อ.นิติมธ. รับเป็นวันที่น่าผิดหวังที่สุด ทำปชช.ไร้ความหมาย เตือนฝ่ายอำนาจ ยิ่งฆ่า ยิ่งเกิดใหม่
https://www.matichon.co.th/politics/news_4089057
อ.นิติมธ. รับเป็นวันที่น่าผิดหวังที่สุด ทำปชช.ไร้ความหมาย เตือนฝ่ายอำนาจ ยิ่งฆ่า ยิ่งเกิดใหม่
จากกรณีการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาวาระการเลือกบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่สอง เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคล ซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ซึ่งมีผู้เสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เพียงชื่อเดียว ให้รัฐสภาพิจารณา และมี ส.ส.รับรอง 299 คนครบตามจำนวนที่กำหนด
โดยหลังจากที่ประชุมได้ใช้เวลาถกเถียงและอภิปรายในเหตุผลที่สนับสนุนความเห็นของฝั่งตนเอง ซึ่งใช้เวลานานกว่า 8 ชั่วโมง กระทั่งเวลา 16.55 น. นาย
วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา กล่าวว่า ขอให้ที่ประชุมลงมติว่าการเสนอชื่อนาย
พิธาให้รัฐสภาโหวตเป็นนายกฯอีกรอบขัดกับข้อบังคับการประชุมข้อ 41 หรือไม่ โดยผลการลงมติ พบว่าเสียงข้างมาก 395 เสียง ต่อ 312 เสียง งดออกเสียง 8 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 ไม่เสนอชื่อนายพิธาซ้ำได้ในสมัยประชุมนี้
ล่าสุด ผศ.ดร.
มุนินทร์ พงศาปาน อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ให้สัมภาษณ์ผ่านมติชนทีวี ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย ก็คาดคิดไว้อยู่แล้ว เมื่อเริ่มเห็นสัญญาณตั้งแต่ไปร้องเรียน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่ กกต.ยื่นคำร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนโหวตนายกรัฐมนตรี รอบแรก เพียง 1 วัน ซึ่งทำให้เริ่มเห็นสัญญาณ และคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ผศ.ดร.
มุนินทร์ กล่าวต่อว่า ประกอบกับเห็นกำหนดเวลา การประชุมของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ประชุมในวันนี้ ทำให้เห็นอย่างค่อนข้างชัดเจน แต่ลึกๆ ก็ยังมีความหวังอยู่ริบหรี่ แต่พอมาเป็นเหมือนที่เราคิด และคนส่วนใหญ่คาดคิดไว้ทุกอย่าง ทำให้ความหวังที่เราหวัง ว่า บ้านเมืองจะเดินไปข้างหน้าได้นิดนึง มันมลายหายสิ้นไป แน่นอนว่าเกิดความผิดหวังในระดับรุนแรง เพราะในอดีตเราก็ผิดหวังซ้ำซากมาตลอด วันนี้ก็เป็นอีกวันที่น่าผิดหวังอย่างที่สุด และผิดหวังกันมาเรื่อยๆ แต่ที่น่าผิดหวังที่สุด จะเกิดจากปัจจัยที่ว่าเพิ่งมีการเลือกตั้งมา และประชาชนได้ออกเสียง ได้แสดงเจตจำนงของตนเอง แต่ว่าเสียงที่เราออกไปส่งผ่านไปยังผู้แทนของเรา มันไม่มีความหมาย
ผศ.ดร.
มุนินทร์ กล่าวต่อว่า ตนเกิดทันในช่วงเวลาที่เรามีการเลือกตั้ง คือ ช่วงหลังพฤษภาทมิฬ เห็นการฟอร์มทีมรัฐบาลกัน เห็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพบ้าง ไม่มีเสถียรภาพบ้าง มีงูเห่าบ้าง แต่ว่ามันคือกลไกของรัฐสภา เราฝันถึงคืนวันเก่าๆ ความเป็นธรรมดาของการเมือง ต่อให้มีนักการเมืองที่แย่บ้าง มีปัญหาบ้าง มันก็เป็นเรื่องการเมือง ที่สุดท้ายก็ตัดสินด้วยการเลือกตั้ง และเรารู้สึกว่าเสียงของเรามีความหมาย แต่เราผ่านมาเป็น สิบๆปีแล้ว เราถอยหลังไปยิ่งกว่าเดิม กลายเป็นว่าเรามีการเลือกตั้ง แต่เสียงของเราไม่มีความหมายอะไรเลย ในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่มีสิทธิเลือกตั้ง ก็ผิดหวังอย่างมาก
“
แต่ในฐานะนักกฎหมาย ผิดหวังอย่างยิ่งที่สุด เพราะความหวังริบหรี่ของเรา เราก็รู้ว่าสุดท้ายหลักกฎหมายที่เราอธิบาย มันคงไม่มีความหมายอะไร แต่มีความหวังว่า คนที่บังคับใช้กฎหมาย น่าจะยังคงรักษาหลักการในกฎหมายไว้อยู่บ้าง น่าจะมีสักคน สองคน สามคน หรือหลายคน ที่ยังคิดถึงหลักการพื้นฐานทางกฎหมายบ้าง แต่สุดท้ายเส้นทางที่มีการเลือก แสดงให้เห็นได้ชัดเลยว่า 1.คุณไม่เห็นหัวประชาชนเลย 2.ไม่สนใจหลักกฎหมายเลย ซึ่งผมได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า หลักกฎหมายที่เราอธิบายไปมัน คือ หลักสากลที่ใช้ในประเทศอื่นๆ แต่ไม่มีอยู่จริงในประเทศเรา ถือเป็นวันอีกวันหนึ่งที่น่าเศร้าในวงการกฎหมายของไทย” ผศ.ดร.
มุนินทร์ กล่าว
ผศ.ดร.
มุนินทร์ กล่าวต่อว่า มองว่านิติสงคราม เป็นการต่อสู้โดยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ฟังดูเหมือนกับว่าทั้งสองฝ่าย มีกำลัง มีการต่อสู้ทางกฎหมาย แต่บ้านเราไม่ใช่แบบนั้น ไม่ใช่เป็นการต่อสู้ของสองฝ่ายที่มีอาวุธในทางกฎหมาย แต่เป็นการทำลายฝ่ายเดียว สิ่งที่เกิดขึ้นคือการที่ฝ่ายหนึ่งพยายามที่จะทำลายฝ่ายหนึ่งอยู่ฝ่ายเดียว ตนคิดว่าเราเรียกว่าเป็นการล้างเผ่าพันธุ์ได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลายๆ พรรคที่ถูกมองว่าเป็นศัตรูของความมั่นคง เช่น พรรคไทยรักไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล เป็นต้น ทั้งนี้ เราต้องดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพรรคก้าวไกลต่อไป อาจจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยกับพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งตนคาดหมายว่าอาจจะไปถึงขนาดนั้น
“
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการล้างเผ่าพันธุ์ คือ ทำให้พวกนี้หมดบทบาทไปอย่างสิ้นซาก แต่ผมคิดว่า มันไม่ได้ผลอะไร เพราะยิ่งทำลาย เมื่อเกิดใหม่ขึ้นมา มันแข็งแรง ซึ่งอาจจะเป็นแบบนกฟีนิกซ์ ที่เกิดใหม่จะกลับมาแข็งแรงยิ่งกว่าเดิมอีก ผมคิดว่าในอนาคตจะเกิดปรากฏการณ์แบบนี้ เพียงแต่ว่าจะผ่านค่ายกลทางกฎหมายที่วางไว้อย่างไร ถือเป็นโจทย์สำหรับคนที่คิดจะปฏิรูปและเปลี่ยนแปลงในอนาคต” ผศ.ดร.มุนินทร์ กล่าว
“
ในมุมของคนสอนกฎหมาย พูดเรื่องนี้แล้วถอนหายใจ มันเหนื่อย และอ่อนแรงไปทุกครั้ง เมื่อพูดเรื่องพวกนี้ สิ่งที่เราต้องทำคือ ต้องยืนยันว่านี่คือหลักการที่ถูกต้อง เป็นหลักการสากลที่ประเทศอื่นๆยอมรับกัน ถึงวันนี้จะไม่เกิด แต่ทุกครั้งที่เราสอนนักศึกษา เราต้องมีความหวังเสมอ ว่า วันหนึ่งเมื่อนักศึกษาของเราไปทำหน้าที่เหล่านั้น จะเป็นคนสร้างการเปลี่ยนแปลง จะเป็นคนทำให้หลักการที่เราสอนใช้ได้จริงในประเทศของเรา ผมคิดว่าคนที่เป็นครูต้องมีความหวังแบบนี้อยู่ตลอด ถ้าวันหนึ่งเราไม่มีความหวัง ผมต้องลาออกจากการเป็นอาจารย์ ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนเราต้องมีความหวัง อาจจะต้องใช้เวลาหน่อย เพราะคนรุ่นนี้ที่เราสอนจะโตขึ้นเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม” ผศ.ดร.
มุนินทร์ กล่าว
‘ทนายอั๋น’ เล็งยื่น กกต.ตรวจสอบ ‘ส.ส.ภูมิใจไทย’ ถือหุ้นไอทีวี ชี้ต้องใช้กม.มาตรฐานเดียวกัน
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_4086903
‘ทนายอั๋น’ เล็งยื่น กกต.ตรวจสอบ ‘จักรกฤษณ์’ ถือหุ้นไอทีวี ชี้ต้องใช้กม.มาตรฐานเดียวกัน
จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีการเปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของ ส.ส. กรณีพ้นจากตำแหน่ง โดยได้เปิดเผย บัญชีทรัพย์สินของ นายจักรกฤษณ์ ทองศรี ส.ส.เขต 7 บุรีรัมย์ ที่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน พ้นตำแหน่ง เมื่อ 20 มีนาคม 2566
โดยนายจักรกฤษณ์ แจ้งว่า มีเงินลงทุน หุ้น ITV จำนวน 40,000 หุ้น มูลค่า 0.00 เป็นของผู้ยื่นเอง และหุ้น PF จำนวน 41,580,000 มูลค่า 16,632,000 เป็นของผู้ยื่น
อ่านข่าวเพิ่มเติม เปิดบัญชีทรัพย์สิน ‘
จักรกฤษณ์ ทองศรี’ ส.ส.บุรีรัมย์ ภูมิใจไทย พบถือหุ้น ITV 40,000 หุ้น
เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม นาย
ภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Phattarapong Supakson ระบุว่า
“
ภายในวันที่ 20 กรกฎาคม 2566 ทนายอั๋นบุรีรัมย์ จะยื่นหนังสือต่อกกต. เพื่อขอให้ ตรวจสอบกรณีการถือครองหุ้นสื่อไอทีวี ของนายจักรกฤษณ์ ทองศรี ส.ส. พรรคภูมิใจไทย บุรีรัมย์ เขต 10
#เพื่อขอให้กกต. ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ ตีความว่าขาดคุณสมบัติการรับสมัครเป็น ส.ส. ตาม รัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) ส่งผลทำให้สิ้นสุดสมาชิกภาพความเป็น ส.ส. ตามมาตรา 101 (6) หรือไม่
#ให้กกต. ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ โดยไม่จำต้องแจ้งข้อกล่าวหา ไม่ต้องทำการไต่สวน สืบสวนหรือ ชี้แจงข้อกล่าวหาแต่อย่างใด
ขอให้กกต. บังคับใช้กฎหมายตามมาตรฐาน เดียวกันกับที่บังคับใช้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ต่อไป ”
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid031rDoWJmBkmBLXUJtSDM1CD7bgou3YcSVnaGNHV3CNmPjxuoAjM7Sx8oLTgnPspWQl&id=100008659740633
วิจารณ์สนั่น! เพจดังอ้าง แชตผู้บริหารการศึกษา หลุด ถามแรง ทำไมไม่เฉดหัว ‘พิธา’ ออกสภา
https://www.matichon.co.th/politics/news_4088556
วิจารณ์สนั่น! เพจดังอ้าง แชตผู้บริหารการศึกษา หลุด ถามแรง ทำไมไม่เฉดหัว ‘พิธา’ ออกสภา บอกไม่แปลกใจทำไมการศึกษาไทยถอยหลัง
ในการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาวาระการเลือกบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่สอง โดย นาย
สุทิน คลังแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) เสนอชื่อ นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
จากนั้นศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย กรณี กกต.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ว่า สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ นาย
พิธา สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) หรือไม่ จากเหตุมีชื่อถือครองหุ้นสื่อบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 เห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่ามีกรณีตามที่ถูกร้องประกอบกับการปฏิบัติหน้าที่ของนาย
พิธา อาจก่อให้เกิดปัญหาข้อกฎหมายและการคัดค้านโต้แย้งเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานสำคัญของที่ประชุมรัฐสภาและที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ จึงมีคำสั่งให้นายพิธาหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2566 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
และในเวลา 14.42 น. นาย
พิธาได้ลุกขึ้นขออนุญาต นาย
วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เพื่อรับทราบคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ
ส่งผลให้ในโลกออนไลน์วันนี้ โดยเฉพาะในโลกทวิตเตอร์ ที่แฮชแท็กเกี่ยวกับการเมือง ถูกดันขึ้นเทรนด์ฮิต เทรนด์ร้อนยกแผง ไม่ว่าจะเป็น #โหวตนายกรอบ2 #ศาลรัฐธรรมนูญ #สมัยหน้ากูจะกาก้าวไกล #ประชุมสภา ขึ้นเทรนด์ในทวิตเตอร์ติดๆ กัน
ล่าสุดทวิตเตอร์ “
นักเรียนเลว” โพสต์ภาพและข้อความว่า
“
วันนี้ (19 ก.ค.) หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยสั่งให้ พิธา หยุดการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. จึงได้มีหนังสือแจ้งไปยังรัฐสภาให้รับทราบเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา
ขณะนั้น เวลา 14.40 น. ครูทิว-ธนวรรธน์ สุวรรณปาล ได้เปิดเผยข้อความในแชตไลน์ผู้บริหารด้านการศึกษา โดยปรากฏข้อความว่า “รัฐสภาลงรับหนังสือจาก(ศาล)รัฐธรรมนูญตั้งแต่บ่ายโมงครึ่ง ป่าน(นี้)ทำไมยังไม่เฉดหัวนายพิธาออกจากรัฐสภาครับ”
ครู
ทิวระบุว่า สมาชิกในกลุ่มไลน์ส่วนใหญ่ประกอบด้วยบรรดาผู้บริหารด้านการศึกษาในปัจจุบัน อดีตผู้บริหารสมาคมต่างๆ บ้างก็เป็นถึงผู้บริหารระดับในกระทรวง กรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และตำแหน่งที่สำคัญทางการเมืองหรือการศึกษาอีกมาก
จากนั้นไม่นาน เวลาประมาณ 14.50 น.
พิธา จึงได้ลุกขึ้นแจ้งต่อที่ประชุมว่ารับทราบและจะปฏิบัติตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนฝากฝังประชาชนไว้ให้เพื่อนสมาชิกสภาช่วยกันดูแลต่อไป และจึงเดินออกจากที่ประชุมพร้อมกับเสียงปรบมือ
ก่อนหน้านี้ ในกลุ่มแชตเดียวกัน ยังมีการส่งต่อรูปภาพเกี่ยวกับความเห็นของ ส.ว. รายหนึ่ง เนื้อความระบุว่า
“
#สว.มีไว้ทำไม มีไว้กลั่นกรองป้องกันคนชั่วไม่ให้ปกครองบ้านเมือง ส่งเสริมคนดีให้ปกครองบ้านเมือง… นี่คือหน้าที่ของสว.”
หลังจากโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ไม่นาน มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นว่า “
ผมก็สงสัยทำไมการศึกษาไทยยังไม่พัฒนา ได้คำตอบแล้วครับ” “จะเอาอะไรไปปฏิรูปการศึกษา” “เพราะสภาพผู้ใหญ่เป็นแบบนี้แหละ การศึกษาไทยถึงถอยหลัง” เป็นต้น
JJNY : อ.นิติมธ. รับเป็นวันที่น่าผิดหวังที่สุด│‘ทนายอั๋น’เล็งยื่นสอบสส.ภท.│เพจดังอ้างแชตหลุด│เกาหลีใต้ ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4089057
อ.นิติมธ. รับเป็นวันที่น่าผิดหวังที่สุด ทำปชช.ไร้ความหมาย เตือนฝ่ายอำนาจ ยิ่งฆ่า ยิ่งเกิดใหม่
จากกรณีการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาวาระการเลือกบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่สอง เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคล ซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ซึ่งมีผู้เสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เพียงชื่อเดียว ให้รัฐสภาพิจารณา และมี ส.ส.รับรอง 299 คนครบตามจำนวนที่กำหนด
โดยหลังจากที่ประชุมได้ใช้เวลาถกเถียงและอภิปรายในเหตุผลที่สนับสนุนความเห็นของฝั่งตนเอง ซึ่งใช้เวลานานกว่า 8 ชั่วโมง กระทั่งเวลา 16.55 น. นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา กล่าวว่า ขอให้ที่ประชุมลงมติว่าการเสนอชื่อนายพิธาให้รัฐสภาโหวตเป็นนายกฯอีกรอบขัดกับข้อบังคับการประชุมข้อ 41 หรือไม่ โดยผลการลงมติ พบว่าเสียงข้างมาก 395 เสียง ต่อ 312 เสียง งดออกเสียง 8 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 ไม่เสนอชื่อนายพิธาซ้ำได้ในสมัยประชุมนี้
ล่าสุด ผศ.ดร.มุนินทร์ พงศาปาน อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ให้สัมภาษณ์ผ่านมติชนทีวี ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย ก็คาดคิดไว้อยู่แล้ว เมื่อเริ่มเห็นสัญญาณตั้งแต่ไปร้องเรียน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่ กกต.ยื่นคำร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนโหวตนายกรัฐมนตรี รอบแรก เพียง 1 วัน ซึ่งทำให้เริ่มเห็นสัญญาณ และคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ผศ.ดร.มุนินทร์ กล่าวต่อว่า ประกอบกับเห็นกำหนดเวลา การประชุมของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ประชุมในวันนี้ ทำให้เห็นอย่างค่อนข้างชัดเจน แต่ลึกๆ ก็ยังมีความหวังอยู่ริบหรี่ แต่พอมาเป็นเหมือนที่เราคิด และคนส่วนใหญ่คาดคิดไว้ทุกอย่าง ทำให้ความหวังที่เราหวัง ว่า บ้านเมืองจะเดินไปข้างหน้าได้นิดนึง มันมลายหายสิ้นไป แน่นอนว่าเกิดความผิดหวังในระดับรุนแรง เพราะในอดีตเราก็ผิดหวังซ้ำซากมาตลอด วันนี้ก็เป็นอีกวันที่น่าผิดหวังอย่างที่สุด และผิดหวังกันมาเรื่อยๆ แต่ที่น่าผิดหวังที่สุด จะเกิดจากปัจจัยที่ว่าเพิ่งมีการเลือกตั้งมา และประชาชนได้ออกเสียง ได้แสดงเจตจำนงของตนเอง แต่ว่าเสียงที่เราออกไปส่งผ่านไปยังผู้แทนของเรา มันไม่มีความหมาย
ผศ.ดร.มุนินทร์ กล่าวต่อว่า ตนเกิดทันในช่วงเวลาที่เรามีการเลือกตั้ง คือ ช่วงหลังพฤษภาทมิฬ เห็นการฟอร์มทีมรัฐบาลกัน เห็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพบ้าง ไม่มีเสถียรภาพบ้าง มีงูเห่าบ้าง แต่ว่ามันคือกลไกของรัฐสภา เราฝันถึงคืนวันเก่าๆ ความเป็นธรรมดาของการเมือง ต่อให้มีนักการเมืองที่แย่บ้าง มีปัญหาบ้าง มันก็เป็นเรื่องการเมือง ที่สุดท้ายก็ตัดสินด้วยการเลือกตั้ง และเรารู้สึกว่าเสียงของเรามีความหมาย แต่เราผ่านมาเป็น สิบๆปีแล้ว เราถอยหลังไปยิ่งกว่าเดิม กลายเป็นว่าเรามีการเลือกตั้ง แต่เสียงของเราไม่มีความหมายอะไรเลย ในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่มีสิทธิเลือกตั้ง ก็ผิดหวังอย่างมาก
“แต่ในฐานะนักกฎหมาย ผิดหวังอย่างยิ่งที่สุด เพราะความหวังริบหรี่ของเรา เราก็รู้ว่าสุดท้ายหลักกฎหมายที่เราอธิบาย มันคงไม่มีความหมายอะไร แต่มีความหวังว่า คนที่บังคับใช้กฎหมาย น่าจะยังคงรักษาหลักการในกฎหมายไว้อยู่บ้าง น่าจะมีสักคน สองคน สามคน หรือหลายคน ที่ยังคิดถึงหลักการพื้นฐานทางกฎหมายบ้าง แต่สุดท้ายเส้นทางที่มีการเลือก แสดงให้เห็นได้ชัดเลยว่า 1.คุณไม่เห็นหัวประชาชนเลย 2.ไม่สนใจหลักกฎหมายเลย ซึ่งผมได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า หลักกฎหมายที่เราอธิบายไปมัน คือ หลักสากลที่ใช้ในประเทศอื่นๆ แต่ไม่มีอยู่จริงในประเทศเรา ถือเป็นวันอีกวันหนึ่งที่น่าเศร้าในวงการกฎหมายของไทย” ผศ.ดร.มุนินทร์ กล่าว
ผศ.ดร.มุนินทร์ กล่าวต่อว่า มองว่านิติสงคราม เป็นการต่อสู้โดยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ฟังดูเหมือนกับว่าทั้งสองฝ่าย มีกำลัง มีการต่อสู้ทางกฎหมาย แต่บ้านเราไม่ใช่แบบนั้น ไม่ใช่เป็นการต่อสู้ของสองฝ่ายที่มีอาวุธในทางกฎหมาย แต่เป็นการทำลายฝ่ายเดียว สิ่งที่เกิดขึ้นคือการที่ฝ่ายหนึ่งพยายามที่จะทำลายฝ่ายหนึ่งอยู่ฝ่ายเดียว ตนคิดว่าเราเรียกว่าเป็นการล้างเผ่าพันธุ์ได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลายๆ พรรคที่ถูกมองว่าเป็นศัตรูของความมั่นคง เช่น พรรคไทยรักไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล เป็นต้น ทั้งนี้ เราต้องดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพรรคก้าวไกลต่อไป อาจจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยกับพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งตนคาดหมายว่าอาจจะไปถึงขนาดนั้น
“สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการล้างเผ่าพันธุ์ คือ ทำให้พวกนี้หมดบทบาทไปอย่างสิ้นซาก แต่ผมคิดว่า มันไม่ได้ผลอะไร เพราะยิ่งทำลาย เมื่อเกิดใหม่ขึ้นมา มันแข็งแรง ซึ่งอาจจะเป็นแบบนกฟีนิกซ์ ที่เกิดใหม่จะกลับมาแข็งแรงยิ่งกว่าเดิมอีก ผมคิดว่าในอนาคตจะเกิดปรากฏการณ์แบบนี้ เพียงแต่ว่าจะผ่านค่ายกลทางกฎหมายที่วางไว้อย่างไร ถือเป็นโจทย์สำหรับคนที่คิดจะปฏิรูปและเปลี่ยนแปลงในอนาคต” ผศ.ดร.มุนินทร์ กล่าว
“ในมุมของคนสอนกฎหมาย พูดเรื่องนี้แล้วถอนหายใจ มันเหนื่อย และอ่อนแรงไปทุกครั้ง เมื่อพูดเรื่องพวกนี้ สิ่งที่เราต้องทำคือ ต้องยืนยันว่านี่คือหลักการที่ถูกต้อง เป็นหลักการสากลที่ประเทศอื่นๆยอมรับกัน ถึงวันนี้จะไม่เกิด แต่ทุกครั้งที่เราสอนนักศึกษา เราต้องมีความหวังเสมอ ว่า วันหนึ่งเมื่อนักศึกษาของเราไปทำหน้าที่เหล่านั้น จะเป็นคนสร้างการเปลี่ยนแปลง จะเป็นคนทำให้หลักการที่เราสอนใช้ได้จริงในประเทศของเรา ผมคิดว่าคนที่เป็นครูต้องมีความหวังแบบนี้อยู่ตลอด ถ้าวันหนึ่งเราไม่มีความหวัง ผมต้องลาออกจากการเป็นอาจารย์ ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนเราต้องมีความหวัง อาจจะต้องใช้เวลาหน่อย เพราะคนรุ่นนี้ที่เราสอนจะโตขึ้นเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม” ผศ.ดร.มุนินทร์ กล่าว
‘ทนายอั๋น’ เล็งยื่น กกต.ตรวจสอบ ‘ส.ส.ภูมิใจไทย’ ถือหุ้นไอทีวี ชี้ต้องใช้กม.มาตรฐานเดียวกัน
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_4086903
‘ทนายอั๋น’ เล็งยื่น กกต.ตรวจสอบ ‘จักรกฤษณ์’ ถือหุ้นไอทีวี ชี้ต้องใช้กม.มาตรฐานเดียวกัน
จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีการเปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของ ส.ส. กรณีพ้นจากตำแหน่ง โดยได้เปิดเผย บัญชีทรัพย์สินของ นายจักรกฤษณ์ ทองศรี ส.ส.เขต 7 บุรีรัมย์ ที่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน พ้นตำแหน่ง เมื่อ 20 มีนาคม 2566
โดยนายจักรกฤษณ์ แจ้งว่า มีเงินลงทุน หุ้น ITV จำนวน 40,000 หุ้น มูลค่า 0.00 เป็นของผู้ยื่นเอง และหุ้น PF จำนวน 41,580,000 มูลค่า 16,632,000 เป็นของผู้ยื่น
อ่านข่าวเพิ่มเติม เปิดบัญชีทรัพย์สิน ‘จักรกฤษณ์ ทองศรี’ ส.ส.บุรีรัมย์ ภูมิใจไทย พบถือหุ้น ITV 40,000 หุ้น
เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Phattarapong Supakson ระบุว่า
“ภายในวันที่ 20 กรกฎาคม 2566 ทนายอั๋นบุรีรัมย์ จะยื่นหนังสือต่อกกต. เพื่อขอให้ ตรวจสอบกรณีการถือครองหุ้นสื่อไอทีวี ของนายจักรกฤษณ์ ทองศรี ส.ส. พรรคภูมิใจไทย บุรีรัมย์ เขต 10
#เพื่อขอให้กกต. ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ ตีความว่าขาดคุณสมบัติการรับสมัครเป็น ส.ส. ตาม รัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) ส่งผลทำให้สิ้นสุดสมาชิกภาพความเป็น ส.ส. ตามมาตรา 101 (6) หรือไม่
#ให้กกต. ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ โดยไม่จำต้องแจ้งข้อกล่าวหา ไม่ต้องทำการไต่สวน สืบสวนหรือ ชี้แจงข้อกล่าวหาแต่อย่างใด
ขอให้กกต. บังคับใช้กฎหมายตามมาตรฐาน เดียวกันกับที่บังคับใช้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ต่อไป ”
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid031rDoWJmBkmBLXUJtSDM1CD7bgou3YcSVnaGNHV3CNmPjxuoAjM7Sx8oLTgnPspWQl&id=100008659740633
วิจารณ์สนั่น! เพจดังอ้าง แชตผู้บริหารการศึกษา หลุด ถามแรง ทำไมไม่เฉดหัว ‘พิธา’ ออกสภา
https://www.matichon.co.th/politics/news_4088556
วิจารณ์สนั่น! เพจดังอ้าง แชตผู้บริหารการศึกษา หลุด ถามแรง ทำไมไม่เฉดหัว ‘พิธา’ ออกสภา บอกไม่แปลกใจทำไมการศึกษาไทยถอยหลัง
ในการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาวาระการเลือกบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่สอง โดย นายสุทิน คลังแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) เสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
จากนั้นศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย กรณี กกต.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ว่า สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ นายพิธา สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) หรือไม่ จากเหตุมีชื่อถือครองหุ้นสื่อบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 เห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่ามีกรณีตามที่ถูกร้องประกอบกับการปฏิบัติหน้าที่ของนายพิธา อาจก่อให้เกิดปัญหาข้อกฎหมายและการคัดค้านโต้แย้งเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานสำคัญของที่ประชุมรัฐสภาและที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ จึงมีคำสั่งให้นายพิธาหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2566 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
และในเวลา 14.42 น. นายพิธาได้ลุกขึ้นขออนุญาต นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เพื่อรับทราบคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ
ส่งผลให้ในโลกออนไลน์วันนี้ โดยเฉพาะในโลกทวิตเตอร์ ที่แฮชแท็กเกี่ยวกับการเมือง ถูกดันขึ้นเทรนด์ฮิต เทรนด์ร้อนยกแผง ไม่ว่าจะเป็น #โหวตนายกรอบ2 #ศาลรัฐธรรมนูญ #สมัยหน้ากูจะกาก้าวไกล #ประชุมสภา ขึ้นเทรนด์ในทวิตเตอร์ติดๆ กัน
ล่าสุดทวิตเตอร์ “นักเรียนเลว” โพสต์ภาพและข้อความว่า
“วันนี้ (19 ก.ค.) หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยสั่งให้ พิธา หยุดการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. จึงได้มีหนังสือแจ้งไปยังรัฐสภาให้รับทราบเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา
ขณะนั้น เวลา 14.40 น. ครูทิว-ธนวรรธน์ สุวรรณปาล ได้เปิดเผยข้อความในแชตไลน์ผู้บริหารด้านการศึกษา โดยปรากฏข้อความว่า “รัฐสภาลงรับหนังสือจาก(ศาล)รัฐธรรมนูญตั้งแต่บ่ายโมงครึ่ง ป่าน(นี้)ทำไมยังไม่เฉดหัวนายพิธาออกจากรัฐสภาครับ”
ครูทิวระบุว่า สมาชิกในกลุ่มไลน์ส่วนใหญ่ประกอบด้วยบรรดาผู้บริหารด้านการศึกษาในปัจจุบัน อดีตผู้บริหารสมาคมต่างๆ บ้างก็เป็นถึงผู้บริหารระดับในกระทรวง กรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และตำแหน่งที่สำคัญทางการเมืองหรือการศึกษาอีกมาก
จากนั้นไม่นาน เวลาประมาณ 14.50 น. พิธา จึงได้ลุกขึ้นแจ้งต่อที่ประชุมว่ารับทราบและจะปฏิบัติตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนฝากฝังประชาชนไว้ให้เพื่อนสมาชิกสภาช่วยกันดูแลต่อไป และจึงเดินออกจากที่ประชุมพร้อมกับเสียงปรบมือ
ก่อนหน้านี้ ในกลุ่มแชตเดียวกัน ยังมีการส่งต่อรูปภาพเกี่ยวกับความเห็นของ ส.ว. รายหนึ่ง เนื้อความระบุว่า
“#สว.มีไว้ทำไม มีไว้กลั่นกรองป้องกันคนชั่วไม่ให้ปกครองบ้านเมือง ส่งเสริมคนดีให้ปกครองบ้านเมือง… นี่คือหน้าที่ของสว.”
หลังจากโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ไม่นาน มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นว่า “ผมก็สงสัยทำไมการศึกษาไทยยังไม่พัฒนา ได้คำตอบแล้วครับ” “จะเอาอะไรไปปฏิรูปการศึกษา” “เพราะสภาพผู้ใหญ่เป็นแบบนี้แหละ การศึกษาไทยถึงถอยหลัง” เป็นต้น