สวัสดีครับ สวัสดีผู้อ่านทุกๆคนเลยนะครับ
คอลัมน์ ฉบับผมเขียนขึ้นในวันที่ 12 / 7 / 66
เนื้อหาทั้งหมดผมจะอัพเดทให้ทันกับ เหตุการณ์ในปัจจุบัน นะครับ หากพิมพ์ผิดไปในบางประโยคต้องขอ อภัย ด้วยนะครับ
พอดีผมใช้ keyboard gaming ในการพิมพ์ พิมพ์ค่อนข้างยาก เพราะ keyboard ตัวเก่าเก่าไปแล้วครับ
** หากอ่านแล้วชอบ บทความของผมแล้วอยากนำไปเสนอผ่านช่องทางต่างๆ หรือ อยากติดต่องาน
วิเคราะห์ เหตุการณ์ความรุนแรงของ México ในปัจจุบัน สามารถ หลังไมค์มาได้เลยนะครับ
- -
ใน ตอนนี้ ผมจะมาเขียนถึง เหตุการณ์สังหารหมู่ที่ น่าหดหู่ และ น่าสงสารที่สุดเหตุการณ์หนึ่งใน สงครามยาเสพติด และ ความรุนแรงในประเทศ เม็กซิโก
- 2011 San Fernando massacre -
- -
เกิดอะไรขึ้นกับผู้ อพยพ ทั้ง 194 คน ที่เขาหนีความยากลำบากยากจน จากบ้านเกิดเมืองนอน เขาใฝ่ฝันที่อยากจะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม เขาอยากสัมผัสถึงคำว่า
" อิสระภาพ " เสรีภาพ " ความฝัน " การมีงานที่ดีๆ " การไม่โดนลดทอนความเป็นมนุษย์ "
- -
ทำไมโลกนี้ช่างโหดร้ายกับพวกเขาเหล่านี้ บทความนี้ผมจะไม่ชี้แนะว่า สิ่งที่ผู้ อพยพ เหล่านี้กระทำอยู่จะผิด หรือ ถูกกฎหมาย เราทั้งหลายต่างก็รู้แก่ใจกันดี แต่ผมจะสื่อถึง คุณค่า และ ความหมายของการมีชีวิตเพื่ออะไรสักอย่าง ออกเดินทางเพื่อต้องการจะพบกับอะไรบางสิ่ง หากพร้อมแล้วไปลุยกันเลยครับ
- Mr. Daydream -
ประเทศ เม็กซิโก นับว่า เป็นประเทศ ของเหล่าผู้อพยพ จาก อเมริกากลาง และ อเมริกาใต้
ทั้งจาก ปามานา กัวเตมาลา ฮอนดูรัส บราซิล ชิลิ อาร์เจนติน่า หรือ เปรู
ถามว่าทำไม ผู้คนในหลากๆประเทศถึงต้อง อพยพ ไปยัง ประเทศแห่ง อิสระภาพ และ ความฝันอย่าง อเมริกา ?
เหตุการณ์หลักๆคือ ความรุนแรงในประเทศทั้งจาก ยาเสพติด และ กลุ่มติดอาวุธ รวมถึงปัญหาด้าน การศึกษา และ การเงิน ประเทศในแถบ อเมริกาใต้
และ อเมริกากลาง มักจะประสบปัญหาเงินเฟ้อในประเทศ ปัญหาค่าแรงที่ไม่สมดุล กับ ค่าครองชีพ
แต่อย่างน้อยที่สุดในยุคปัจจุบัน ที่ อินเตอร์เน็ตเข้าถึงทุกคน ทุกเพศ และ ทุกวัย การได้มองเห็นโลกอีกใบ ประเทศอีกแห่งที่เขามีพร้อมทุกอย่าง
ที่ๆ ซึ่งเขาพอจะทำอะไรสักอย่างได้ตามที่เขาใฝ่ฝัน ที่ๆไม่ต้องอดยากปากแห้งแบบทุกวันนี้
คนที่พอจะมีทางเลือก ก็สามารถไปเริ่มต้นใหม่ ในสถานที่ใหม่ๆ
ได้อย่างราบรื่น แต่นั้นเป็นเพียงสัก 1% จาก 100% แล้วคนที่เหลือล่ะ ทำอย่างไร ?
ในเม็กซิโก เราจะแบ่งเส้นทางของผู้อพยพ ได้เป็น 2 ทางหลักๆครับ
เส้นทางที่ 1.
จากทางใต้ชายแดนประเทศ กัวเตมาลา ผ่านเม็กซิโกทาง รัฐ เชียปัส ขึ้นเหนือผ่าน รัฐเวรากรูซ และ สุดท้ายผ่าน รัฐ ตาเมาลีปัส
เมืองที่ใช้ข้ามแดนมากสุด ใน รัฐ ตาเมาลีปัส คือ เรย์โนซา และ มาตาโมโรส ที่มีทั้ง แม่น้ำ และ ทะเลทราย รวมถึง อุโมงค์ข้ามแดน
* สั้นที่สุด เร็วที่สุด ถูกที่สุด และ ...... อันตรายที่สุด
โอกาสรอดชีวิตไปถึง อเมริกา จาก 100 คน ผมให้แค่ 10 - 20 คน เท่านั้นที่จะมีโอกาสเริ่มต้นใหม่
( เส้นนี้ส่วนใหญ่จะคุมโดยกลุ่มพันธมิตร Gulf cartel , Los zetas , CJNG บางส่วน , Los Metros )
* ในปัจจุบัน ด้วยความโหดเหี้ยมของ Los zetas จึงโดนกลุ่มพันธมิตรหลายๆกลุ่ม ลงขัน ถล่ม จนทุกวันนี้แตกสลายไปเป็นกลุ่มเล็กๆน้อยๆแทนแล้วครับ
เส้นทางที่ 2.
จากทางใต้ชายแดนประเทศ กัวเตมาลา ผ่านเม็กซิโกทาง รัฐ เชียปัส , โออาซากา , มิโชอากัง , เกร์เรโร , ฮาลิสโก , ซินาลัวอา และ โซโนรา
เมืองที่ใช้ข้ามแดนมากสุดของ เส้นทางนี้คือ ซิวแดด ฮัวเรซ , โนกาเลส อาจรวมถึง ติฮัวนา และ เม็กกาลี ในรัฐ บาฮากาลิฟอร์เนีย
*ยาวที่สุด แพงที่สุด ปลอดภัยไม่สุด แต่ ไม่มีปลอดภัยกว่าเส้นนี้อีกแล้ว
โอกาสรอดชีวิตไปถึง อเมริกา จาก 100 คน ผมให้ประมาณ 30 - 40 คน เท่านั้นที่จะมีโอกาสเริ่มต้นใหม่
( เส้นนี้ส่วนใหญ่จะคุมโดยกลุ่มพันธมิตร Sinaloa cartel , CJNG , La Familia Michoacana )
- Nobody Can Save Me -
ในเดือนมีนาคม ปี 2011 มีกลุ่มผู้อพยพจำนวน 194 คน ที่ส่วนใหญ่มาจาก กัวเตมาลา ฮอนดูรัส เอลซัลวาดอร์ และ เอกวาดอร์ ใช้เส้นทางที่ 1
ในการข้ามแดนแบบผิดกฎหมาย ในช่วงแรก พวกเขาผ่านช่องทางธรรมชาติ ทาง รัฐ เชียปัส หลังจากเข้าสู่ เม็กซิโกแล้ว การเดินทางจะใช้รถบัสเป็นหลัก
ผ่านรัฐ เวรากรูซ เข้าสู่ ตาเมาลีปัส บนทางหลวงของรัฐบาลหมายเลข 101 บริเวณเมือง San Fernando รัฐ ตาเมาลีปัส
* หากเรามอง Google maps ถนนหมายเลข 101 จะตรงสู่เมือง มาตาโมโรส ซึ่งเป็น เมืองสุดท้ายก่อนจะเข้า อเมริกา
ระหว่างทางบนถนนหมายเลข 101 รถบัสของกลุ่มผู้อพยพ ได้เจอกับ กองกำลังของกลุ่ม Los zetas ที่ปิดถนน และ ล้อมรถบัสของกลุ่มผู้อพยพไว้
จากนั้นได้ใช้ อาวุธ และ กำลัง บังคับให้กลุ่มผู้อพยพ ลงจากรถบัส และแบ่งผู้อพยพเป็นหลายกลุ่ม กลุ่มละประมาณ 10 คน ขึ้นท้ายรถ กระบะ ออกไปจากถนนเส้นหลัก ขับไปยัง ฟาร์ม ปศุสัตว์ ร้างชื่อว่า La Joya ชานเมือง San Fernando ซึ่งถูกยึดโดยกลุ่ม Los zetas
* ถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้า แต่ส่วนใหญ่แล้วกลุ่ม Los zetas มักจะยึด ฟาร์ม ของ เกษตรกร ในรัฐ ตาเมาลีปัส ไปดื้อๆ ในตอนแรก มักจะใช้คำข่มขู่
แต่หาก ผู้ใดไม่ยอมยกให้ก็จะสังหารทิ้ง แล้ว ยึดเอามาเป็นของตัวเอง แบบดื้อๆ แบบนั้นเลยครับ ในช่วงนั้น Los zetas มีสมาชิกประมาณ หลักพันคน
เชื่อว่า คงไม่มีใครกล้าขัดขืนแน่นอน แต่ อย่างไรก็ตาม หาก Los zetas คิดจะยึด ที่ไหนสักแห่ง ส่วนใหญ่ ผู้ดูแลจะถูกสังหารทิ้งครับ
และส่วนใหญ่จะ แปลงสภาพ จาก ฟาร์ม ปศุสัตว์ เป็น ลานประหาร และ ห้องทรมาน
เหล่าผู้อพยพทั้ง 194 คน ถูกมัดมือ และ มัดเท้า หากเป็นผู้หญิง ก็จะโดนข่มขืน และ เรียกค่าไถ จากญาติ พ่อ แม่ ในประเทศตัวเอง ซึ่งส่วนใหญ่
ไม่มีให้หรอกครับ เพราะจ่ายค่านายหน้าข้ามแดนไปหมดแล้ว บางส่วนก็ยอมจ่าย แต่ท้ายที่สุดแล้วก็โดนสังหารทิ้งอยู่ดีครับ
หากเป็นผู้ชาย พวก Los zetas จะบังคับให้สู้กันเอง โดยมี ค้อน และ มีด ให้ฆ่ากันเอง เรียกได้ว่า ผมอ่านข่าวนี้ผมยังหดหู่ไม่หายเลยครับ
หากใครรอดชีวิต ก็จะโดนถามว่า จะเป็น Sicario ( มือปืน ) หรือ จะโดนสังหาร แต่ต่อให้เลือกอย่างไร จุดจบก็ตาย อยู่ดีครับ
เพราะ 193 คน จาก 194 ถูกยิงที่ ศีรษะ โดยมีผ้าปิดตาทุกคนครับ
พวกเขาตกเป็นเหยื่อของวิวัฒนาการใหม่ที่โหดร้ายในความรุนแรงของกลุ่มพันธมิตร Los Zetas เริ่มจี้รถเมล์ตามทางหลวง 101
พวกเขาจะข่มขืนและฆ่าผู้หญิงและเสนอทางเลือกที่น่ากลัวให้กับผู้ชาย ให้จับคู่ และ ให้ค้อนขนาดใหญ่
พวกเขาถูกบังคับให้ต่อสู้กันเอง ผู้ชนะจะกลายเป็น Los Zetas ในขณะที่ผู้แพ้ต้องตาย
ในช่วงปี 2011 เป็นปีที่กลุ่ม Gulf cartel กับ Los zetas เปิอดสงครามกันเต็มรูปแบบในรัฐ ตาเมาลีปัส อีก ข้อสังเกตุของการสังหารในครั้งนี้คือ
ทางฝั่ง Los zetas คิดว่า กลุ่มผู้อพยพคือ สมาชิกของ Gulf cartel เลยสังหารทิ้งทั้งหมด
* จุดกำเนิดของ Gulf cartel สามารถอ่านได้ในบล็อคเก่าของผมนะครับ
จาก 194 คน ที่ถูกยิง มีผู้รอดชีวิตเพียง 1 คน เชื่อกันว่าเป็นผู้อพยพชาว เอลซัลวาดอร์
ในเวลาขณะนั้น Los Zetas ได้สังหารหมดทุกคน และ ออกไปจากที่เกิดเหตุ ผู้รอดชีวิต คนนี้ได้รอจังหวะ ที่ทุกอย่างสงบลง วิ่งออกจากที่เกิดเหตุ
ไปขอความช่วยเหลือจาก ฟาร์ม ปศุสัตว์ ที่อยู่ใกล้เคียงแต่ไม่มีใคร กล้าที่จะช่วยเขา แต่ได้แนะนำให้วิ่งลงใต้ไป 10 ไมล์ เนื่องจากมีด่านของ
ทหารเม็กซิกัน อยู่ แต่ผมอยากจะบอกว่า ผู้รอดชีวิตท่านนี้ มีรอยถูกยิงที่ ศีรษะ แต่น่าจะเฉียดไป แต่อาการถือว่า บาดเจ็บ เลยทีเดียว
หลังจากขอความช่วยเหลือในช่วงกลางคืน ทหารได้เข้าไปยัง ฟาร์ม ปศุสัตว์ La Joya และ ได้ปะทะ กับ กองกำลัง Los Zetas ในบริเวณนั้น เสียชีวิตไป 4 คน และ จับเป็นอีก 9 คน เชื่อกันว่า กลุ่ม Los Zetas ได้ย้อนกลับมายังที่เกิดเหตุหลังจากออกไปในครั้งแรก
หลังจากการ ขยายผล และ สืบสวน กลุ่ม Los Zetas บวกกับ คำบอกกล่าวของผู้รอดชีวิต ในที่สุด เดือน เมษายน ปี 2011 ทางการเม็กซิโก
พร้อม ทหารอาวุธครบมือ และหน่วยพิเศษอื่นๆ รวมทั้งนักข่าว ได้เข้าตรวจค้น บริเวณ ฟาร์ม ปศุสัตว์ La Joya จนพบกับ หลุมฝังศพขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยพบในเม็กซิโก หลุมฝังศพที่ใหญ่ที่สุดสองหลุมมีความลึก 10 ฟุต แต่ละหลุมบรรจุศพได้ประมาณ 45 ศพ เหยื่อถูกซ้อนทับกันเองก่อนที่กลุ่มพันธมิตรจะใช้รถแบคโฮปิดทับที่พักของพวกเขา ขณะที่ตำรวจจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ 76 คน
สิ่งที่บาดใจที่สุดคือ ในที่เกิดเหตุมีปลอกกระสุนเพียงไม่กี่ปลอก แต่มีค้อนขนาดใหญ่ 1 อัน และร่างกายมีบาดแผลทู่ที่ศีรษะ
Ramon Ruiz บาทหลวง ในเมือง San Fernando กล่าว่า ผู้คนเริ่มหายไป ในตอนแรก เป็นคนที่มีเงิน ต่อมาก็เป็น ผู้หญิง , เด็ก และต่อมาจะเป็นใครก็ได้
" พวกเขา Los Zetas ลักพาตัวลูกชายของชาวนาในท้องถิ่นและเรียกร้องเงิน 10,000 ดอลลาร์ และเมื่อเขามอบเงินไป 5,000 ดอลลาร์ให้กับพวกเขา
พวกเขาก็ส่งลูกชายครึ่งหนึ่งไปให้เขา ”
และ ในขณะนั้น ทาง รัฐ ตามาลีปัส ก็ได้ออกมา ยอมรับว่า ยังมี รถบัสอีก 1 คัน ที่หายไปจากถนน หมายเลข 101 ที่ยังหาไม่พบ และ ไม่ทราบชะตากรรมของผู้คนบนรถบัสคันนั้น
จากเหตุการณ์ในขณะนั้นหัวหน้าตำรวจของเมือง San Fernando รวมถึงชาย 16 คนจากทั้งหมด 25 คนของเขาถูกสอบสวนภายใต้ข้อสงสัยที่ว่าช่วยกลุ่ม Los Zetas ในการลักพาตัว ฆ่า และฝังศพผู้โดยสาร เพราะในช่วงนั้น Los Zetas ต่อสู้กับ Gulf Cartel เพื่อควบคุมเครือข่ายการค้ามนุษย์
ในขณะที่ตำรวจชั้นผู้น้อยโดนข่มขู่ ให้กระทำ แต่ในขณะเดียวกันที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงกลับได้รับค่าตอบแทนจากกลุ่มพันธมิตร
หลังจากผ่านมา 2 ปี ในปี 2013 กู้ร่างของผู้เสียชีวิตกลับมาได้เพียง 49 คน และที่เหลือกลับไม่ได้รับการเคารพที่มากพอจาก รัฐบาล เม็กซิโก
จากเหตุการณ์นี้ ในปัจจุบัน ยังคงมีการสอบสวน และ จับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลา และ จากการสืบสวนอย่างละเอียด มีเจ้าที่หน้าตำรวจ และ ทหารท้องถิ่นที่ให้การช่วยเหลือ Los Zetas เป็นจำนวนมาก ในเมื่อรัฐบาลยังช่วยเราไม่ได้ มันมีทางเลือกให้เราอีกเหรอ ?
แต่ที่น่าสนใจคือ ไม่มีการพูดถึงเหตุการณ์พอมากพอทั้งในอดีต และ ปัจจุบัน ทางการเพิกเฉยต่อ เหตุการณ์นี้อย่างน่าตกใจ มีเพียงแค่ชาวเมืองที่ ฝ่าฝันความกลัว และ ความอำมหิต กลับมาจัด กิจกรรมเล็กๆน้อยๆในเมืองอยู่เสมอ เพราะ " ไม่ใช่ทุกคนที่ชอบความรุนแรง มนุษย์เกิดมาครั้งแรกไม่มีใครคิดที่อยากจะฆ่า หรือ ทำร้ายกัน แต่น่าแปลกใจเรากลับรักษาความบริสุทธิ์ของจิตใจเอาไว้ไม่ได้ "
- -
บทความนี้ผมขอ อุทิศ และ คิดถึงพวกเขา แม้สิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นถูกกระทำจะส่งเสียงต่อการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เชื่อเหลือเกินว่า หากใครได้ผ่านมาเห็นบทความนี้ จะเคารพต่อดวงวิญญาณของคุณ และ หากมีจริง ผมขอให้คุณได้มีชีวิตที่ดีกว่าเก่า และ ได้ทำตามความฝันในช่วงเวลาเหล่านั้นได้สำเร็จ
- -
ในปัจจุบัน ยังคงมีผู้อพยพผ่านทั้ง 2 เส้นทางนี้ปีละหลายแสนคน
และในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ผู้อพยพส่วนใหญ่ร้อยละ 70 ใช้เส้นทางที่ 2 เป็นเส้นทางที่ผู้อพยพยอมเสี่ยง มากกว่า เส้นทางที่ 1
The End, So Far....
San Fernando massacre แด่ความฝัน และ คุณค่าของชีวิต ที่ถูกพรากไปโดยไม่มีวันกลับ
คอลัมน์ ฉบับผมเขียนขึ้นในวันที่ 12 / 7 / 66
เนื้อหาทั้งหมดผมจะอัพเดทให้ทันกับ เหตุการณ์ในปัจจุบัน นะครับ หากพิมพ์ผิดไปในบางประโยคต้องขอ อภัย ด้วยนะครับ
พอดีผมใช้ keyboard gaming ในการพิมพ์ พิมพ์ค่อนข้างยาก เพราะ keyboard ตัวเก่าเก่าไปแล้วครับ
** หากอ่านแล้วชอบ บทความของผมแล้วอยากนำไปเสนอผ่านช่องทางต่างๆ หรือ อยากติดต่องาน
วิเคราะห์ เหตุการณ์ความรุนแรงของ México ในปัจจุบัน สามารถ หลังไมค์มาได้เลยนะครับ
- -
ใน ตอนนี้ ผมจะมาเขียนถึง เหตุการณ์สังหารหมู่ที่ น่าหดหู่ และ น่าสงสารที่สุดเหตุการณ์หนึ่งใน สงครามยาเสพติด และ ความรุนแรงในประเทศ เม็กซิโก
- 2011 San Fernando massacre -
- -
เกิดอะไรขึ้นกับผู้ อพยพ ทั้ง 194 คน ที่เขาหนีความยากลำบากยากจน จากบ้านเกิดเมืองนอน เขาใฝ่ฝันที่อยากจะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม เขาอยากสัมผัสถึงคำว่า
" อิสระภาพ " เสรีภาพ " ความฝัน " การมีงานที่ดีๆ " การไม่โดนลดทอนความเป็นมนุษย์ "
- -
ทำไมโลกนี้ช่างโหดร้ายกับพวกเขาเหล่านี้ บทความนี้ผมจะไม่ชี้แนะว่า สิ่งที่ผู้ อพยพ เหล่านี้กระทำอยู่จะผิด หรือ ถูกกฎหมาย เราทั้งหลายต่างก็รู้แก่ใจกันดี แต่ผมจะสื่อถึง คุณค่า และ ความหมายของการมีชีวิตเพื่ออะไรสักอย่าง ออกเดินทางเพื่อต้องการจะพบกับอะไรบางสิ่ง หากพร้อมแล้วไปลุยกันเลยครับ
- Mr. Daydream -
ประเทศ เม็กซิโก นับว่า เป็นประเทศ ของเหล่าผู้อพยพ จาก อเมริกากลาง และ อเมริกาใต้
ทั้งจาก ปามานา กัวเตมาลา ฮอนดูรัส บราซิล ชิลิ อาร์เจนติน่า หรือ เปรู
ถามว่าทำไม ผู้คนในหลากๆประเทศถึงต้อง อพยพ ไปยัง ประเทศแห่ง อิสระภาพ และ ความฝันอย่าง อเมริกา ?
เหตุการณ์หลักๆคือ ความรุนแรงในประเทศทั้งจาก ยาเสพติด และ กลุ่มติดอาวุธ รวมถึงปัญหาด้าน การศึกษา และ การเงิน ประเทศในแถบ อเมริกาใต้
และ อเมริกากลาง มักจะประสบปัญหาเงินเฟ้อในประเทศ ปัญหาค่าแรงที่ไม่สมดุล กับ ค่าครองชีพ
แต่อย่างน้อยที่สุดในยุคปัจจุบัน ที่ อินเตอร์เน็ตเข้าถึงทุกคน ทุกเพศ และ ทุกวัย การได้มองเห็นโลกอีกใบ ประเทศอีกแห่งที่เขามีพร้อมทุกอย่าง
ที่ๆ ซึ่งเขาพอจะทำอะไรสักอย่างได้ตามที่เขาใฝ่ฝัน ที่ๆไม่ต้องอดยากปากแห้งแบบทุกวันนี้
คนที่พอจะมีทางเลือก ก็สามารถไปเริ่มต้นใหม่ ในสถานที่ใหม่ๆ
ได้อย่างราบรื่น แต่นั้นเป็นเพียงสัก 1% จาก 100% แล้วคนที่เหลือล่ะ ทำอย่างไร ?
ในเม็กซิโก เราจะแบ่งเส้นทางของผู้อพยพ ได้เป็น 2 ทางหลักๆครับ
เส้นทางที่ 1.
จากทางใต้ชายแดนประเทศ กัวเตมาลา ผ่านเม็กซิโกทาง รัฐ เชียปัส ขึ้นเหนือผ่าน รัฐเวรากรูซ และ สุดท้ายผ่าน รัฐ ตาเมาลีปัส
เมืองที่ใช้ข้ามแดนมากสุด ใน รัฐ ตาเมาลีปัส คือ เรย์โนซา และ มาตาโมโรส ที่มีทั้ง แม่น้ำ และ ทะเลทราย รวมถึง อุโมงค์ข้ามแดน
* สั้นที่สุด เร็วที่สุด ถูกที่สุด และ ...... อันตรายที่สุด
โอกาสรอดชีวิตไปถึง อเมริกา จาก 100 คน ผมให้แค่ 10 - 20 คน เท่านั้นที่จะมีโอกาสเริ่มต้นใหม่
( เส้นนี้ส่วนใหญ่จะคุมโดยกลุ่มพันธมิตร Gulf cartel , Los zetas , CJNG บางส่วน , Los Metros )
* ในปัจจุบัน ด้วยความโหดเหี้ยมของ Los zetas จึงโดนกลุ่มพันธมิตรหลายๆกลุ่ม ลงขัน ถล่ม จนทุกวันนี้แตกสลายไปเป็นกลุ่มเล็กๆน้อยๆแทนแล้วครับ
เส้นทางที่ 2.
จากทางใต้ชายแดนประเทศ กัวเตมาลา ผ่านเม็กซิโกทาง รัฐ เชียปัส , โออาซากา , มิโชอากัง , เกร์เรโร , ฮาลิสโก , ซินาลัวอา และ โซโนรา
เมืองที่ใช้ข้ามแดนมากสุดของ เส้นทางนี้คือ ซิวแดด ฮัวเรซ , โนกาเลส อาจรวมถึง ติฮัวนา และ เม็กกาลี ในรัฐ บาฮากาลิฟอร์เนีย
*ยาวที่สุด แพงที่สุด ปลอดภัยไม่สุด แต่ ไม่มีปลอดภัยกว่าเส้นนี้อีกแล้ว
โอกาสรอดชีวิตไปถึง อเมริกา จาก 100 คน ผมให้ประมาณ 30 - 40 คน เท่านั้นที่จะมีโอกาสเริ่มต้นใหม่
( เส้นนี้ส่วนใหญ่จะคุมโดยกลุ่มพันธมิตร Sinaloa cartel , CJNG , La Familia Michoacana )
- Nobody Can Save Me -
ในเดือนมีนาคม ปี 2011 มีกลุ่มผู้อพยพจำนวน 194 คน ที่ส่วนใหญ่มาจาก กัวเตมาลา ฮอนดูรัส เอลซัลวาดอร์ และ เอกวาดอร์ ใช้เส้นทางที่ 1
ในการข้ามแดนแบบผิดกฎหมาย ในช่วงแรก พวกเขาผ่านช่องทางธรรมชาติ ทาง รัฐ เชียปัส หลังจากเข้าสู่ เม็กซิโกแล้ว การเดินทางจะใช้รถบัสเป็นหลัก
ผ่านรัฐ เวรากรูซ เข้าสู่ ตาเมาลีปัส บนทางหลวงของรัฐบาลหมายเลข 101 บริเวณเมือง San Fernando รัฐ ตาเมาลีปัส
* หากเรามอง Google maps ถนนหมายเลข 101 จะตรงสู่เมือง มาตาโมโรส ซึ่งเป็น เมืองสุดท้ายก่อนจะเข้า อเมริกา
ระหว่างทางบนถนนหมายเลข 101 รถบัสของกลุ่มผู้อพยพ ได้เจอกับ กองกำลังของกลุ่ม Los zetas ที่ปิดถนน และ ล้อมรถบัสของกลุ่มผู้อพยพไว้
จากนั้นได้ใช้ อาวุธ และ กำลัง บังคับให้กลุ่มผู้อพยพ ลงจากรถบัส และแบ่งผู้อพยพเป็นหลายกลุ่ม กลุ่มละประมาณ 10 คน ขึ้นท้ายรถ กระบะ ออกไปจากถนนเส้นหลัก ขับไปยัง ฟาร์ม ปศุสัตว์ ร้างชื่อว่า La Joya ชานเมือง San Fernando ซึ่งถูกยึดโดยกลุ่ม Los zetas
* ถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้า แต่ส่วนใหญ่แล้วกลุ่ม Los zetas มักจะยึด ฟาร์ม ของ เกษตรกร ในรัฐ ตาเมาลีปัส ไปดื้อๆ ในตอนแรก มักจะใช้คำข่มขู่
แต่หาก ผู้ใดไม่ยอมยกให้ก็จะสังหารทิ้ง แล้ว ยึดเอามาเป็นของตัวเอง แบบดื้อๆ แบบนั้นเลยครับ ในช่วงนั้น Los zetas มีสมาชิกประมาณ หลักพันคน
เชื่อว่า คงไม่มีใครกล้าขัดขืนแน่นอน แต่ อย่างไรก็ตาม หาก Los zetas คิดจะยึด ที่ไหนสักแห่ง ส่วนใหญ่ ผู้ดูแลจะถูกสังหารทิ้งครับ
และส่วนใหญ่จะ แปลงสภาพ จาก ฟาร์ม ปศุสัตว์ เป็น ลานประหาร และ ห้องทรมาน
เหล่าผู้อพยพทั้ง 194 คน ถูกมัดมือ และ มัดเท้า หากเป็นผู้หญิง ก็จะโดนข่มขืน และ เรียกค่าไถ จากญาติ พ่อ แม่ ในประเทศตัวเอง ซึ่งส่วนใหญ่
ไม่มีให้หรอกครับ เพราะจ่ายค่านายหน้าข้ามแดนไปหมดแล้ว บางส่วนก็ยอมจ่าย แต่ท้ายที่สุดแล้วก็โดนสังหารทิ้งอยู่ดีครับ
หากเป็นผู้ชาย พวก Los zetas จะบังคับให้สู้กันเอง โดยมี ค้อน และ มีด ให้ฆ่ากันเอง เรียกได้ว่า ผมอ่านข่าวนี้ผมยังหดหู่ไม่หายเลยครับ
หากใครรอดชีวิต ก็จะโดนถามว่า จะเป็น Sicario ( มือปืน ) หรือ จะโดนสังหาร แต่ต่อให้เลือกอย่างไร จุดจบก็ตาย อยู่ดีครับ
เพราะ 193 คน จาก 194 ถูกยิงที่ ศีรษะ โดยมีผ้าปิดตาทุกคนครับ
พวกเขาตกเป็นเหยื่อของวิวัฒนาการใหม่ที่โหดร้ายในความรุนแรงของกลุ่มพันธมิตร Los Zetas เริ่มจี้รถเมล์ตามทางหลวง 101
พวกเขาจะข่มขืนและฆ่าผู้หญิงและเสนอทางเลือกที่น่ากลัวให้กับผู้ชาย ให้จับคู่ และ ให้ค้อนขนาดใหญ่
พวกเขาถูกบังคับให้ต่อสู้กันเอง ผู้ชนะจะกลายเป็น Los Zetas ในขณะที่ผู้แพ้ต้องตาย
ในช่วงปี 2011 เป็นปีที่กลุ่ม Gulf cartel กับ Los zetas เปิอดสงครามกันเต็มรูปแบบในรัฐ ตาเมาลีปัส อีก ข้อสังเกตุของการสังหารในครั้งนี้คือ
ทางฝั่ง Los zetas คิดว่า กลุ่มผู้อพยพคือ สมาชิกของ Gulf cartel เลยสังหารทิ้งทั้งหมด
* จุดกำเนิดของ Gulf cartel สามารถอ่านได้ในบล็อคเก่าของผมนะครับ
จาก 194 คน ที่ถูกยิง มีผู้รอดชีวิตเพียง 1 คน เชื่อกันว่าเป็นผู้อพยพชาว เอลซัลวาดอร์
ในเวลาขณะนั้น Los Zetas ได้สังหารหมดทุกคน และ ออกไปจากที่เกิดเหตุ ผู้รอดชีวิต คนนี้ได้รอจังหวะ ที่ทุกอย่างสงบลง วิ่งออกจากที่เกิดเหตุ
ไปขอความช่วยเหลือจาก ฟาร์ม ปศุสัตว์ ที่อยู่ใกล้เคียงแต่ไม่มีใคร กล้าที่จะช่วยเขา แต่ได้แนะนำให้วิ่งลงใต้ไป 10 ไมล์ เนื่องจากมีด่านของ
ทหารเม็กซิกัน อยู่ แต่ผมอยากจะบอกว่า ผู้รอดชีวิตท่านนี้ มีรอยถูกยิงที่ ศีรษะ แต่น่าจะเฉียดไป แต่อาการถือว่า บาดเจ็บ เลยทีเดียว
หลังจากขอความช่วยเหลือในช่วงกลางคืน ทหารได้เข้าไปยัง ฟาร์ม ปศุสัตว์ La Joya และ ได้ปะทะ กับ กองกำลัง Los Zetas ในบริเวณนั้น เสียชีวิตไป 4 คน และ จับเป็นอีก 9 คน เชื่อกันว่า กลุ่ม Los Zetas ได้ย้อนกลับมายังที่เกิดเหตุหลังจากออกไปในครั้งแรก
หลังจากการ ขยายผล และ สืบสวน กลุ่ม Los Zetas บวกกับ คำบอกกล่าวของผู้รอดชีวิต ในที่สุด เดือน เมษายน ปี 2011 ทางการเม็กซิโก
พร้อม ทหารอาวุธครบมือ และหน่วยพิเศษอื่นๆ รวมทั้งนักข่าว ได้เข้าตรวจค้น บริเวณ ฟาร์ม ปศุสัตว์ La Joya จนพบกับ หลุมฝังศพขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยพบในเม็กซิโก หลุมฝังศพที่ใหญ่ที่สุดสองหลุมมีความลึก 10 ฟุต แต่ละหลุมบรรจุศพได้ประมาณ 45 ศพ เหยื่อถูกซ้อนทับกันเองก่อนที่กลุ่มพันธมิตรจะใช้รถแบคโฮปิดทับที่พักของพวกเขา ขณะที่ตำรวจจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ 76 คน
สิ่งที่บาดใจที่สุดคือ ในที่เกิดเหตุมีปลอกกระสุนเพียงไม่กี่ปลอก แต่มีค้อนขนาดใหญ่ 1 อัน และร่างกายมีบาดแผลทู่ที่ศีรษะ
Ramon Ruiz บาทหลวง ในเมือง San Fernando กล่าว่า ผู้คนเริ่มหายไป ในตอนแรก เป็นคนที่มีเงิน ต่อมาก็เป็น ผู้หญิง , เด็ก และต่อมาจะเป็นใครก็ได้
" พวกเขา Los Zetas ลักพาตัวลูกชายของชาวนาในท้องถิ่นและเรียกร้องเงิน 10,000 ดอลลาร์ และเมื่อเขามอบเงินไป 5,000 ดอลลาร์ให้กับพวกเขา
พวกเขาก็ส่งลูกชายครึ่งหนึ่งไปให้เขา ”
และ ในขณะนั้น ทาง รัฐ ตามาลีปัส ก็ได้ออกมา ยอมรับว่า ยังมี รถบัสอีก 1 คัน ที่หายไปจากถนน หมายเลข 101 ที่ยังหาไม่พบ และ ไม่ทราบชะตากรรมของผู้คนบนรถบัสคันนั้น
จากเหตุการณ์ในขณะนั้นหัวหน้าตำรวจของเมือง San Fernando รวมถึงชาย 16 คนจากทั้งหมด 25 คนของเขาถูกสอบสวนภายใต้ข้อสงสัยที่ว่าช่วยกลุ่ม Los Zetas ในการลักพาตัว ฆ่า และฝังศพผู้โดยสาร เพราะในช่วงนั้น Los Zetas ต่อสู้กับ Gulf Cartel เพื่อควบคุมเครือข่ายการค้ามนุษย์
ในขณะที่ตำรวจชั้นผู้น้อยโดนข่มขู่ ให้กระทำ แต่ในขณะเดียวกันที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงกลับได้รับค่าตอบแทนจากกลุ่มพันธมิตร
หลังจากผ่านมา 2 ปี ในปี 2013 กู้ร่างของผู้เสียชีวิตกลับมาได้เพียง 49 คน และที่เหลือกลับไม่ได้รับการเคารพที่มากพอจาก รัฐบาล เม็กซิโก
จากเหตุการณ์นี้ ในปัจจุบัน ยังคงมีการสอบสวน และ จับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลา และ จากการสืบสวนอย่างละเอียด มีเจ้าที่หน้าตำรวจ และ ทหารท้องถิ่นที่ให้การช่วยเหลือ Los Zetas เป็นจำนวนมาก ในเมื่อรัฐบาลยังช่วยเราไม่ได้ มันมีทางเลือกให้เราอีกเหรอ ?
แต่ที่น่าสนใจคือ ไม่มีการพูดถึงเหตุการณ์พอมากพอทั้งในอดีต และ ปัจจุบัน ทางการเพิกเฉยต่อ เหตุการณ์นี้อย่างน่าตกใจ มีเพียงแค่ชาวเมืองที่ ฝ่าฝันความกลัว และ ความอำมหิต กลับมาจัด กิจกรรมเล็กๆน้อยๆในเมืองอยู่เสมอ เพราะ " ไม่ใช่ทุกคนที่ชอบความรุนแรง มนุษย์เกิดมาครั้งแรกไม่มีใครคิดที่อยากจะฆ่า หรือ ทำร้ายกัน แต่น่าแปลกใจเรากลับรักษาความบริสุทธิ์ของจิตใจเอาไว้ไม่ได้ "
- -
บทความนี้ผมขอ อุทิศ และ คิดถึงพวกเขา แม้สิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นถูกกระทำจะส่งเสียงต่อการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เชื่อเหลือเกินว่า หากใครได้ผ่านมาเห็นบทความนี้ จะเคารพต่อดวงวิญญาณของคุณ และ หากมีจริง ผมขอให้คุณได้มีชีวิตที่ดีกว่าเก่า และ ได้ทำตามความฝันในช่วงเวลาเหล่านั้นได้สำเร็จ
- -
ในปัจจุบัน ยังคงมีผู้อพยพผ่านทั้ง 2 เส้นทางนี้ปีละหลายแสนคน
และในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ผู้อพยพส่วนใหญ่ร้อยละ 70 ใช้เส้นทางที่ 2 เป็นเส้นทางที่ผู้อพยพยอมเสี่ยง มากกว่า เส้นทางที่ 1
The End, So Far....