอกไกโด ส่วนมากจะเป็นสัมภาษณ์ออนไลน์ค่ะ
อธิบายหน่อยนะคะ การสัมภาษณ์งานที่ญี่ปุ่น โดยปกติ จะมีทั้งหมด 2-3 รอบค่ะ
แบ่งเป็นประมาณนี้
รอบแรก HR รอบสอง หัวหน้าแผนก รอบสาม ประธานบริษัทค่ะ
รอบแรก HR กับหัวหน้าแผนก รอบสอง ประธานบริษัทค่ะ
  
ส่วนการเตรียมตัว สำคัญมากคือศึกษาคำถาม ทางรีครูทเราเค้าลิสต์คำถามมาให้ค่ะ
ให้เตรียมคำตอบ แล้วฝึกตอบกับเค้าเลย ดีมาก ๆ 
คำถามก็จะประมาณนี้
แนะนำตัว,เหตุผลที่สมัครบริษัทนี้, ข้อดีข้อเสียของเรา, ความสามารถพิเศษ, จะอยู่ญี่ปุ่นนานไหม
เราทำอะไรได้บ้าง, ถามหน้าที่ที่เคยทำในบริษัทก่อนหน้า, เวลาว่างทำอะไร, สนใจอะไร
 
เรื่องต่อมาคือการแต่งกายค่ะ
แม้จะสัมภาษณ์ออนไลน์ แต่ก็ต้องแต่งตัวให้เหมือนไปสัมภาษณ์ Face to Face นะคะ
ใส่สูท แต่งหน้า ทำผมเรียบร้อย (เราเป็นคนไม่ค่อยแต่งหน้า พึ่งมารู้ว่า คนญีปุ่นถ้าไม่แต่งหน้าไปทำงาน หรือสัมภาษณ์คือเสียมารยาทค่ะ)
ตอนเราสัมภาษณ์เหงื่อออกเยอะมาก สั่นหงั่กๆ โชคดีที่เป็นออนไลน์ 
 
ถ้าเป็นสัมภาษณ์ที่บริษัทจะเข้มงวดกว่านี้ ทุกคนมาเที่ยวญี่ปุ่นช่วงต้นปี จะเห็นคนใส่สูทดำ ถือกระเป๋าเต็มไปหมด
เพราะเป็นช่วงหางานนั่นเองค่ะ เด็กจบไปก็ไปสัมภาษณ์งาน แต่งตัวเหมือนกันหมดเลยยย
ของผู้หญิงคือ เซตสูทสีดำ จะกระโปรง หรือกางเกงก็ได้ รองเท้าต้องมีส้นนิดนึง คือไปร้านรองเท้าจะเขียนไว้เลยว่าสำหรับสัมภาษณ์งาน
กระเป๋าต้องเป็นกระเป๋าเอกสาร วางที่พื้นได้ไม่ล้ม ไม่ย้วยๆ 
ของผู้ชายเหมือนกันค่ะ แต่ไม่ต้องใส่ส้นสูงนะคะ (ฮ่า) และต้องผูกไทด์ คาดเข็มขัดเพิ่ม
 
อีกสิ่งสำคัญคือเอกสารค่ะ ต้องมีเอกสารที่ขอกับทางโรงเรียน ซึ่งใช้เวลา ควรขอไว้ก่อน
พวกเอกสารตรวจสุขภาพ หนังสือรับรองการเรียนจบ (ยังไม่จบก็ขอได้ค่ะ) หนังสือรับรองผลการเรียน
อีกใบที่สำคัญคือ หนังสือรับรอบการเข้าเรียน ขาดเรียนค่ะ มีผลในการเรียกสัมภาษณ์มากๆ
ถ้าคุณขาดเรียนบ่อยๆ เค้าจะไม่ค่อยเรียกค่ะ เพราะเหมือนจะมีปัญหาสุขภาพ หรือแอบเกเร
 
นอกจากนั้นก็คือพกความมั่นใจ ความรู้ ความสวย ของเราไปสัมภาษณ์ค่ะ 
 
สรุป ผ่านรอบแรก 3 บริษัท ตกรอบแรก 3 บริษัทค่ะ
โดนเหยียดเพศไป 1 บริษัท (บริษัทแรกที่สัมด้วย) เรายื่นตำแหน่งวิศวกรควบคุมการผลิตไป แต่ตอนสัม
นั่งหัวเราะกันบอกว่าจะทำไหวเหรอ มาเป็นแอดมินไหม ทำเอกสาร ผู้หญิงเยอะนะ คือมันเจ็บใจที่ว่า
ถ้าคุณจะไม่รับตำแหน่งที่เราสมัคร ก็ไม่ต้องเรียกสัมภาษณ์ไหม เสียเวลาชีวิต มอหอ!
 
เราตกรอบติดกัน 2 บริษัทเลย จะบอกว่ามันท้อใจมาก เพราะมันเหนื่อยมาก แค่สัมภาษณ์อะ 
ใช้พลังทั้งหมดที่มี จนร้องไห้ ไม่อยากสัมต่อแล้ว จนมาผ่านบริษัทที่ 3 ทำให้ความมั่นใจกลับมามากๆค่ะ
 
โดยหนึ่งในบริษัทที่สัมภาษณ์ผ่าน สามารถเริ่มงานได้เลย เพราะมีสัมภาษณ์รอบเดียว
ตอนทีได้เมล์ตกใจมาก เฮ้ย เอาเลยเหรอ เหมือนยังไม่ได้พูดอะไรกันเยอะเลยนะ 
เรายังไม่ตอบเมล์ค่ะ เพราะมีที่ที่สนใจอยู่ เลยปล่อยไว้ก่อน
 
สุดท้ายเราผ่านรอบ 2 อีกทั้ง 2 บริษัท แต่ตอนนั้นเนี่ยมันใกล้จะถึงเดดไลน์แล้ว
ไหนจะต้องยื่นวีซ่า ไหนจะต้องรออีก เลยตัดใจค่ะ เราผ่านไปถึงขั้นสุดท้าย 2 บริษัท
แต่บริษัทที่อยากได้จริงๆ เนี่ย ดันช้า เลยเท มาเอาที่แรกค่ะ เพราะอยู่ใกล้โตเกียว
คือใกล้ผู้ชายอะแหละง่ายๆ ..
 
หลังจากยืนยันกันทางเมล์เรียบร้อยก็ได้รับ 内定 หรือ เอกสารการตกลงกันเป็นการภายใน
เมื่อได้ใบนี้มาแล้ว ก็เหมือนเป็นการยืนยันว่า คุณได้งานแล้วนะ ให้เซ็นเอกสารส่งกลับมาด้วย
ซึ่งสิ่งสำคัญในการกรอกเอกสารนี้ จะมีช่องคล้ายๆ คนค้ำประกัน แบบ ถ้าเราหนีงาน หรือทำอะไรผิด คนๆนี้จะรับผิดชอบเรานะคะ
ตอนแรกเครียดมาก เพราะน้องที่ได้งาน(คนละที่) บอกว่าของผมต้องใช้คนญี่ปุ่น ต้องไปบริษัทค้ำประกัน เสียเงินเยอะมากกกกก
แต่พอติดต่อบริษัทไป ของเราให้ใช้ชื่อ ที่อยู่คุณแม่ได้ เลยรอดไป ไม่ต้องเสียตังงงงงง よかった!
ของสำคัญอีกอย่างคือ ตราประทับชื่อเราค่ะ แบบปั้มหมึกสีแดง อันนี้สั่งทำไว้แต่แรก เลยไม่มีปัญหาค่ะ
 
พอทำเรื่องกับทางบริษัทเสร็จแล้ว ก็ต้องเอาใบนี้ถ่ายเอกสารให้ทางโรงเรียนด้วยนะ แจ้งว่าเราจะทำงานต่อ รร ต้องทำเอกสารส่ง ตม.
 
ยื่นขอวีซ่าทำงาน
เราต้องไปทำเรื่องที่ ตม เองนะคะ เนื่องจากต้องใช้พาสปอร์ตด้วยค่ะ ตม จะเอาไปเลยระหว่างการพิจารณา ไปไหนไม่ล่าย
บริษัทจะส่งเอกสารจำเป็นในการขอวีซ่ามาให้ เช่น รายละเอียดบริษัท กำไรขาดทุน จำนวนพนักงาน เอกสารสัญญา
ตัวเราก็เตรียมด้วยนะคะ รูปถ่าย หนังสือรับรองจบการศึกษา บางที่เค้าจะเรียกใบปริญญา หรือใบประกาศที่ได้รับในพิธีเรียนจบด้วยค่ะ
 
แล้วยังต้องใช้ใบปริญญากับTranscriptที่จบตรี จบโท ถ้าไม่มีภาษาญี่ปุ่น อย่างน้อยต้องเป็นภาษาอังกฤษค่ะ 
และการขอวีซ่าที่สำคัญมากๆ ของญี่ปุ่นคือ งานที่ทำ ต้องสอดคล้องกับปริญญาที่จบมาเท่านั้นนะคะ
ถ้าคุณไม่ได้เรียนวิศวะมา จะมาได้งานเป็นวิศวะที่นี่ ออกวีซ่าไม่ได้ค่ะ
 
เราใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ก็ได้วีซ่า เป็นไซริวการ์ดใหม่กิ๊ง ได้วีซ่าทำงาน 3 ปีค่ะ
วีซ่าทำงานด้านวิศวกรรม มนุษยศาสตร์ และงานระหว่างประเทศ มีแบบ 1/3/5 ปีค่ะ
แล้วแต่การพิจารณาของ ตม. ขึ้นกับขนาดและความน่าเชื่อถือของบริษัทเราด้วยน้า
วันที่ไปรับ จำได้ว่าเสียเงินค่าธรรมเนียมประมาณ 4000 เยน ซึ่งไม่ใช่เงินสดนะ เป็นอากรแสตมป์ มีที่ซื้ออยู่ใกล้ๆค่ะ
 
พอได้วีซ่ามาแล้วก็ส่งรูปให้ทางบริษัทดูค่ะ ยืนยันกันเรียบร้อยแล้วก็ เก็บข้าวเก็บของเตรียมย้ายไป Yamanashi กันเล้ย!
 
ส่วนคนอื่นๆ ที่ขอวีซ่าทักษะเฉพาะ จะใช้เวลายื่นนานกว่าค่ะเป็นเดือน ส่วนเริ่มงานได้เมื่อไหร่นั้นขึ้นอยู่กับที่ทำงานค่ะ
บางที่ต้องรอวีซ่าถึงจะเริ่มงานได้ บางที่ก็เริ่มงานได้เลย ไม่แน่ใจว่าช่วงรอวีซ่าต้องขอสถานะการพำนักแบบไหน ขอโทษทีค่ะ
วีซ่าทักษะเฉพาะเนี่ย ก็จะเป็นงานใช้แรงงานซะเยอะนะคะ เช่น การบริบาลผู้สูงอายุ การจัดทำความสะอาดอาคาร 
อุตสาหกรรมโรงแรม เกษตรกรรม อุตสาหกรรมการก่อสร้าง การต่อเรือ เป็นต้น
 
พาร์ทนี้ก็ยังไม่จบนะเนี่ย ได้แค่ช่วงหางานเอง เหนื่อยแล้วววว
พาร์ทการใช้ชีวิตช่วงทำงาน ขอติดไว้กระทู้หน้านะคะ
 
ขอบพระคุณที่อ่านจนจบบบบนะคะ
เพี้ยนเพลีย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่