"มูลค่าความสูญเสียของความโง่ตัวเอง ในราคา 1.4 ล้านบาท, ความเชื่อใจ และผู้คนที่อยู่รอบตัว" เป็นความคิดที่อยู่ในหัวของเรามาตลอด หลังจากเกิดเหตุการณ์ในครั้งนั้น.
.
ทราบดีว่า มีผู้เสียหาย นอกจากเราด้วยเช่นกัน จึงอยากให้กระทู้นี้ เป็นกระทู้สำหรับบอกผู้เสียหายคนอื่นๆ ว่า "
หยุด!! เชื่อคำพูดของคนนั้น", "
ออกห่างจากคนนั้นซะ!" เพราะคนๆนั้น โกหก ได้หน้าตายมาก, สามารถสร้างเหตุการณ์และหลักฐานสถานที่ขึ้นมาได้สมจริง ไม่แปลกใจ ที่คนนั้นๆ จะมีคดี "
ฉ้อโกง" ติดตัว จากผู้เสียหายรายเก่าทั้งหมด 3 คดี (หรือมีมากกว่านั้น?) นั้นเอง.
.
สำหรับเพื่อนๆ คนอื่นที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้ คงเป็น กระทู้เอาไว้สำหรับแชร์เรื่องราวของเรา ที่ผ่านเหตุการณ์อันแสนโหดร้ายที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมาของคนๆหนึ่ง
.
สาเหตุที่ตัดสินตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา เพราะ ในเมื่อกฏหมายช่วยเราไม่ได้ ดังนั้น เราจะใช้พื้นที่สาธารณะนี้ ตีแผ่ เรื่องราว ที่เกิดจากเรื่องจริงในชีวิตของเราให้ฟัง โดยมีจุดประสงค์หลัก 3 ข้อดังต่อไปนี้
1. เพื่อเป็น 1 กระบอกเสียงของผู้เสียหาย ที่ไม่สามารถเรียกร้องดำเนินคดีได้ เพราะ อีกฝ่ายมีความรู้ด้านกฏหมาย
2. ต้องการให้คนอื่นรับรู้ว่า มันมีเรื่องราว 1 เรื่อง ที่ได้เกิดขึ้นบนโลกที่บิดเบี้ยวใบนี้
3. หวังว่ากระทู้นี้ จะไปถึงผู้เสียหายอีกท่าน ที่กำลังโดนหลอกอยู่ เนื่องจากเราไม่มี Contact บอกคนๆนั้น ว่า "คุณโดนหลอกอยู่นะ หยุดเชื่อผู้ชายคนนี้ได้แล้ว" เพราะจากที่รับรู้มา คุณก็โดนไปแล้วมากกว่า 1 ล้านบาทเช่นกัน
.
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี กับ 2 เดือน. เพื่อความสะดวกในการเรียกชื่อ เราขอแนะนำตัวละครด้วยชื่อสมมุติดังต่อไปนี้
1. ตัวเราเอง = นางสาว A,
2. ผู้ชายที่เขา = นาย M
3. เพื่อนสนิทของนาย M = นางสาว B (เป็นผู้เสียหายเช่นกัน ซึ่งอยากส่งกระทู้นี้ไปถึงคนนี้มาก เพื่อเตือนเธอ) เอ๊!? หรือว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด?
งั้นเรามาฟังเรื่องราวของเรากันเถอะ! แล้วมาช่วยกันตัดสินกันว่า นางสาว B จะเป็นผู้เสียหายด้วย
หรือ เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกันแน่!!
.
เรื่องราวของเราเกิดขึ้นในปลายปี 202X เริ่มจากได้รู้จักผู้ชายคนหนึ่ง ผ่านเพื่อนที่รู้จัก ซึ่งเราขอเรียกผู้ชายที่จะกล่าวถึงในเรื่องเราราวต่อไปนี้ว่า "นาย M"
เรากับนาย M เริ่มคบกันหลังจากที่รู้จักกันได้สักพักหนึ่ง ซึ่งนาย M อ้างว่าทำงานเป็น freelance เกี่ยวกับทำ Website, Marketing ซึ่งเรียนจบปริญาโทจาก Australia ก่อนที่เริ่มคบกัน เขาขอหมายเลข บัญชีเรา เพื่อใช้เป็น Account ไว้สำหรับเก็บเงินให้นาย M, เนื่องจากนาย M อ้างว่าเขาไม่สามารถเก็บเงินได้อยู่ มีเท่าไร ก็ใช้หมด. เราผู้ซึ่งมีการแยกบัญชีค่าใช้จ่าย และบัญชีเก็บเงินที่ชัดเจน เรื่องแค่นี้เราก็มองว่าไม่ได้เป็นปัญหาอะไร จึงยอมให้นาย M โอนเงินมาเก็บไว้ที่เราได้, ซึ่งเราขอเรียกบัญชีการเก็บเงินของนายM นี้ว่า "Acc. K" ระหว่างที่คบกันช่วงแรกๆ นายM ได้มีการโอนเงินเก็บไว้ที่ Acc.K และได้มีการขอให้โอนเงินให้นายM จาก Acc. K กลับคืนให้ จนเงินใน Acc. K ไม่เหลือแล้ว. ได้เริ่มมีการขอยืมเงินเป็นจำนวน 3,000 บาท โดยอ้างว่า เงินค่างานยังไม่ได้โอนเข้ามาให้เดือนนี้ จึงขอยืมก่อน ซึ่งสำหรับเราแล้ว 3,000 บาท ถือว่าไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด และในเมื่อคบหากัน จึงมองว่าเป็นเรื่องปกติที่ควรไว้ใจกัน เราจึงโอนให้ ซึ่งไม่นานหลังจากที่ให้ยืม เขาก็โอนเงินคืนให้ตามปกติ.
หลังจากนั้น เหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นบ่อยมาก มีการโอนเงินให้ยืม และโอนเงินคืนมาให้ เริ่มตั้งแต่ 7:00 โมง ถึง เวลาก่อนนอน จนกระทั้ง ที่นาย M บอกเราเกี่ยวกับ คดีความ ที่เขาจะต้องเอาเงินไปจ่ายศาลเป็นยอดเงิน 100,000 บาท เขาคุกเข่าร้องไห้ กอดขาเรา ขอร้องให้เราช่วย เพราะเขาหาเงินจ่ายไม่ทัน, อ่าาาาา ใช่ อ่านมาถึงตรงจุดนี้ เราก็ช่วยไปนั้นและ
.
เหอะๆ แต่ก่อนที่จะช่วยเขา เราก็นั่งฟังเขาเล่าเรื่องราวในอดีต อย่างใจเย็น พร้อมทั้งฟังแผนในอนาคตด้วยว่าจะคืนเงินให้เราอย่างไร แต่จะใช้ชีวิตในอนคตอย่างไร และคิดในใจว่า คนเราย่อมทำเรื่องผิดพลาดได้ แต่การที่คนเคยทำผิดพลาด จะได้รับโอกาสใหม่นั้น มันหายาก เราจึงตัดสินใจช่วย และให้โอกาสเขา เพื่อให้เขาได้มีกำลังเริ่มต้นใหม่. พออ่านมาถึงจุดนี้แล้ว หลายคนก็คงบอกว่า ไอ้โง่เอ้ยยย โดนหลอกแล้วไง!! อ่าาาาาา ช่าย โดนหลอกแล้ว ครั้งที่ 1. โดยใช้ความใจดีของเรา และความไว้ใจของเรา
.
หลักจากเหตุการณ์นั้น เราก็เริ่มรู้ว่าเขามีการเล่นพนันออนไลน์ ผ่าน 1bx bet ด้วยเช่นกัน, โดยใช้เงินเราเป็นทุนในการเล่น เมื่อได้กำไรก็ถอนเงินออกมาคืนเรา และเลี้ยงข้าว, ซื้อเสื้อผ้าและของใช้ ให้เรา เงินบางส่วนเขาก็เก็บไว้จ่ายค่าศาล และค่าทนายของนาย M รวมถึงหนี้นอกระบบของนาย M ซึ่งเราก็มารู้ทีหลังเช่นกัน. วันไหนที่เสียพนัน ก็มีจะยืมเงินเราไม่หยุดหย่อน และเหตุการณ์โอนเงินให้ยืม-และโอนเงินคืน ก็เกิดขึ้นทุกวัน. ถัดมาเริ่มมีการโอนเงินจากบัญชีเราเอง หมายความว่า นาย M กดเงินออกจากบัญชีเราเอง.
.
อ่าาาาาาา ใช่ พออ่านมาถึงตรงนี้ ทำไมถึงยอมขนาดนี้ ระหว่างที่คบกับนาย M ตัวเราติดกันตลอด 24 ชั่วโมง เราไม่สามารถไปไหนคนเดียวได้ หากไปไหนคนเดียวเขาจะตามไปนั่งเฝ้า หากเราบอกว่าเลิกงาน 5 โมงเย็น เราต้องลงมาจากออฟฟิศให้ถึงลาดจอกรถ 5 โมงเย็นห้ามเลท ถ้าเลท จะเกิดการทะเลาะกันเกิดขึ้น เราเคยทะเลาะบนรถ ซึ่งอยู่ระหว่างบนทางด่วน จนกระทั้งเราไม่ไหว เราจะเปิดประตูรถลงมันตรงนั้นด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ เพราะโดนนาย M กระชากคอเสื้อคว้าไว้ เลยไม่สามารถหนีออกไปได้...อ่าาาใช่แล้ว! เราเริ่มโดนทำร้ายร่างกาย และไม่อิสระภาพในการใช้ชีวิตแม้กระทั้งโทรศัพท์ก็โดนตรวจสอบทั้งหมด.
.
จากเรื่องราวที่เกิดขึ้น เราขอสรุปเป็นข้อ สั้นดังต่อไปนี้
1. เราหนีจาก นาย M ทั้งหมด 2 ครั้ง โดยทุกครั้งที่หนี คือได้รับความช่วยเหลือจากตำรวจ และได้มีการลงบันทึกไว้
2. ทุกๆเช้า นาย M จะโทรหานางสาว B เสมอ เพื่อขอยืมเงิน ช่วงเวลา 6:30 - 8:00 โมง
3. ทุกๆ ครั้งที่นาย M ไม่มีเงินจ่ายค่าประกัน จะโทรหานางสาว B เพื่อขอยืมเงินมาจ่ายค่าประกันตน
4. ทุกๆครั้งที่นาย M ยืมเงินเรา จะบอกเสมอว่าจะคืนให้วันไหนและเหตุผลของการยืมเงิน เช่น นำเงินไปเพิ่มขนาดเครื่อง Server ให้กับ ลค. เมื่อส่งงานเสร็จจะได้รับเงินค่างาน ประมาณช่วงเวลานี้ สุดท้ายแล้ว มันคือคำโกหก ที่นาย M สร้างขึ้น ซึ่งเรามารู้ทีหลัง
5. เราเห็นเอกสารจบการศึกษาของนาย M มีเพียงปริญาตรีที่ไทยเท่านั้น (ไม่รู้ว่าจบ โท ที่ Australia จริงหรือไม่? ตามที่กล่าวอ้าง)
6. นาย M ไม่ได้มีงานเป็นหลักๆ เป็นแหล่ง และ ไม่ได้มีที่พักเป็นหลักๆ เป็นแหล่ง เช่นกัน
7. นาย M สามารถพูดคุยภาษาอังกฤษได้ในระดับดี ทำให้สือสารกับชาวต่างชาติได้ง่าย และเข้ากับคนอื่นๆได้ง่าย (มีวาทะศิลป์ที่ดี สามารถปั้นน้ำให้เป็นตัวได้)
8. นาย M ไม่มีญาติ หรือครอบครัว เพราะทุกคนตัดขาดความสัมพันธ์ทั้งหมด
9. นาย M รู้จักใช้ของแบรนเนม, น้ำหอม เป็นต้น เพราะแฟนเก่านาย M เป็นพวกรสนิยมสูงล่ะนะ
10. ยอดเงินรวมทั้งหมดที่ไม่ได้รับคืนจากการยืมไป คือ 1.4 ล้านบาท
11. สภาพจิตใจย่ำแย่มาก จนถึงขั้นเป็นโรคหวาดระแหวงการออกไปข้างนอก ต้องทำการรักษาสภาพจิตใจ
.
จากเรื่องราวทั้งหมด เราถอดบทเรียนออกมาเป็นข้อๆ ได้ดังนี้
1. ไม่ควรเชื่อใจใครง่าย ต่อให้มีหลักฐานมาแสดงให้เห็นก็ตาม เพราะหลักฐานเหล่านั้นสามารถปลอมแปลงได้ง่าย รวมทั้งรูปภาพสนทนาในไลน์ก็ตาม
2. เงิน ไม่ตายหาใหม่ได้ก็จริง แต่ว่าก็แลกมาด้วยความพยายาม และความเหนื่อยจากตัวเราเช่นกัน ดังนั้นตัวเราเองต้องเป็นคนใช้เงิน ไม่ใช่ให้คนอื่นใช้เงินแทนเรา
3. หากมีการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น จะต้องไปขอใบรับรองแพทย์ทันที เพื่อใช้ในการดำเนินฟ้องร้องทางกฏหมาย (= = ใครมันจะไปรู้ฟร๊ะ โดนทำร้ายร่างกายเสร็จ ก็ยังต้องอยู่กับมัน 24 ชม. จะให้ไป รพ. ตอนไหน? = =! อันนี้เตือนทุกคนล่ะกันนะ เราก็พึ่งมารู้ทีหลังนี้และ ว่าต้องมีใบรับรองแพทย์ด้วย)
4. หากมีการยืมเงินมากกว่า 3,000 บาท จะต้องทำเอกสารสัญญาการกู้ยืมทันที เพื่อใช้เป็นหลักฐาน
5. การแจ้งขอความช่วยเหลือกับตำรวจ จะต้องรอนานมากกว่า 5 ชั่วโมง กว่าตำรวจจะมาช่วยในแต่ล่ะครั้ง (นานเกิ๊นนนน เราจะตายซะก่อน = =!)
.
แล้วเพื่อนๆ ล่ะ มองว่า ได้บทเรียนอะไรจากเรื่องราวของเรา
เตือนภัย!! รูปแบบการโดนหลอก ในราคา 1.4 ล้านบาท และชีวิตที่เปลี่ยนไป ที่แม้แต่กฏหมาย ก็เอาผิดไม่ได้!!
.
ทราบดีว่า มีผู้เสียหาย นอกจากเราด้วยเช่นกัน จึงอยากให้กระทู้นี้ เป็นกระทู้สำหรับบอกผู้เสียหายคนอื่นๆ ว่า "หยุด!! เชื่อคำพูดของคนนั้น", "ออกห่างจากคนนั้นซะ!" เพราะคนๆนั้น โกหก ได้หน้าตายมาก, สามารถสร้างเหตุการณ์และหลักฐานสถานที่ขึ้นมาได้สมจริง ไม่แปลกใจ ที่คนนั้นๆ จะมีคดี "ฉ้อโกง" ติดตัว จากผู้เสียหายรายเก่าทั้งหมด 3 คดี (หรือมีมากกว่านั้น?) นั้นเอง.
.
สำหรับเพื่อนๆ คนอื่นที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้ คงเป็น กระทู้เอาไว้สำหรับแชร์เรื่องราวของเรา ที่ผ่านเหตุการณ์อันแสนโหดร้ายที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมาของคนๆหนึ่ง
.
สาเหตุที่ตัดสินตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา เพราะ ในเมื่อกฏหมายช่วยเราไม่ได้ ดังนั้น เราจะใช้พื้นที่สาธารณะนี้ ตีแผ่ เรื่องราว ที่เกิดจากเรื่องจริงในชีวิตของเราให้ฟัง โดยมีจุดประสงค์หลัก 3 ข้อดังต่อไปนี้
1. เพื่อเป็น 1 กระบอกเสียงของผู้เสียหาย ที่ไม่สามารถเรียกร้องดำเนินคดีได้ เพราะ อีกฝ่ายมีความรู้ด้านกฏหมาย
2. ต้องการให้คนอื่นรับรู้ว่า มันมีเรื่องราว 1 เรื่อง ที่ได้เกิดขึ้นบนโลกที่บิดเบี้ยวใบนี้
3. หวังว่ากระทู้นี้ จะไปถึงผู้เสียหายอีกท่าน ที่กำลังโดนหลอกอยู่ เนื่องจากเราไม่มี Contact บอกคนๆนั้น ว่า "คุณโดนหลอกอยู่นะ หยุดเชื่อผู้ชายคนนี้ได้แล้ว" เพราะจากที่รับรู้มา คุณก็โดนไปแล้วมากกว่า 1 ล้านบาทเช่นกัน
.
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี กับ 2 เดือน. เพื่อความสะดวกในการเรียกชื่อ เราขอแนะนำตัวละครด้วยชื่อสมมุติดังต่อไปนี้
1. ตัวเราเอง = นางสาว A,
2. ผู้ชายที่เขา = นาย M
3. เพื่อนสนิทของนาย M = นางสาว B (เป็นผู้เสียหายเช่นกัน ซึ่งอยากส่งกระทู้นี้ไปถึงคนนี้มาก เพื่อเตือนเธอ) เอ๊!? หรือว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด?
งั้นเรามาฟังเรื่องราวของเรากันเถอะ! แล้วมาช่วยกันตัดสินกันว่า นางสาว B จะเป็นผู้เสียหายด้วย หรือ เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกันแน่!!
.
เรื่องราวของเราเกิดขึ้นในปลายปี 202X เริ่มจากได้รู้จักผู้ชายคนหนึ่ง ผ่านเพื่อนที่รู้จัก ซึ่งเราขอเรียกผู้ชายที่จะกล่าวถึงในเรื่องเราราวต่อไปนี้ว่า "นาย M"
เรากับนาย M เริ่มคบกันหลังจากที่รู้จักกันได้สักพักหนึ่ง ซึ่งนาย M อ้างว่าทำงานเป็น freelance เกี่ยวกับทำ Website, Marketing ซึ่งเรียนจบปริญาโทจาก Australia ก่อนที่เริ่มคบกัน เขาขอหมายเลข บัญชีเรา เพื่อใช้เป็น Account ไว้สำหรับเก็บเงินให้นาย M, เนื่องจากนาย M อ้างว่าเขาไม่สามารถเก็บเงินได้อยู่ มีเท่าไร ก็ใช้หมด. เราผู้ซึ่งมีการแยกบัญชีค่าใช้จ่าย และบัญชีเก็บเงินที่ชัดเจน เรื่องแค่นี้เราก็มองว่าไม่ได้เป็นปัญหาอะไร จึงยอมให้นาย M โอนเงินมาเก็บไว้ที่เราได้, ซึ่งเราขอเรียกบัญชีการเก็บเงินของนายM นี้ว่า "Acc. K" ระหว่างที่คบกันช่วงแรกๆ นายM ได้มีการโอนเงินเก็บไว้ที่ Acc.K และได้มีการขอให้โอนเงินให้นายM จาก Acc. K กลับคืนให้ จนเงินใน Acc. K ไม่เหลือแล้ว. ได้เริ่มมีการขอยืมเงินเป็นจำนวน 3,000 บาท โดยอ้างว่า เงินค่างานยังไม่ได้โอนเข้ามาให้เดือนนี้ จึงขอยืมก่อน ซึ่งสำหรับเราแล้ว 3,000 บาท ถือว่าไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด และในเมื่อคบหากัน จึงมองว่าเป็นเรื่องปกติที่ควรไว้ใจกัน เราจึงโอนให้ ซึ่งไม่นานหลังจากที่ให้ยืม เขาก็โอนเงินคืนให้ตามปกติ.
หลังจากนั้น เหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นบ่อยมาก มีการโอนเงินให้ยืม และโอนเงินคืนมาให้ เริ่มตั้งแต่ 7:00 โมง ถึง เวลาก่อนนอน จนกระทั้ง ที่นาย M บอกเราเกี่ยวกับ คดีความ ที่เขาจะต้องเอาเงินไปจ่ายศาลเป็นยอดเงิน 100,000 บาท เขาคุกเข่าร้องไห้ กอดขาเรา ขอร้องให้เราช่วย เพราะเขาหาเงินจ่ายไม่ทัน, อ่าาาาา ใช่ อ่านมาถึงตรงจุดนี้ เราก็ช่วยไปนั้นและ
.
เหอะๆ แต่ก่อนที่จะช่วยเขา เราก็นั่งฟังเขาเล่าเรื่องราวในอดีต อย่างใจเย็น พร้อมทั้งฟังแผนในอนาคตด้วยว่าจะคืนเงินให้เราอย่างไร แต่จะใช้ชีวิตในอนคตอย่างไร และคิดในใจว่า คนเราย่อมทำเรื่องผิดพลาดได้ แต่การที่คนเคยทำผิดพลาด จะได้รับโอกาสใหม่นั้น มันหายาก เราจึงตัดสินใจช่วย และให้โอกาสเขา เพื่อให้เขาได้มีกำลังเริ่มต้นใหม่. พออ่านมาถึงจุดนี้แล้ว หลายคนก็คงบอกว่า ไอ้โง่เอ้ยยย โดนหลอกแล้วไง!! อ่าาาาาา ช่าย โดนหลอกแล้ว ครั้งที่ 1. โดยใช้ความใจดีของเรา และความไว้ใจของเรา
.
หลักจากเหตุการณ์นั้น เราก็เริ่มรู้ว่าเขามีการเล่นพนันออนไลน์ ผ่าน 1bx bet ด้วยเช่นกัน, โดยใช้เงินเราเป็นทุนในการเล่น เมื่อได้กำไรก็ถอนเงินออกมาคืนเรา และเลี้ยงข้าว, ซื้อเสื้อผ้าและของใช้ ให้เรา เงินบางส่วนเขาก็เก็บไว้จ่ายค่าศาล และค่าทนายของนาย M รวมถึงหนี้นอกระบบของนาย M ซึ่งเราก็มารู้ทีหลังเช่นกัน. วันไหนที่เสียพนัน ก็มีจะยืมเงินเราไม่หยุดหย่อน และเหตุการณ์โอนเงินให้ยืม-และโอนเงินคืน ก็เกิดขึ้นทุกวัน. ถัดมาเริ่มมีการโอนเงินจากบัญชีเราเอง หมายความว่า นาย M กดเงินออกจากบัญชีเราเอง.
.
อ่าาาาาาา ใช่ พออ่านมาถึงตรงนี้ ทำไมถึงยอมขนาดนี้ ระหว่างที่คบกับนาย M ตัวเราติดกันตลอด 24 ชั่วโมง เราไม่สามารถไปไหนคนเดียวได้ หากไปไหนคนเดียวเขาจะตามไปนั่งเฝ้า หากเราบอกว่าเลิกงาน 5 โมงเย็น เราต้องลงมาจากออฟฟิศให้ถึงลาดจอกรถ 5 โมงเย็นห้ามเลท ถ้าเลท จะเกิดการทะเลาะกันเกิดขึ้น เราเคยทะเลาะบนรถ ซึ่งอยู่ระหว่างบนทางด่วน จนกระทั้งเราไม่ไหว เราจะเปิดประตูรถลงมันตรงนั้นด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ เพราะโดนนาย M กระชากคอเสื้อคว้าไว้ เลยไม่สามารถหนีออกไปได้...อ่าาาใช่แล้ว! เราเริ่มโดนทำร้ายร่างกาย และไม่อิสระภาพในการใช้ชีวิตแม้กระทั้งโทรศัพท์ก็โดนตรวจสอบทั้งหมด.
.
จากเรื่องราวที่เกิดขึ้น เราขอสรุปเป็นข้อ สั้นดังต่อไปนี้
1. เราหนีจาก นาย M ทั้งหมด 2 ครั้ง โดยทุกครั้งที่หนี คือได้รับความช่วยเหลือจากตำรวจ และได้มีการลงบันทึกไว้
2. ทุกๆเช้า นาย M จะโทรหานางสาว B เสมอ เพื่อขอยืมเงิน ช่วงเวลา 6:30 - 8:00 โมง
3. ทุกๆ ครั้งที่นาย M ไม่มีเงินจ่ายค่าประกัน จะโทรหานางสาว B เพื่อขอยืมเงินมาจ่ายค่าประกันตน
4. ทุกๆครั้งที่นาย M ยืมเงินเรา จะบอกเสมอว่าจะคืนให้วันไหนและเหตุผลของการยืมเงิน เช่น นำเงินไปเพิ่มขนาดเครื่อง Server ให้กับ ลค. เมื่อส่งงานเสร็จจะได้รับเงินค่างาน ประมาณช่วงเวลานี้ สุดท้ายแล้ว มันคือคำโกหก ที่นาย M สร้างขึ้น ซึ่งเรามารู้ทีหลัง
5. เราเห็นเอกสารจบการศึกษาของนาย M มีเพียงปริญาตรีที่ไทยเท่านั้น (ไม่รู้ว่าจบ โท ที่ Australia จริงหรือไม่? ตามที่กล่าวอ้าง)
6. นาย M ไม่ได้มีงานเป็นหลักๆ เป็นแหล่ง และ ไม่ได้มีที่พักเป็นหลักๆ เป็นแหล่ง เช่นกัน
7. นาย M สามารถพูดคุยภาษาอังกฤษได้ในระดับดี ทำให้สือสารกับชาวต่างชาติได้ง่าย และเข้ากับคนอื่นๆได้ง่าย (มีวาทะศิลป์ที่ดี สามารถปั้นน้ำให้เป็นตัวได้)
8. นาย M ไม่มีญาติ หรือครอบครัว เพราะทุกคนตัดขาดความสัมพันธ์ทั้งหมด
9. นาย M รู้จักใช้ของแบรนเนม, น้ำหอม เป็นต้น เพราะแฟนเก่านาย M เป็นพวกรสนิยมสูงล่ะนะ
10. ยอดเงินรวมทั้งหมดที่ไม่ได้รับคืนจากการยืมไป คือ 1.4 ล้านบาท
11. สภาพจิตใจย่ำแย่มาก จนถึงขั้นเป็นโรคหวาดระแหวงการออกไปข้างนอก ต้องทำการรักษาสภาพจิตใจ
.
จากเรื่องราวทั้งหมด เราถอดบทเรียนออกมาเป็นข้อๆ ได้ดังนี้
1. ไม่ควรเชื่อใจใครง่าย ต่อให้มีหลักฐานมาแสดงให้เห็นก็ตาม เพราะหลักฐานเหล่านั้นสามารถปลอมแปลงได้ง่าย รวมทั้งรูปภาพสนทนาในไลน์ก็ตาม
2. เงิน ไม่ตายหาใหม่ได้ก็จริง แต่ว่าก็แลกมาด้วยความพยายาม และความเหนื่อยจากตัวเราเช่นกัน ดังนั้นตัวเราเองต้องเป็นคนใช้เงิน ไม่ใช่ให้คนอื่นใช้เงินแทนเรา
3. หากมีการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น จะต้องไปขอใบรับรองแพทย์ทันที เพื่อใช้ในการดำเนินฟ้องร้องทางกฏหมาย (= = ใครมันจะไปรู้ฟร๊ะ โดนทำร้ายร่างกายเสร็จ ก็ยังต้องอยู่กับมัน 24 ชม. จะให้ไป รพ. ตอนไหน? = =! อันนี้เตือนทุกคนล่ะกันนะ เราก็พึ่งมารู้ทีหลังนี้และ ว่าต้องมีใบรับรองแพทย์ด้วย)
4. หากมีการยืมเงินมากกว่า 3,000 บาท จะต้องทำเอกสารสัญญาการกู้ยืมทันที เพื่อใช้เป็นหลักฐาน
5. การแจ้งขอความช่วยเหลือกับตำรวจ จะต้องรอนานมากกว่า 5 ชั่วโมง กว่าตำรวจจะมาช่วยในแต่ล่ะครั้ง (นานเกิ๊นนนน เราจะตายซะก่อน = =!)
.
แล้วเพื่อนๆ ล่ะ มองว่า ได้บทเรียนอะไรจากเรื่องราวของเรา