เข้าใจว่าเราใช้ระบบรัฐบาล "ผสม" อยู่คือระบบที่ไม่จำเป็นต้องมีเสียงเป็นอันดับหนึ่ง ก็สามารถตั้งรัฐบาล ใช่ไหมครับ

ระบบผสม มี สมาชิกในกลุ่ม 50 คน เลือกตั้ง (สมาชิกของคนใน เซ็ท ที่มาเลือกตั้งทั้งหมด ไม่นับผู้ที่ไม่มาเลือกตั้ง)
โดย มีผู้สมัคร 10 พรรค  (ตัดประเด็นเรื่อง สว. ออกไปก่อนนะครับ)

ตัดสินใจใช้การเลือกตั้งระบบ รัฐบาลผสม 

พรรค A   ได้คะแนน 12 เสียง เป็น ลำดับที่ 1 ชนะ การเลือกตั้ง
พรรค B   ได้คะแนน 10 เสียง เป็น ลำดับที่ 2

พรรค C   ได้คะแนน 7 เสียง เป็น ลำดับที่ 3
พรรค D   ได้คะแนน 3 เสียง 
พรรค E   ได้คะแนน 3 เสียง
พรรค F   ได้คะแนน 3 เสียง
พรรค G   ได้คะแนน 3 เสียง
พรรค H   ได้คะแนน 3 เสียง
พรรค I   ได้คะแนน 3 เสียง
พรรค J   ได้คะแนน 3 เสียง

รวม 12+10+7+3+3+3+3+3+3+3+3 = 50 พอดี
A+B = 22  น้อยกว่า D+E+F+G+H+I+J = 28 
 อันดับ 1+2 เป็นเสียงข้างน้อยกว่า อันดับ 3 กับ 4 5 6 7 8 รวมกัน เป็นเสียงข้างมาก

28 > 22 

พรรคอันดับ 3 ก็ เอา ผู้สมัคร ของตนเอง เป็น นายกรัฐมนตรี ได้
นี่คือ ความหมาย ของ ระบบรัฐบาลผสม "คือระบบที่ไม่จำเป็นต้องมีเสียงเป็นอันดับหนึ่ง ก็สามารถตั้งรัฐบาล  และเป็นนายกได้"
ขอให้ คุยกันได้ รวมกันได้

(ต่อให้ ได้พรรคละ 1 เสียง แต่มี หลายพรรค 1+1+1+1+1+1+1+1+1+1+1+.................   ก็เป็นเสียงข้างมากได้)
 
นี่คือ รูปแบบผสม ที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน
อันนี้คือ ในทางคณิตศาสตร์นะ ยังไม่ได้ ไปถึงเรื่องที่ว่า แบบนี้ "ดีหรือไม่ดี" นะครับ 

เท่าที่เห็น สิ่งที่เกิดขึ้น  2 ประการ ในระบบผสม คือ
ระบบนี้ ถ้าไม่ใช่การ "แลนสไลด์" (เสียงท่วมท้นเกิด 50% ถ้าไม่มี สว. ถ้ามี สว. ต้องเกิน 75%) สิ่งที่เกิดขึ้น คือ
1. ประชาชนต้องเข้าใจว่า เวลาหาเสียง แต่ละพรรค จะแสดง "นโยบายของพรรคตน" แต่ เวลาทำงาน "จะไปรวมกับพรรคอื่น" 
ทำให้เกิดการ แบ่งๆ กันบริหาร  ทำให้  "นโยบายที่สัญญาไว้ จะต้องไปผสมกับพรรคอื่น"
ประชาชน ต้อง เข้าใจว่า  ถ้าไม่แลนสไลด์   พรรคที่ตนเองเลือก จะไม่สามารถ "ทำทุกอย่างที่สัญญาไว้กับประชาชนได้หมดทุกอย่าง"
ไม่ใช่เพราะไม่อยากทำ แต่ ทำไม่ได้ เพราะ "เป็นรัฐบาลผสม นโยบายต้อง ผสมด้วย" (หรือจะเป็นข้ออ้างอื่นๆก็อีกเรื่อง)
หรือไม่ก็ สองพรรค มีความเห็นเหมือนกันเปี๊ยบเกือบทุกแนวทาง ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เป็นอย่างนั้น

คือ รูปแบบ การบริหารประเทศ จะเป็น "นโยบายที่ผสมๆกัน" ประมาณนี้

2. ระบบนี้ ต้องเข้าใจว่า เป็นระบบที่ "เอื้อต่อการคุยตกลงกัน" อยู่แล้ว
ในที่นี้คือ  C D E F G H I J  คือ เอาย่อยๆ มารวมกัน ก็เป็นรัฐบาล และเลือกนายกได้เหมือนกัน ถ้าคุยกันได้
ถ้าอันดับ 1 และ 2 รวมกัน แล้ว คะแนนไม่ถึง 50% (หรือ 75% ถ้ามีสว. ด้วย)

ซึ่ง ถ้า อันดับ 1 เป็นคนแบบที่ "ไม่คุยกับใคร"  ก็จะไม่สามารถ รวมเสียงข้างมากได้ ถ้า ไม่แลนสไลด์ 

ระบบผสม จึงไม่น่าเอื้อ ต่อ "การแสดงจุดยืนและอุดมการณ์ที่ชัดเจน" ก่อนเลือกตั้งมากนัก โดยเฉพาะ สำหรับพรรคย่อยๆ
เพราะ หลังเลือกตั้งแล้ว ก็ไม่รู้ว่าผลจะเป็นยังไง  เพราะ "ถ้าพูดอะไรชัดเจนมากเกินไป เดี๋ยวจะรวมกับพรรคอื่นไม่ได้ง่าย"
ถ้า จำเป็น ต้องไปรวม กับใครแล้วเกิดไม่ตรงกับที่พูดไว้ ก็ "เสียคำพูด"
ต้อง ทำตัวให้ "รวมกับใครก็ได้" โอกาสเป็นรัฐบาล สูง

เราจึงเห็น การรวมกัน ของต่างขั้ว เสมอๆ เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ บางครั้ง พูดชัดเจนไว้ก่อนเลือกตั้ง
โดยใช้เหตุผลว่า "ถ้าไม่รวมกันแล้ว การตั้ง รัฐบาลจะไม่เกิดขึ้น จะไปต่อไม่ได้" ฯลฯ
อย่างดี เฉพาะคนพูดก็ ลาออก เหลือ ให้พรรค ไปต่อ (พรรครวมได้ เพราะคนพูดลาออกไปแล้วนี่หน่า)

ไม่ใช่แค่ครั้งนี้ แต่ทั้งในอดีตที่ผ่านมา เช่นเดียวกัน และในอนาคต ก็คงเป็นเช่นนั้น 

ไม่เจาะจงไปที่ใคร พรรคใดนะครับ เพราะ ระบบผสมถูกออกแบบมาเป็นเช่นนี้
นั่นคือ  ระบบผสม ที่เกิดขึ้น ไม่ได้บอกว่า ดีหรือไม่ดี นะครับ

ไม่ได้เกี่ยวกับประเด็น สว. ในเรื่องของจำนวน 
ไม่ได้เข้าสู่ประเด็นที่ว่า ระบบผสม ดีหรือไม่ดี เหมาะหรือไม่เหมาะ กับประเทศแบบใด หรือไม่อย่างไร นะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่