สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ทุกท่าน
วันนี้เราอยากจะมาแชร์ ประสบการณ์ของตัวเองในการรักษาโรคสะเก็ดเงิน (ตอนนี้เราอายุ 30 ปี) (อาจจะยาวมากหน่อยแต่หวังว่าจะเป็นประโยชน์และเป็นกำลังใจให้กับคนที่ต่อสู้กับโรคนี้เหมือนเรานะค่ะ)
เดิม เรารู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ตั้งแต่ช่วง ม.ต้น เริ่มแรก อาการของโรคน้อยมาก เราเป็นที่ขอบกกหู และที่ศีรษะ ไปหาหมอที่ รพ. เอกชนแห่งหนึ่ง ก็ได้ใจความว่าเราเป็นสะเก็ดเงิน ซึ่งคุณหมอก็ไม่ได้ให้ความรู้อะไรมาก พร้อมให้สบู่อาบน้ำ และยาทาเสตียรอยด์มาให้ใช้ ซึ่งตอนแรกแอบตกใจ เพราะกลัวว่ามันจะเป็นที่ลำตัว หรือ หน้าด้วย
แต่ใดๆ โรคก็คือ สงบมาตลอดช่วงมัธยม ไม่ได้เป็นตรงส่วนไหนเพิ่มเติม เราก็คิดว่า เราน่าจะอยู่กับมันได้
- พอมาช่วงเรียน มหาลัย
เราค่อนข้างเรียนหนัก + เป็นพวก perfectionist ทำอะไรต้องไปให้สุด ทุ่มเท ทำให้เราเครียดมากกก และโรคก็เริ่มเป็นหนักขึ้น แต่เราไม่เคยใส่ใจฟังเสียงสุขภาพตัวเองเลย โดยมันเริ่มเป็นผื่นที่ ช่วงข้อศอก แบบผื่นเล็กๆ และ เริ่มเป็นทีหลังขา เอาจริง ตอนนั้นก็เริ่มรู้ว่าเป็นมากขึ้น แต่ก็ยังมีเสตียรรอยที่รัก คอยปลอบประโลมอยู่ และก็ยังคง focus กับการเรียนมากเหมือนเดิม พอช่วงปี 4 (เทอม 2 ใกล้จะเรียนจบ) เรียนน้อยลง และรู้สึกว่าเราอ่ะ ทุ่มเทกับการเรียนเยอะเกินพอดี และเริ่มตระหนักรู้ถึงความสำคัญของสุขภาพมากขึ้น จึงเริ่มศึกษาหาข้อมูลอย่างละเอียด และก็พบว่าหลายๆที่บอกว่า การรักษาแบบใช้เสตียรรอยนั้นไม่ยั่งยืน เราไม่มีทางหายได้ และเมื่อเราหยุดใช้มันจะเป็นมากขึ้น ตอนนั้น เราเลยตัดสินใจ ไปหาแพทย์ทางเลือกดู
- ไปหาแพทย์ทางเลือก ครั้งแรก
หมอบอกให้ลองหยุดใช้เสตรียรอย สัก 3 เดือนก่อน แล้วค่อยมาใช้ยาทาของหมอ โดยคุณหมอได้บอกว่าห้ามทานอะไรบ้าง และให้ออกกำลังกาย รวมถึงวิธีการดูแลตัวเอง ไม่นอนดึก ไม่เครียด คุณหมอบอกว่า โรคจะกำเริบจากการทานอาหารแสลง (พวก นม ขนมปัง ของหมักดอง) และความเครียด ตอนนั้น เราตั้งใจมาก ตั้งปณิธานไว้ว่าจะหายให้ได้ จึงตั้งใจทานอาหาร และออกกำลังตอนเช้าด้วยการวิ่ง 1 ชม. เอาจริง ตอนนั้น จากที่เคนขาว เป็นคนผิวแทนๆ ไปเลย แต่เรา happy นะ โรคดีขึ้นมากๆ และเราไม่ได้ใช้เสตียรอยเลย มันแทบจะไม่มา
- พอเรียน ป. ตรีจบ เราตัดสินใจเรียนต่อ ป. โท เลย และตั้งใจว่าจะเรียนแบบ ไม่เครียด balance ให้ชีวิตมีสมดุล ซึ่งมันโอเคเลย มันค่อยข้างสงบ มีโผล่บ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ไม่ได้ใช้เสตรียรอย ก็คือบอกลาน้องเสตียรอยไปเลย
- หลังจากเรียนจบ ป.โท เราเข้ามาทำงานสาย finance ซึ่ง ช่วงแรก เราค่อนข้างกังวล กลัวโรคกำเริบ ถ้างานมันหนัก และไม่ค่อยมีเวลา แต่เราก็พยายามแบ่งเวลา ด้วยการตื่นนอน มาออกกำลังกายช่วงเช้า ซึ่งช่วงแรกของการทำงานมันก็ยังค่อนข้างดี แต่หลังจากนั้น 2 ปี มันเริ่มเป็นที่ ขา แบบว่านอกกระโปรง ช่วงตรงข้อพับ ทำให้เรากังวล เพราะมันเป็นเรื่องรูปลักษณ์ภาพนอก (เอาง่ายๆ ก้คือกลัวไม่สวย) เราตัดสินใจไปพบหมอทางเลือกคนแรกอีกครั้ง และ สั่งยาทา แบบเดิมมา และเราก็ไม่กินของที่มีส่วนผสมของนมเหมือนเดิม แต่ก็กิน พวก แซลมอน อาหารญี่ปุ่น อาหารมีรสเปรี้ยว เผ็ด ปกติ (ซึ่งปกติก็ไม่ได้เป็นคนทานรสจัด) รวมถึงยังคงมีวินัยขึ้นมาออกกำลังกายสัปดาห์ละ 4-5 วัน อย่างสม่ำเสมอ แต่โรคมันดูไม่มีวี่แวว จะดีขึ้นเลย โชคดีที่ทำงาน สามารถใส่กางเกงทำงาน ไปได้ จึงหันมาใส่แต่กางเกง เพื่อปิดบังส่วนที่เป็นไว้ พอโรคมันดูว่าไม่มีท่าทีจะดีขึ้นเราจึงตัดสินใจ กลับไปหาหมอแผนปัจจุบันอีกครั้ง และประกอบกับช่วงนั้นเอง เราก็ตัดสินใจเรียนต่อ ป. เอก ทั้งเรียนไปด้วยและทำงานไปด้วย (อ่านมาถึงจุดนี้คิดว่า หลายๆ คนคงคิดว่า จะเรียนอะไรหนักหนาใช่ไหมค่ะ 55555 แต่จริงๆ มันเป็นเป้าหมายชีวิตของเราอย่างนึงเลย เราก็เลยตัดสินใจทำมัน)
- การกลับไปหาหมอแผนปัจจุบัน แผนการรักษาคือ ยาทาเสตียรอย แบบเดิม และดูว่าไม่มีท่าทีว่าโรคจะดีขึ้น หมอจึงให้เราทานยา methotrexate ซึ่งเราทำใจลำบากมากกกกกกก ตั้งแต่การกลับไปใช้เสตียรอย รวมไปถึงขั้นที่ต้องกินยา เรายอมรับยาแรงมากกก กินแล้วมึนๆหัว เหมือนมันไม่สดชื่นเลย เราเริ่มรู้สึกไม่อยากเรียนต่อ ป.เอก แล้ว (รู้สึกว่ามันหนักเกินไป ทั้งๆ ที่พยายามจะไม่กดดัน) ตอนนั้นเรียนไปจนเข้า ปีที่ 2 แล้ว เราใช้เสตรียรอย อยู่เป็นปีๆ เลยจนรู้สึกว่ามันไม่ work แล้ว เราจึงตัดสินใจจะหยุดยาอีกครั้ง และไปหาหมอทาเลือกที่เป็นหมอแผนไทย
- การไปหาหมอแผนไทย เริ่มม.ค. 2022 นั้น หมอบอกวิธีการรักษาด้วยการทานยา ให้มันปะทุออก มา เอาจริงตอนนั้นสู้มากก ก้คิดว่า ช่วง covid อยู่ได้ WFH ไม่ได้ต้องไปทำงาน ก้คิดว่าไหว เอาว่ะ สู้ คุณหมอที่เป็น head ของที่นั่น ไม่ค่อยน่ารักเลย ในความคิดเรา เค้าบอกว่า อย่าแต่งงานนะ อย่ามีลูก โรคนี้เป็นโรคเวรโรคกรรม (คือเราเข้าใจนะ ว่าโรคมันไม่ได้หายขาด แต่คนเราแต่งงานก็ไม่จำเป็นต้องมีลูกป่ะ แค่รู้สึกว่าหมอไม่ควรพูดแบบนี้กับคนไข้ เอาจริง เรารู้นะ ว่ามันก้เปนเวรเปนกรรม ถ้าเขื่อแนวพุทธศาสนา แต่หมอก็ไม่ต้องย้ำค่ะ 5555) นั่นแหล่ะ แต่ก้ยังตัดสินใจรักษา แต่คุณหมอที่เป็นคนดูแลเราจะเป็นอีกคนนึงใจดีมาก ให้คำแนะนำ คอยถามว่าเรากินยาปะทุ week นี้เป็นไง โอเค ไหม
- การกินยาปะทุ ขอบอกเลย ว่าเห้มากกกก ทุกสรรพสิ่ง ได้เปิดโลกกว้าง มันขึ้นแบบบเยอะมากก ทั้งตัว ทั้งแขน ขา หลัง รวมถึง หน้า (อันเป็นที่รัก) เราเกือบ emotional breakdown ไปเลย อ่า แบบว่าเครียดมากกก แต่ก็ยังประคองสติ ไม่ให้ตรูเป็นซึมเศร้า 55555 ระหว่างนี้มันต้องกลับไปทำงานแล้ว แบบว่า เริ่ม เข้า office ประมาณ 3 วัน ประกอบกับเราถูกย้ายทีมไปอยู่ตรงที่ต้องเข้าทุกวัน ตอนนั้น ไม่ได้แต่งหน้า ไม่ได้เขียนคิ้ว ไม่ได้กันคิ้ว คนก้ทักตลอดว่า เกิดอะไรขึ้น ช่วงนั้น อยู่หน้า โต๊ะเครื่อแป้งเป็นช่วงโมง เพื่ออะไรไม่รู้ ทั้งๆ ที่ก้ไม่ได้แต่งหน้า เราไม่ส่องกระจก ไม่เปิดไฟอาบน้ำ ปิดไฟแปรงฟัน ไม่อยากมองหน้าตัวเองเลย ตอนนั้นเราตระหนัก แล้วว่าเราไม่ไหวแล้วกับยาปะทุ เลยตัดสินใจไป search หาแพทย์ทางเลือกทีอื่น
- และ เราไปเจอคุณหมอ มาร์ แพทย์แผนไทยประยุกต์ ตรงแถวบางแค ที่เคยรักษาคนหายจากสะเก็ดเงินในรายการจัทนร์พันดาว หาย คุณหมอ แนะนำดีมาก ว่าเราห้ามทานอะไรบ้าง (ซึ่งเอาจริงเยอะมาก) นม ขนมปัง อาหารทะเล อาหารรสจัด ขมจัด เปรี้ยว มะนาว อะไรที่ปรุงแต่งทานไม่ได้เลย และคุณหมอก้บอกว่า หยุดออกกำลังหนัก เพราะว่าตอนนี้ร่างกายเรามันอ่อนแอ แค่ ยืดเหยียดไม่ให้เส้นตึงพอ เราเลยเปลี่ยนมาเล่น โยคะ ตอนเช้าและก่อนนอน วันละ 10 - 15 นาที จาก youtube เอาจิง ตอนนั้นก้เป็นท้อ เหนื่อยใจ อยากหยุดพักงานสัก 6 เดือน เพราะไม่อยากแบกหน้าไปเจอใคร แค่ประคองให้ใจไม่ down ก็สุดยอดแล้ว ตอนที่เป็นเยอะๆ แล้วสภาพจิตใจแย่มากๆ ได้แต่ให้กำลังใจตัวเอง ว่าเราจะอดทนให้ผ่านวันที่แยนี้ไปให้ได้ และแล้วผ่านไป 7-8 เดือน มันเริ่มดีขึ้นมากๆ เริ่มจากที่หลังจะกระจายเป็นวงกว้างๆ แล้วค่อยๆ หายไปในที่สุด
- ตอนนี้รักษากับคุณหมอมา ครบ 1 ปี แล้ว หายเกือบ 95% เหลือเพียงแต่รอยดำ หลังจากที่โรคหาย คุณหมอก็บอกว่าผิวจะค่อยๆปรับให้เสมอกันไปเอง แต่แค่มันหาย กลับมาใส่เสื้อแขนสั้นได้ กลับมาแต่งหน้า กันคิ้ว ได้ก็สุดยอดแล้ว และก็คิดว่าจริงๆ เราก็คงยังต้องดูแลสุขภาพ และอยู่กับน้องสะเก็ดตี้น้อยกันต่อไปอย่างสันติ ดูแลให้โรคสงบ ไม่รู้ว่าที่เล่ามาจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่ กำลังเผชิญโรคนี้อยู่หรือไม่ แต่ขอเป็นกำลังใจให้ผ่านวันที่แย่ๆ ไปได้นะค่ะ ฝนคงไม่ได้ตกอยู่ที่เราตลอดเวลา ตลอดปี สิ่งที่เราเรียนรู้จากโรคนี้ก้คือ อย่าเครียดจนเกินไป ดูแลเรื่องอาหารการกินให้ดี ความจริงถ้าไม่มีโรคนี้เราอาจจะเป็นคนที่บ้างาน หรือเป็น perfectionist สุดๆ ไปเลยก็ได้ การที่มีเค้าเข้ามามันทำให้เราเห็นคุณค่าในชีวิตในด้านอื่นๆ มากขึ้น สู้ๆ นะค่ะ
แชร์ประสบการณ์การรักษาสะเก็ดเงิน กับแพทย์ทางเลือก
วันนี้เราอยากจะมาแชร์ ประสบการณ์ของตัวเองในการรักษาโรคสะเก็ดเงิน (ตอนนี้เราอายุ 30 ปี) (อาจจะยาวมากหน่อยแต่หวังว่าจะเป็นประโยชน์และเป็นกำลังใจให้กับคนที่ต่อสู้กับโรคนี้เหมือนเรานะค่ะ)
เดิม เรารู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ตั้งแต่ช่วง ม.ต้น เริ่มแรก อาการของโรคน้อยมาก เราเป็นที่ขอบกกหู และที่ศีรษะ ไปหาหมอที่ รพ. เอกชนแห่งหนึ่ง ก็ได้ใจความว่าเราเป็นสะเก็ดเงิน ซึ่งคุณหมอก็ไม่ได้ให้ความรู้อะไรมาก พร้อมให้สบู่อาบน้ำ และยาทาเสตียรอยด์มาให้ใช้ ซึ่งตอนแรกแอบตกใจ เพราะกลัวว่ามันจะเป็นที่ลำตัว หรือ หน้าด้วย
แต่ใดๆ โรคก็คือ สงบมาตลอดช่วงมัธยม ไม่ได้เป็นตรงส่วนไหนเพิ่มเติม เราก็คิดว่า เราน่าจะอยู่กับมันได้
- พอมาช่วงเรียน มหาลัย
เราค่อนข้างเรียนหนัก + เป็นพวก perfectionist ทำอะไรต้องไปให้สุด ทุ่มเท ทำให้เราเครียดมากกก และโรคก็เริ่มเป็นหนักขึ้น แต่เราไม่เคยใส่ใจฟังเสียงสุขภาพตัวเองเลย โดยมันเริ่มเป็นผื่นที่ ช่วงข้อศอก แบบผื่นเล็กๆ และ เริ่มเป็นทีหลังขา เอาจริง ตอนนั้นก็เริ่มรู้ว่าเป็นมากขึ้น แต่ก็ยังมีเสตียรรอยที่รัก คอยปลอบประโลมอยู่ และก็ยังคง focus กับการเรียนมากเหมือนเดิม พอช่วงปี 4 (เทอม 2 ใกล้จะเรียนจบ) เรียนน้อยลง และรู้สึกว่าเราอ่ะ ทุ่มเทกับการเรียนเยอะเกินพอดี และเริ่มตระหนักรู้ถึงความสำคัญของสุขภาพมากขึ้น จึงเริ่มศึกษาหาข้อมูลอย่างละเอียด และก็พบว่าหลายๆที่บอกว่า การรักษาแบบใช้เสตียรรอยนั้นไม่ยั่งยืน เราไม่มีทางหายได้ และเมื่อเราหยุดใช้มันจะเป็นมากขึ้น ตอนนั้น เราเลยตัดสินใจ ไปหาแพทย์ทางเลือกดู
- ไปหาแพทย์ทางเลือก ครั้งแรก
หมอบอกให้ลองหยุดใช้เสตรียรอย สัก 3 เดือนก่อน แล้วค่อยมาใช้ยาทาของหมอ โดยคุณหมอได้บอกว่าห้ามทานอะไรบ้าง และให้ออกกำลังกาย รวมถึงวิธีการดูแลตัวเอง ไม่นอนดึก ไม่เครียด คุณหมอบอกว่า โรคจะกำเริบจากการทานอาหารแสลง (พวก นม ขนมปัง ของหมักดอง) และความเครียด ตอนนั้น เราตั้งใจมาก ตั้งปณิธานไว้ว่าจะหายให้ได้ จึงตั้งใจทานอาหาร และออกกำลังตอนเช้าด้วยการวิ่ง 1 ชม. เอาจริง ตอนนั้น จากที่เคนขาว เป็นคนผิวแทนๆ ไปเลย แต่เรา happy นะ โรคดีขึ้นมากๆ และเราไม่ได้ใช้เสตียรอยเลย มันแทบจะไม่มา
- พอเรียน ป. ตรีจบ เราตัดสินใจเรียนต่อ ป. โท เลย และตั้งใจว่าจะเรียนแบบ ไม่เครียด balance ให้ชีวิตมีสมดุล ซึ่งมันโอเคเลย มันค่อยข้างสงบ มีโผล่บ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ไม่ได้ใช้เสตรียรอย ก็คือบอกลาน้องเสตียรอยไปเลย
- หลังจากเรียนจบ ป.โท เราเข้ามาทำงานสาย finance ซึ่ง ช่วงแรก เราค่อนข้างกังวล กลัวโรคกำเริบ ถ้างานมันหนัก และไม่ค่อยมีเวลา แต่เราก็พยายามแบ่งเวลา ด้วยการตื่นนอน มาออกกำลังกายช่วงเช้า ซึ่งช่วงแรกของการทำงานมันก็ยังค่อนข้างดี แต่หลังจากนั้น 2 ปี มันเริ่มเป็นที่ ขา แบบว่านอกกระโปรง ช่วงตรงข้อพับ ทำให้เรากังวล เพราะมันเป็นเรื่องรูปลักษณ์ภาพนอก (เอาง่ายๆ ก้คือกลัวไม่สวย) เราตัดสินใจไปพบหมอทางเลือกคนแรกอีกครั้ง และ สั่งยาทา แบบเดิมมา และเราก็ไม่กินของที่มีส่วนผสมของนมเหมือนเดิม แต่ก็กิน พวก แซลมอน อาหารญี่ปุ่น อาหารมีรสเปรี้ยว เผ็ด ปกติ (ซึ่งปกติก็ไม่ได้เป็นคนทานรสจัด) รวมถึงยังคงมีวินัยขึ้นมาออกกำลังกายสัปดาห์ละ 4-5 วัน อย่างสม่ำเสมอ แต่โรคมันดูไม่มีวี่แวว จะดีขึ้นเลย โชคดีที่ทำงาน สามารถใส่กางเกงทำงาน ไปได้ จึงหันมาใส่แต่กางเกง เพื่อปิดบังส่วนที่เป็นไว้ พอโรคมันดูว่าไม่มีท่าทีจะดีขึ้นเราจึงตัดสินใจ กลับไปหาหมอแผนปัจจุบันอีกครั้ง และประกอบกับช่วงนั้นเอง เราก็ตัดสินใจเรียนต่อ ป. เอก ทั้งเรียนไปด้วยและทำงานไปด้วย (อ่านมาถึงจุดนี้คิดว่า หลายๆ คนคงคิดว่า จะเรียนอะไรหนักหนาใช่ไหมค่ะ 55555 แต่จริงๆ มันเป็นเป้าหมายชีวิตของเราอย่างนึงเลย เราก็เลยตัดสินใจทำมัน)
- การกลับไปหาหมอแผนปัจจุบัน แผนการรักษาคือ ยาทาเสตียรอย แบบเดิม และดูว่าไม่มีท่าทีว่าโรคจะดีขึ้น หมอจึงให้เราทานยา methotrexate ซึ่งเราทำใจลำบากมากกกกกกก ตั้งแต่การกลับไปใช้เสตียรอย รวมไปถึงขั้นที่ต้องกินยา เรายอมรับยาแรงมากกก กินแล้วมึนๆหัว เหมือนมันไม่สดชื่นเลย เราเริ่มรู้สึกไม่อยากเรียนต่อ ป.เอก แล้ว (รู้สึกว่ามันหนักเกินไป ทั้งๆ ที่พยายามจะไม่กดดัน) ตอนนั้นเรียนไปจนเข้า ปีที่ 2 แล้ว เราใช้เสตรียรอย อยู่เป็นปีๆ เลยจนรู้สึกว่ามันไม่ work แล้ว เราจึงตัดสินใจจะหยุดยาอีกครั้ง และไปหาหมอทาเลือกที่เป็นหมอแผนไทย
- การไปหาหมอแผนไทย เริ่มม.ค. 2022 นั้น หมอบอกวิธีการรักษาด้วยการทานยา ให้มันปะทุออก มา เอาจริงตอนนั้นสู้มากก ก้คิดว่า ช่วง covid อยู่ได้ WFH ไม่ได้ต้องไปทำงาน ก้คิดว่าไหว เอาว่ะ สู้ คุณหมอที่เป็น head ของที่นั่น ไม่ค่อยน่ารักเลย ในความคิดเรา เค้าบอกว่า อย่าแต่งงานนะ อย่ามีลูก โรคนี้เป็นโรคเวรโรคกรรม (คือเราเข้าใจนะ ว่าโรคมันไม่ได้หายขาด แต่คนเราแต่งงานก็ไม่จำเป็นต้องมีลูกป่ะ แค่รู้สึกว่าหมอไม่ควรพูดแบบนี้กับคนไข้ เอาจริง เรารู้นะ ว่ามันก้เปนเวรเปนกรรม ถ้าเขื่อแนวพุทธศาสนา แต่หมอก็ไม่ต้องย้ำค่ะ 5555) นั่นแหล่ะ แต่ก้ยังตัดสินใจรักษา แต่คุณหมอที่เป็นคนดูแลเราจะเป็นอีกคนนึงใจดีมาก ให้คำแนะนำ คอยถามว่าเรากินยาปะทุ week นี้เป็นไง โอเค ไหม
- การกินยาปะทุ ขอบอกเลย ว่าเห้มากกกก ทุกสรรพสิ่ง ได้เปิดโลกกว้าง มันขึ้นแบบบเยอะมากก ทั้งตัว ทั้งแขน ขา หลัง รวมถึง หน้า (อันเป็นที่รัก) เราเกือบ emotional breakdown ไปเลย อ่า แบบว่าเครียดมากกก แต่ก็ยังประคองสติ ไม่ให้ตรูเป็นซึมเศร้า 55555 ระหว่างนี้มันต้องกลับไปทำงานแล้ว แบบว่า เริ่ม เข้า office ประมาณ 3 วัน ประกอบกับเราถูกย้ายทีมไปอยู่ตรงที่ต้องเข้าทุกวัน ตอนนั้น ไม่ได้แต่งหน้า ไม่ได้เขียนคิ้ว ไม่ได้กันคิ้ว คนก้ทักตลอดว่า เกิดอะไรขึ้น ช่วงนั้น อยู่หน้า โต๊ะเครื่อแป้งเป็นช่วงโมง เพื่ออะไรไม่รู้ ทั้งๆ ที่ก้ไม่ได้แต่งหน้า เราไม่ส่องกระจก ไม่เปิดไฟอาบน้ำ ปิดไฟแปรงฟัน ไม่อยากมองหน้าตัวเองเลย ตอนนั้นเราตระหนัก แล้วว่าเราไม่ไหวแล้วกับยาปะทุ เลยตัดสินใจไป search หาแพทย์ทางเลือกทีอื่น
- และ เราไปเจอคุณหมอ มาร์ แพทย์แผนไทยประยุกต์ ตรงแถวบางแค ที่เคยรักษาคนหายจากสะเก็ดเงินในรายการจัทนร์พันดาว หาย คุณหมอ แนะนำดีมาก ว่าเราห้ามทานอะไรบ้าง (ซึ่งเอาจริงเยอะมาก) นม ขนมปัง อาหารทะเล อาหารรสจัด ขมจัด เปรี้ยว มะนาว อะไรที่ปรุงแต่งทานไม่ได้เลย และคุณหมอก้บอกว่า หยุดออกกำลังหนัก เพราะว่าตอนนี้ร่างกายเรามันอ่อนแอ แค่ ยืดเหยียดไม่ให้เส้นตึงพอ เราเลยเปลี่ยนมาเล่น โยคะ ตอนเช้าและก่อนนอน วันละ 10 - 15 นาที จาก youtube เอาจิง ตอนนั้นก้เป็นท้อ เหนื่อยใจ อยากหยุดพักงานสัก 6 เดือน เพราะไม่อยากแบกหน้าไปเจอใคร แค่ประคองให้ใจไม่ down ก็สุดยอดแล้ว ตอนที่เป็นเยอะๆ แล้วสภาพจิตใจแย่มากๆ ได้แต่ให้กำลังใจตัวเอง ว่าเราจะอดทนให้ผ่านวันที่แยนี้ไปให้ได้ และแล้วผ่านไป 7-8 เดือน มันเริ่มดีขึ้นมากๆ เริ่มจากที่หลังจะกระจายเป็นวงกว้างๆ แล้วค่อยๆ หายไปในที่สุด
- ตอนนี้รักษากับคุณหมอมา ครบ 1 ปี แล้ว หายเกือบ 95% เหลือเพียงแต่รอยดำ หลังจากที่โรคหาย คุณหมอก็บอกว่าผิวจะค่อยๆปรับให้เสมอกันไปเอง แต่แค่มันหาย กลับมาใส่เสื้อแขนสั้นได้ กลับมาแต่งหน้า กันคิ้ว ได้ก็สุดยอดแล้ว และก็คิดว่าจริงๆ เราก็คงยังต้องดูแลสุขภาพ และอยู่กับน้องสะเก็ดตี้น้อยกันต่อไปอย่างสันติ ดูแลให้โรคสงบ ไม่รู้ว่าที่เล่ามาจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่ กำลังเผชิญโรคนี้อยู่หรือไม่ แต่ขอเป็นกำลังใจให้ผ่านวันที่แย่ๆ ไปได้นะค่ะ ฝนคงไม่ได้ตกอยู่ที่เราตลอดเวลา ตลอดปี สิ่งที่เราเรียนรู้จากโรคนี้ก้คือ อย่าเครียดจนเกินไป ดูแลเรื่องอาหารการกินให้ดี ความจริงถ้าไม่มีโรคนี้เราอาจจะเป็นคนที่บ้างาน หรือเป็น perfectionist สุดๆ ไปเลยก็ได้ การที่มีเค้าเข้ามามันทำให้เราเห็นคุณค่าในชีวิตในด้านอื่นๆ มากขึ้น สู้ๆ นะค่ะ